ASTVผู้จัดการรายวัน- กบง.ไฟเขียวกองทุนน้ำมันฯกู้อีก 20,000 ล้านบาท รวมเป็น 30,000 ล้านบาท หลังแบกหนี้หลังแอ่น คาด ต.ค.55 ก็ผลาญหมด ประเมินจากแอลพีจีโลกพุ่งสูง พร้อมไฟเขียวขึ้นแอลพีจี 75 สตางค์ต่อกก.และเอ็นจีวี 50 สต.ต่อกก.มีผล 16 มี.ค.-15 เม.ย.55 ตามแผน ส่วนเบนซิน 91 ยังไม่เคาะขอดูตลาดโลก พร้อมทำแผนฉุกเฉินรับมือวิกฤติอิหร่านดันสำรองน้ำมันเพิ่มเป็น 64 วัน
นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน(กบง.) วานนี้(8มี.ค.) ว่า กบง.ได้เห็นชอบแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยให้กู้ยืมจากสถาบันการเงินเพิ่มอีก 20,000 ล้านบาทระยะเวลาประมาณ 3 ปีซึ่งรวมกับเงินกู้เดิม 10,000 ล้านบาทจะเป็น 30,000 ล้านบาท สาเหตุที่ต้องกู้เพิ่มมาจากราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี)ตลาดโลกปรับราคาสูงล่าสุด 1,200 เหรียญสหรัฐต่อตันซึ่งประเมินว่าภายในต.ค.55 เงินกู้ทั้งหมดก็จะใช้หมดลง
“ ประเมินฐานะเงินกองทุนฯที่ขณะนี้ติดลบอยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาทกับรายจ่ายต่างๆ โดยเฉพาะที่อุดหนุนแอลพีจีเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละเกือบ 4,000 ล้านบาทก็จะทำให้เงินกู้ทั้งหมดต้องใช้หมดไปภายในต.ค.นี้ และเงินกู้นี้ก็จะใช้หนี้คืนใน 3 ปีบนสมมติฐานว่าราคาพลังงานจะปรับขึ้นตามกรอบที่วางไว้ ”นายอารักษ์กล่าว
นอกจากนี้กบง.ยังได้เห็นชอบการปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ แอลพีจีภาคขนส่ง และเอ็นจีวี มีผลตั้งแต่ 16 มี.ค.-15 เม.ย. 55 โดยปรับเพิ่มแอลพีจีจาก 1.4018 บาทต่อกิโลกรัม(กก.)เป็น 2.1027 บาทต่อกก. ส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่ม 0.75 บาทต่อกก. จาก 19.58 บาทต่อลิตรเป็น 20.38 บาทต่อลิตร เอ็นจีวีปรับลดเงินชดเชยจาก 1 บาทต่อกก.เหลือ 0.50 บาทต่อกก.ส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อกก.จากราคา 9.50 บาทต่อกก.เป็น 10 บาทต่อกก.
