ASTVผู้จัดการรายวัน - บล.ไทยพาณิชย์ คาด ปีนี้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท เหตุ คลายความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป จากคาดไตรมาส 1/55 มีความชัดเจนมาตรการแก้ปัญหา พร้อมคาดกำไร บจ.ปีนี้โต 19% จากปีก่อน ล่าสุด วานนี้ หุ้นปิดบวก 8 จุด นักลงทุนแห่เก็งกำไรรับข่าวผลประกอบการ ต่างชาติขายสุทธิสะสม 1,000 ล้าน โบรกฯเตือนความเสี่ยงยังมี แนะนำลงทุนแค่ระยะสั้น
นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 1 ปี 2555 อาจมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีเกินกว่าตลาดคาดหมาย เนื่องจากตลาดสะท้อนข่าวร้ายหลายอย่างไปแล้วในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และเกิดเซอร์ไพรส์ด้านบวกจากปัจจัยต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศมาตรการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปที่ชัดเจนมากขึ้น และมีสัญญาณว่าจะมีการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน เพื่อป้องกันการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการลงทุน โดยรัฐบาลจีนพยายามที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคภายในประเทศ แทนการพึ่งพาการส่งออกจำนวนมาก ซึ่งจะใช้เวลาระยะหนึ่งก่อนเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ
ส่วนด้านอัตราเงินเฟ้อในจีนเริ่มปรับตัวลดลงแล้ว และปัจจุบันคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3% ในปี 2555 ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางจีน (PBOC) ผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศปรับตัวลงแรง โดยคาดว่า จะเดินหน้าลดอัตราการกันสำรอง (RRR) ของธนาคารลงอีกไม่น้อยกว่า 2% ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2555 หลังจากที่ประกาศลดครั้งแรกไป 0.50% ในวันที่ 5 ธ.ค.54 เพื่อช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น สำหรับความกังวลต่อการเกิดฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์จีน เชื่อว่า จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนนโยบายการเงินครั้งนี้ เพราะมาตรการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อบ้านจะคงอยู่ต่อไป
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศนั้น สถานการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปี 2554 ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลการดำเนินงานไตรมาส 4/54 ของบริษัทจดทะเบียน แต่ไม่น่าห่วง เนื่องจากเป็นผลกระทบระยะสั้นมากกว่า และจะตามมาด้วยการฟื้นตัวดีขึ้นได้ในปี 2555 โดยมีสาเหตุมาจากการกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ อุปสงค์ที่สะสมมาจากช่วงก่อนหน้าจะถูกปลดปล่อยออกมา และอุปสงค์จะเกิดใหม่จากการเปลี่ยนหรือฟื้นฟูซ่อมแซม ดังนั้น กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในการวิเคราะห์ของบล.ไทยพาณิชย์ น่าจะเติบโต 10% ในปี 2554 และ19% ในปี 2555 โดยประมาณการนี้ ได้คำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 23% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ไตรมาสแรกของปี 2555 นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลต่อปัจจัยเสี่ยงเดิมๆ ที่เกิดขึ้นในปี 2554 โดยเฉพาะวิกฤตหนี้ยุโรป ส่งผลให้นักลงทุนยังคงไม่กล้าที่จะลงทุนในตลาดหุ้นอย่างเต็มที่นัก โดยความไม่มั่นใจของนักลงทุนได้สะท้อนไปที่ค่า P/E ของ ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 2554 ที่ระดับ 12.60 เท่า และ ค่ามูลค่าตามบัญชี ที่ 1.9 เท่า แต่การเริ่มต้นปี 2555 ด้วยค่า P/E และมูลค่าตามบัญชี ในระดับต่ำเช่นนี้ เป็นการสะท้อนว่านักลงทุนไม่ได้คาดหวังกับอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมากนัก จึงนับเป็นโอกาสสำคัญของการลงทุนในปีนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์
นอกจากนี้ ยังประเมินว่า นักลงทุนต่างชาติมีโอกาสนำเงินกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยคาดว่าทั้งปี มูลค่าเงินลงทุนไหลเข้าของนักลงทุนต่างชาติจะไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท เนื่องจากสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ อาทิ พันธบัตรรัฐบาล และ ทองคำ เริ่มมีราคาแพงขึ้นเมื่อเปรียบกับตลาดหุ้น และนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป จึงทำให้เงินไหลเข้าไปยังตลาดน้ำมัน สินค้าเกษตร และตลาดหุ้น
