ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยบวกแรงรับครม.ปูแดง 2 กลุ่มแบงก์ - พลังงาน ดีดตัวสูงจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ และพอร์ตโบรกฯ ฝั่งรายย่อยขายสุทธิ 2.6 พันล้านบาท โบรกฯแนะจับตาการประมูลพันธบัตรของหลายชาติยุโรป หากดีหนุนดัชนีไปต่อ คาดวันนี้ดัชนีแกว่งตัวมากขึ้น
ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้(17ม.ค.) ดัชนีปรับอยู่ในแดนบวกตลอดวันโดยมีแรงซื้อส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงาน ปิดที่ระดับ 1,056.54 จุด เพิ่มขึ้น 19.53 จุด หรือ 1.88% มูลค่าการซื้อขาย 24,030.95 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ1,056.54 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,042.51 จุด ภาพรวมดัชนีเคลื่อนตัวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค
หลังตัวเลข GDP ของจีนงวดไตรมาส 4/54 ออมาดีกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ส่วนปัจจัยในประเทศมีผลด้านจิตวิทยากรณีการปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 357 หลักทรัพย์ ลดลง 138 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 125 หลักทรัพย์ ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,881.22 ล้านบาท ปิดที่ 330.00 บาท เพิ่มขึ้น 9.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,274.15 ล้านบาท ปิดที่ 120.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,147.27 ล้านบาท ปิดที่ 115.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,143.83 ล้านบาท ปิดที่ 152.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,138.89 ล้านบาท ปิดที่ 176.50 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท
นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 1,573.75 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 1,174.29 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 82.62 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 2,665.42 ล้านบาท
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีการรีบาวน์ขึ้นมาในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคที่ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นและขณะนี้ราคาในตลาดฟิวเจอร์ก็ยังบวกอยู่ สืบเนื่องมาจากที่อิหร่านจะถูกคว่ำบาตรจากประเทศตะวันตกที่จะไม่นำเข้าน้ำมัน ขณะที่ประเทศอื่นในตะวันออกกลางก็จะไม่ส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้นมาทดแทน ทำให้คาดว่า Supply จะตึงตัว แต่ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ส่วนสถานการณ์ในยุโรปก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตาต่อไป ซึ่งขณะนี้ทางกรีซก็ได้มีการเจรจากับเจ้าหนี้ภาคเอกชนในเรื่องการ Hair cut หนี้และยังมีระยะเวลาในการต่อรอง เพราะกว่าจะครบกำหนดชำระก็กลางเดือน มี.ค.อย่างไรก็ดี ยูโรโซนยังมีความเสี่ยงสูงภายหลัง S&P ปรับลดอันดับเครดิตหลายประเทศ ทำให้ต้นทุนการเงินของประเทศเหล่านั้นสูงขึ้น
ขณะที่ยังมี Sentiment ที่ดีขึ้นในกลุ่มธนาคารที่ใกล้ได้ข้อสรุปการเก็บเพิ่มค่าธรรมเนียมเงินฝาก เท่าที่ดูผลกระทบจะไม่รุนแรงอย่างที่กังวล และจะกระทบธนาคารช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/55)เท่านั้น ดังนั้น กำไรของธนาคารจะไม่ได้รับผลกระทบมากเหมือนที่คาดการณ์กันไว้ในกรณีเลวร้าย
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า โดยช่วงเช้าตลาดภูมิภาคเอเชียปรับตัวขึ้น จากนั้นช่วงบ่ายตลาดในแถบยุโรปก็ปรับตัวขึ้นตามมาด้วย ภายหลังจากจีนประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)ไตรมาส 4/54 ออกมา 8.9% ซึ่งไม่ได้ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 8.7% แต่ก็ทำให้เห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอยู่ในทิศทางที่ชะลอลง
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในยุโรปยังเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งในสัปดาห์นี้ก็มีการประมูลพันธบัตรกันหลายประเทศ ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(18 ม.ค.) ดัชนีคงจะอยู่ในลักษณะของการแกว่งตัวมากขึ้น โดยมีแนวรับที่ 1,045-1,050 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,060-1,062 จุด
ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้(17ม.ค.) ดัชนีปรับอยู่ในแดนบวกตลอดวันโดยมีแรงซื้อส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงาน ปิดที่ระดับ 1,056.54 จุด เพิ่มขึ้น 19.53 จุด หรือ 1.88% มูลค่าการซื้อขาย 24,030.95 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ1,056.54 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,042.51 จุด ภาพรวมดัชนีเคลื่อนตัวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค
หลังตัวเลข GDP ของจีนงวดไตรมาส 4/54 ออมาดีกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ส่วนปัจจัยในประเทศมีผลด้านจิตวิทยากรณีการปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 357 หลักทรัพย์ ลดลง 138 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 125 หลักทรัพย์ ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,881.22 ล้านบาท ปิดที่ 330.00 บาท เพิ่มขึ้น 9.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,274.15 ล้านบาท ปิดที่ 120.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,147.27 ล้านบาท ปิดที่ 115.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,143.83 ล้านบาท ปิดที่ 152.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,138.89 ล้านบาท ปิดที่ 176.50 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท
นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 1,573.75 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ 1,174.29 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 82.62 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 2,665.42 ล้านบาท
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีการรีบาวน์ขึ้นมาในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคที่ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นและขณะนี้ราคาในตลาดฟิวเจอร์ก็ยังบวกอยู่ สืบเนื่องมาจากที่อิหร่านจะถูกคว่ำบาตรจากประเทศตะวันตกที่จะไม่นำเข้าน้ำมัน ขณะที่ประเทศอื่นในตะวันออกกลางก็จะไม่ส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้นมาทดแทน ทำให้คาดว่า Supply จะตึงตัว แต่ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ส่วนสถานการณ์ในยุโรปก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตาต่อไป ซึ่งขณะนี้ทางกรีซก็ได้มีการเจรจากับเจ้าหนี้ภาคเอกชนในเรื่องการ Hair cut หนี้และยังมีระยะเวลาในการต่อรอง เพราะกว่าจะครบกำหนดชำระก็กลางเดือน มี.ค.อย่างไรก็ดี ยูโรโซนยังมีความเสี่ยงสูงภายหลัง S&P ปรับลดอันดับเครดิตหลายประเทศ ทำให้ต้นทุนการเงินของประเทศเหล่านั้นสูงขึ้น
ขณะที่ยังมี Sentiment ที่ดีขึ้นในกลุ่มธนาคารที่ใกล้ได้ข้อสรุปการเก็บเพิ่มค่าธรรมเนียมเงินฝาก เท่าที่ดูผลกระทบจะไม่รุนแรงอย่างที่กังวล และจะกระทบธนาคารช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/55)เท่านั้น ดังนั้น กำไรของธนาคารจะไม่ได้รับผลกระทบมากเหมือนที่คาดการณ์กันไว้ในกรณีเลวร้าย
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า โดยช่วงเช้าตลาดภูมิภาคเอเชียปรับตัวขึ้น จากนั้นช่วงบ่ายตลาดในแถบยุโรปก็ปรับตัวขึ้นตามมาด้วย ภายหลังจากจีนประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)ไตรมาส 4/54 ออกมา 8.9% ซึ่งไม่ได้ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 8.7% แต่ก็ทำให้เห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอยู่ในทิศทางที่ชะลอลง
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในยุโรปยังเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งในสัปดาห์นี้ก็มีการประมูลพันธบัตรกันหลายประเทศ ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(18 ม.ค.) ดัชนีคงจะอยู่ในลักษณะของการแกว่งตัวมากขึ้น โดยมีแนวรับที่ 1,045-1,050 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,060-1,062 จุด