***ยึกยักรีดต๋งเบนซิน1บาท
อย่างไรก็ตาม ส่วนของการปรับเพิ่มการเก็บเงินเบนซินตามกรอบเดิมที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)กำหนดไว้ 1 บาทต่อลิตรนั้นยังไม่ได้มีการพิจารณาเนื่องจากที่ประชุมกังวลว่าจะเกิดการกักตุนน้ำมันล่วงหน้า ประกอบกับจะขพิจารณาทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลกอีกครั้งหนึ่งซึ่งหากน้ำมันขึ้นแรงมากก็มีโอกาสที่จะทบทวนมติกพช.ได้ และยังต้องคำนึงถึงส่วนต่างราคาพลังงานทดแทนโดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ให้เหมาะสมดังนั้นจึงจะมีการประชุมกบง.เพื่อพิจารณาประเด็นดังกล่าวอีกครั้งก่อนวันที่ 16 มี.ค.นี้
****สำรองน้ำมันเพิ่มเป็น64วันรับวิกฤตอิหร่าน
นายอารักษ์กล่าวว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งของอิหร่านกับนานานชาติ ส่งผลให้ราคาน้ำมันตลาดโลกผันผวนสูง กระทรวงพลังงานจึงได้สั่งการให้กรมธุรกิจพลังงาน ประชุมร่วมกับกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในประเทศเพื่อหามาตรการในการแก้ปัญหาหากเกิดกรณีสถานการณ์ของอิหร่านกับนานาชาติเลวร้าย และทำให้น้ำมันวากตะวันออกกลางไม่สามารถจัดส่งมาประเทศไทยได้ โดยเบื้องต้น ได้ขอความร่วมมือกับกลุ่มโรงกลั่นเพิ่มสำรองน้ำมันมากขึ้น เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในปัจจุบัน ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันแจ้งว่า สามารถเพิ่มการสำรองได้มากขึ้นเป็น 64 วัน จากปัจจุบัน สำรองที่มีใช้ได้อยู่ทั้งหมดอยู่ที่ 55 วัน
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยออยล์ได้มีการปรับคาดการณ์ราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีนี้ จากเดิมมองไว้ที่ 106 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็น 109 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่มองว่า ราคาอาจขยับขึ้นไปถึง 110-120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หากปัญหาทางอิหร่านยังไม่คลี่คลาย และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มฟื้นตัวชัดเจน ทำให้ความต้องการใช้ของโลกยังอยู่ในระดับสูง
นายณอคุณ สิทธิพงษ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงก็ยังมีอีกหลายมาตรการที่รองรับหากวิกฤติอิหร่านเกิดขึ้นจริง ประกอบด้วย จะขอความร่วมมือกรมทางหลวงไม่ให้ขับรถเกินความเร็วที่กฎหมายกำหนด หรือ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อลดการใช้น้ำมัน ,จะมีการห้ามส่งออกน้ำมันที่ผลิตได้ในประเทศ ทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันมันสำเร็จรูป ,จะมีการออกประกาศลดหย่อนมาตรฐานน้ำมันที่ใช้ในประเทศ เพื่อให้สามารถใช้น้ำมันที่ผลิตได้ในประเทศ เป็นต้น
***มาร์คจี้รัฐทบทวนนโยบายพลังงาน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวถึงนโยบายพลังงานของรัฐบาลว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายพลังงานที่ซ้ำเติมค่าครองชีพประชาชน ส่งผลให้ต้นทุนสินค้ามีราคาแพงขึ้น เพราะทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นการบริหารที่ไม่ตรงกับที่พรรคเพื่อไทยเคยให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชน กลายเป็นว่านโยบายทั้งหมดมีเพื่อหาเสียง แต่ทำโปรโมชั่นจริงอยู่ 2-3 เดือน
ทั้งนี้อยากให้รัฐบาลวางหลักให้ชัดเจนว่าจะบริหารอย่างไร ไม่ใช่ด้านหนึ่งจะเก็บเงินเบนซินเพิ่ม แต่อีกด้านหนึ่งจะตรึงราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นการบริหารพลังงานตามสถานการณ์ จะเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันก็เก็บแต่เมื่อถูกต่อว่าก็กลับมาตรึงราคา จึงต้องกลับไปกำหนดเป้าหมายให้ชัด เหมือนที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำคือกำหนดเป้าหมายในการตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทและบริหารนโยบายพลังงานตามแนวทางนี้ ทำให้มีความชัดเจน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตนยังกังวลในกรณีที่ รมว.พลังงาน เตรียมปรับราคาแก๊สแอลพีจีในภาคครัวเรือนให้เท่ากับภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง ซึ่งจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมประชาชนมากขึ้น โดยที่รัฐบาลไม่มีคำตอบในเรื่องต้นทุนที่แท้จริงด้วยซ้ำ อีกทั้งไม่เคยตอบโจทย์ว่าการที่จะเอาทรัพยากรของประเทศมาดูแลประชาชนในสิ่งที่จำเป็นพื้นฐานคือแก๊สหุงต้มในครัวเรือนเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเพราะอะไร และไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ที่อ้างว่าไม่สามารถตรึงราคาสินค้าได้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจเปิด ทั้งนี้รัฐบาลอยู่ในวิสัยที่จะควบคุมราคาสินค้าบางชนิดได้จากการกำหนดนโยบาย แต่นายกิตติรัตน์ กลับมีแนวคิดปล่อยทุกอย่างตามธรรมชาติ ทั้งที่สินค้าหายตัวไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ รัฐสามารถเข้าไปดูและและมีส่วนสำคัญในการกำหนดดสื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้
นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน(กบง.) วานนี้(8มี.ค.) ว่า กบง.ได้เห็นชอบแนวทางการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยให้กู้ยืมจากสถาบันการเงินเพิ่มอีก 20,000 ล้านบาทระยะเวลาประมาณ 3 ปีซึ่งรวมกับเงินกู้เดิม 10,000 ล้านบาทจะเป็น 30,000 ล้านบาท สาเหตุที่ต้องกู้เพิ่มมาจากราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี)ตลาดโลกปรับราคาสูงล่าสุด 1,200 เหรียญสหรัฐต่อตันซึ่งประเมินว่าภายในต.ค.55 เงินกู้ทั้งหมดก็จะใช้หมดลง
“ ประเมินฐานะเงินกองทุนฯที่ขณะนี้ติดลบอยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาทกับรายจ่ายต่างๆ โดยเฉพาะที่อุดหนุนแอลพีจีเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละเกือบ 4,000 ล้านบาทก็จะทำให้เงินกู้ทั้งหมดต้องใช้หมดไปภายในต.ค.นี้ และเงินกู้นี้ก็จะใช้หนี้คืนใน 3 ปีบนสมมติฐานว่าราคาพลังงานจะปรับขึ้นตามกรอบที่วางไว้ ”นายอารักษ์กล่าว
นอกจากนี้กบง.ยังได้เห็นชอบการปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ แอลพีจีภาคขนส่ง และเอ็นจีวี มีผลตั้งแต่ 16 มี.ค.-15 เม.ย. 55 โดยปรับเพิ่มแอลพีจีจาก 1.4018 บาทต่อกิโลกรัม(กก.)เป็น 2.1027 บาทต่อกก. ส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่ม 0.75 บาทต่อกก. จาก 19.58 บาทต่อลิตรเป็น 20.38 บาทต่อลิตร เอ็นจีวีปรับลดเงินชดเชยจาก 1 บาทต่อกก.เหลือ 0.50 บาทต่อกก.ส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อกก.จากราคา 9.50 บาทต่อกก.เป็น 10 บาทต่อกก.
***ยึกยักรีดต๋งเบนซิน1บาท
อย่างไรก็ตาม ส่วนของการปรับเพิ่มการเก็บเงินเบนซินตามกรอบเดิมที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)กำหนดไว้ 1 บาทต่อลิตรนั้นยังไม่ได้มีการพิจารณาเนื่องจากที่ประชุมกังวลว่าจะเกิดการกักตุนน้ำมันล่วงหน้า ประกอบกับจะขพิจารณาทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลกอีกครั้งหนึ่งซึ่งหากน้ำมันขึ้นแรงมากก็มีโอกาสที่จะทบทวนมติกพช.ได้ และยังต้องคำนึงถึงส่วนต่างราคาพลังงานทดแทนโดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ให้เหมาะสมดังนั้นจึงจะมีการประชุมกบง.เพื่อพิจารณาประเด็นดังกล่าวอีกครั้งก่อนวันที่ 16 มี.ค.นี้
****สำรองน้ำมันเพิ่มเป็น64วันรับวิกฤตอิหร่าน
นายอารักษ์กล่าวว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งของอิหร่านกับนานานชาติ ส่งผลให้ราคาน้ำมันตลาดโลกผันผวนสูง กระทรวงพลังงานจึงได้สั่งการให้กรมธุรกิจพลังงาน ประชุมร่วมกับกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในประเทศเพื่อหามาตรการในการแก้ปัญหาหากเกิดกรณีสถานการณ์ของอิหร่านกับนานาชาติเลวร้าย และทำให้น้ำมันวากตะวันออกกลางไม่สามารถจัดส่งมาประเทศไทยได้ โดยเบื้องต้น ได้ขอความร่วมมือกับกลุ่มโรงกลั่นเพิ่มสำรองน้ำมันมากขึ้น เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในปัจจุบัน ซึ่งโรงกลั่นน้ำมันแจ้งว่า สามารถเพิ่มการสำรองได้มากขึ้นเป็น 64 วัน จากปัจจุบัน สำรองที่มีใช้ได้อยู่ทั้งหมดอยู่ที่ 55 วัน