นายสุกิจ กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 1 /55 แนะนำหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับความเสี่ยง คือ BANPU, PTT และ TOP เนื่องจากไตรมาส 1/55 เป็นช่วงฤดูกาลของธุรกิจโรงกลั่น รวมถึงหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูซ่อมแซมหลังน้ำท่วม คือ DCC และ CPF แม้ประเด็นนี้ถูกนำมาพูดถึงกันมากแล้ว แต่มองว่าผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิคโดยเฉพาะ DCC เป็นกรณียกเว้นในแง่ของการได้รับประโยชน์จากสถานการณ์น้ำท่วมในทันที ส่วน CPF นั้น ได้คาดการณ์ถึงการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากสถานการณ์น้ำท่วม และมูลค่าหุ้นมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก หากประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการในจีนและเวียดนาม
หุ้นปิดบวก 8จุด แต่ต่างชาติขาย
ส่วนตลาดหุ้นไทยวานนี้ (10 ม.ค.) ดัชนีหลักทรัพย์ปิดที่ระดับ 1,053.04 จุด เพิ่มขึ้น 8.20 จุด หรือ 0.78%มูลค่าการซื้อขาย 27,585.20 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวดีขึ้นตามตามต่างประเทศจากความคาดหวังการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปจากผลการประชุมผู้นำเยอรมนี-อิตาลี วันนี้ (11 ม.ค.) และประชุม ECB ในวันพฤหัสฯ และช่วงนี้นักลงทุนเข้ามาเล่นเก็งกำไรงบไตรมาส 4/54
ทั้งนี้ พบว่า สถาบันเข้ามาซื้อสุทธิ 1,309.11 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ซื้อสุทธิ 1,629.16 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,796.73 ล้านบาท เป็นผลให้ตั้งแต่ต้นปีนักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิสะสมที่ 1,006.61 ล้านบาท
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ดีดตัวขึ้นต่อตามตลาดหุ้นต่างประเทศ จากความคาดหวังเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สินในยุโรป แต่ยังมีหลายฝ่ายกังวล ว่า กรีซมีแนวโน้มที่จะผิดนัดชำระหนี้ในเดือนมีนาคม อีกทั้งช่วงนี้นักลงทุนได้เข้ามาเล่นเก็งกำไรผลประกอบการงวดไตรมาส 4/54 ที่จะประกาศเร็วๆ นี้ ทำให้หลายตลาดปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม กรอบการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยถือว่าน้อยกว่าตลาดอื่น เนื่องจากมีประเด็นกดดันอยู่ทั้งเรื่องการโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะกระทบต่อผลประกอบการของกลุ่มแบงก์ในอนาคต รวมทั้งผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อช่วงปลายปีก่อนที่มีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4/54
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อ แต่ความผันผวนยังคงมีอยู่ แนะนำให้เทรดดิ้งช่วงสั้น พร้อมให้แนวรับ 1047, 1045 จุด แนวต้าน 1055, 1062 จุด
นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 1 ปี 2555 อาจมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีเกินกว่าตลาดคาดหมาย เนื่องจากตลาดสะท้อนข่าวร้ายหลายอย่างไปแล้วในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และเกิดเซอร์ไพรส์ด้านบวกจากปัจจัยต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศมาตรการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปที่ชัดเจนมากขึ้น และมีสัญญาณว่าจะมีการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน เพื่อป้องกันการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการลงทุน โดยรัฐบาลจีนพยายามที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคภายในประเทศ แทนการพึ่งพาการส่งออกจำนวนมาก ซึ่งจะใช้เวลาระยะหนึ่งก่อนเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ
ส่วนด้านอัตราเงินเฟ้อในจีนเริ่มปรับตัวลดลงแล้ว และปัจจุบันคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3% ในปี 2555 ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางจีน (PBOC) ผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศปรับตัวลงแรง โดยคาดว่า จะเดินหน้าลดอัตราการกันสำรอง (RRR) ของธนาคารลงอีกไม่น้อยกว่า 2% ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2555 หลังจากที่ประกาศลดครั้งแรกไป 0.50% ในวันที่ 5 ธ.ค.54 เพื่อช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น สำหรับความกังวลต่อการเกิดฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์จีน เชื่อว่า จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนนโยบายการเงินครั้งนี้ เพราะมาตรการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อบ้านจะคงอยู่ต่อไป
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศนั้น สถานการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปี 2554 ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลการดำเนินงานไตรมาส 4/54 ของบริษัทจดทะเบียน แต่ไม่น่าห่วง เนื่องจากเป็นผลกระทบระยะสั้นมากกว่า และจะตามมาด้วยการฟื้นตัวดีขึ้นได้ในปี 2555 โดยมีสาเหตุมาจากการกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ อุปสงค์ที่สะสมมาจากช่วงก่อนหน้าจะถูกปลดปล่อยออกมา และอุปสงค์จะเกิดใหม่จากการเปลี่ยนหรือฟื้นฟูซ่อมแซม ดังนั้น กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในการวิเคราะห์ของบล.ไทยพาณิชย์ น่าจะเติบโต 10% ในปี 2554 และ19% ในปี 2555 โดยประมาณการนี้ ได้คำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 23% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ไตรมาสแรกของปี 2555 นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลต่อปัจจัยเสี่ยงเดิมๆ ที่เกิดขึ้นในปี 2554 โดยเฉพาะวิกฤตหนี้ยุโรป ส่งผลให้นักลงทุนยังคงไม่กล้าที่จะลงทุนในตลาดหุ้นอย่างเต็มที่นัก โดยความไม่มั่นใจของนักลงทุนได้สะท้อนไปที่ค่า P/E ของ ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 2554 ที่ระดับ 12.60 เท่า และ ค่ามูลค่าตามบัญชี ที่ 1.9 เท่า แต่การเริ่มต้นปี 2555 ด้วยค่า P/E และมูลค่าตามบัญชี ในระดับต่ำเช่นนี้ เป็นการสะท้อนว่านักลงทุนไม่ได้คาดหวังกับอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนมากนัก จึงนับเป็นโอกาสสำคัญของการลงทุนในปีนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์
นอกจากนี้ ยังประเมินว่า นักลงทุนต่างชาติมีโอกาสนำเงินกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยคาดว่าทั้งปี มูลค่าเงินลงทุนไหลเข้าของนักลงทุนต่างชาติจะไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท เนื่องจากสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ อาทิ พันธบัตรรัฐบาล และ ทองคำ เริ่มมีราคาแพงขึ้นเมื่อเปรียบกับตลาดหุ้น และนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป จึงทำให้เงินไหลเข้าไปยังตลาดน้ำมัน สินค้าเกษตร และตลาดหุ้น
นายสุกิจ กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 1 /55 แนะนำหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับความเสี่ยง คือ BANPU, PTT และ TOP เนื่องจากไตรมาส 1/55 เป็นช่วงฤดูกาลของธุรกิจโรงกลั่น รวมถึงหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูซ่อมแซมหลังน้ำท่วม คือ DCC และ CPF แม้ประเด็นนี้ถูกนำมาพูดถึงกันมากแล้ว แต่มองว่าผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิคโดยเฉพาะ DCC เป็นกรณียกเว้นในแง่ของการได้รับประโยชน์จากสถานการณ์น้ำท่วมในทันที ส่วน CPF นั้น ได้คาดการณ์ถึงการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากสถานการณ์น้ำท่วม และมูลค่าหุ้นมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก หากประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการในจีนและเวียดนาม
หุ้นปิดบวก 8จุด แต่ต่างชาติขาย
ส่วนตลาดหุ้นไทยวานนี้ (10 ม.ค.) ดัชนีหลักทรัพย์ปิดที่ระดับ 1,053.04 จุด เพิ่มขึ้น 8.20 จุด หรือ 0.78%มูลค่าการซื้อขาย 27,585.20 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวดีขึ้นตามตามต่างประเทศจากความคาดหวังการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปจากผลการประชุมผู้นำเยอรมนี-อิตาลี วันนี้ (11 ม.ค.) และประชุม ECB ในวันพฤหัสฯ และช่วงนี้นักลงทุนเข้ามาเล่นเก็งกำไรงบไตรมาส 4/54
ทั้งนี้ พบว่า สถาบันเข้ามาซื้อสุทธิ 1,309.11 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ซื้อสุทธิ 1,629.16 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,796.73 ล้านบาท เป็นผลให้ตั้งแต่ต้นปีนักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิสะสมที่ 1,006.61 ล้านบาท
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ดีดตัวขึ้นต่อตามตลาดหุ้นต่างประเทศ จากความคาดหวังเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สินในยุโรป แต่ยังมีหลายฝ่ายกังวล ว่า กรีซมีแนวโน้มที่จะผิดนัดชำระหนี้ในเดือนมีนาคม อีกทั้งช่วงนี้นักลงทุนได้เข้ามาเล่นเก็งกำไรผลประกอบการงวดไตรมาส 4/54 ที่จะประกาศเร็วๆ นี้ ทำให้หลายตลาดปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม กรอบการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยถือว่าน้อยกว่าตลาดอื่น เนื่องจากมีประเด็นกดดันอยู่ทั้งเรื่องการโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะกระทบต่อผลประกอบการของกลุ่มแบงก์ในอนาคต รวมทั้งผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อช่วงปลายปีก่อนที่มีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4/54
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อ แต่ความผันผวนยังคงมีอยู่ แนะนำให้เทรดดิ้งช่วงสั้น พร้อมให้แนวรับ 1047, 1045 จุด แนวต้าน 1055, 1062 จุด