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยออยล์ได้มีการปรับคาดการณ์ราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีนี้ จากเดิมมองไว้ที่ 106 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็น 109 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่มองว่า ราคาอาจขยับขึ้นไปถึง 110-120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หากปัญหาทางอิหร่านยังไม่คลี่คลาย และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มฟื้นตัวชัดเจน ทำให้ความต้องการใช้ของโลกยังอยู่ในระดับสูง
นายณอคุณ สิทธิพงษ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงก็ยังมีอีกหลายมาตรการที่รองรับหากวิกฤติอิหร่านเกิดขึ้นจริง ประกอบด้วย จะขอความร่วมมือกรมทางหลวงไม่ให้ขับรถเกินความเร็วที่กฎหมายกำหนด หรือ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อลดการใช้น้ำมัน ,จะมีการห้ามส่งออกน้ำมันที่ผลิตได้ในประเทศ ทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันมันสำเร็จรูป ,จะมีการออกประกาศลดหย่อนมาตรฐานน้ำมันที่ใช้ในประเทศ เพื่อให้สามารถใช้น้ำมันที่ผลิตได้ในประเทศ เป็นต้น
***มาร์คจี้รัฐทบทวนนโยบายพลังงาน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวถึงนโยบายพลังงานของรัฐบาลว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายพลังงานที่ซ้ำเติมค่าครองชีพประชาชน ส่งผลให้ต้นทุนสินค้ามีราคาแพงขึ้น เพราะทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นการบริหารที่ไม่ตรงกับที่พรรคเพื่อไทยเคยให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชน กลายเป็นว่านโยบายทั้งหมดมีเพื่อหาเสียง แต่ทำโปรโมชั่นจริงอยู่ 2-3 เดือน
ทั้งนี้อยากให้รัฐบาลวางหลักให้ชัดเจนว่าจะบริหารอย่างไร ไม่ใช่ด้านหนึ่งจะเก็บเงินเบนซินเพิ่ม แต่อีกด้านหนึ่งจะตรึงราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นการบริหารพลังงานตามสถานการณ์ จะเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันก็เก็บแต่เมื่อถูกต่อว่าก็กลับมาตรึงราคา จึงต้องกลับไปกำหนดเป้าหมายให้ชัด เหมือนที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำคือกำหนดเป้าหมายในการตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทและบริหารนโยบายพลังงานตามแนวทางนี้ ทำให้มีความชัดเจน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตนยังกังวลในกรณีที่ รมว.พลังงาน เตรียมปรับราคาแก๊สแอลพีจีในภาคครัวเรือนให้เท่ากับภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง ซึ่งจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมประชาชนมากขึ้น โดยที่รัฐบาลไม่มีคำตอบในเรื่องต้นทุนที่แท้จริงด้วยซ้ำ อีกทั้งไม่เคยตอบโจทย์ว่าการที่จะเอาทรัพยากรของประเทศมาดูแลประชาชนในสิ่งที่จำเป็นพื้นฐานคือแก๊สหุงต้มในครัวเรือนเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเพราะอะไร และไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ที่อ้างว่าไม่สามารถตรึงราคาสินค้าได้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจเปิด ทั้งนี้รัฐบาลอยู่ในวิสัยที่จะควบคุมราคาสินค้าบางชนิดได้จากการกำหนดนโยบาย แต่นายกิตติรัตน์ กลับมีแนวคิดปล่อยทุกอย่างตามธรรมชาติ ทั้งที่สินค้าหายตัวไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ รัฐสามารถเข้าไปดูและและมีส่วนสำคัญในการกำหนดดสื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้
