ไทย : ภายใต้ปีกพญาอินทรี
ในช่วงที่ผ่านมา ผมอธิบายว่า ในยุคโลกาภิวัตน์ ชนชั้นนำสหรัฐอเมริกาได้วางยุทธศาสตร์ที่สำคัญมากในการ “ปิดล้อม” และ “สกัด” พัฒนาการของจีน และเรากำลังอยู่ในยุคที่ระบบโลกพลิกผันครั้งใหญ่ โลกตะวันออกซึ่งนำโดยจีนกำลังก้าวขึ้น ส่วนโลกตะวันตกที่มีสหรัฐอเมริกานำ กำลังเสื่อมทรุดลง
เวลาเรามองดูแผนที่ประเทศไทย ซึ่งอยู่ตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอยู่ทางใต้ของจีน เราต้องตระหนักว่า ไทย อาจจะกลายเป็นเป้าหมายสำคัญทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา โดยที่คนไทยทั่วไป “ไม่รู้ตัว”
ที่สำคัญ เรา หรือ คนไทย และประเทศไทย ถูกลากเข้าไป “ทำสงคราม” ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์และความยิ่งใหญ่ของประเทศไทย แต่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์และความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
คำว่า “ไม่รู้ตัว” จึงมีความหมายมาก
ในช่วงสงครามเวียดนาม คนไทยต้องตายไปมากมายจากสงครามครั้งนี้ และคนไทยจำนวนหนึ่งต้องยอมสละชีวิตเพื่อการต่อสู้เพื่อขับไล่ฐานทัพอเมริกันออกจากประเทศไทย และเพื่อโค่นล้มรัฐบาลทรราช
สงครามนี้ต่อเชื่อมมาถึงสงครามที่คนไทยต้อง “ฆ่า” คนไทยด้วยกันเอง เมื่อ 6 ตุลาคม 2519 และสืบทอดไปถึงสงครามระหว่างรัฐไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
เพื่อนๆ ของผม ตายไปหลายต่อหลายคน ผมเองคาดว่า ผู้คนได้เสียชีวิตไปนับหมื่นคน
คำว่า “ไม่รู้ตัว” จึงมีค่าอย่างยิ่ง และถือว่าเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง ที่คนไทยทุกคนต้องสรุปบทเรียน
อย่าให้ประวัติศาสตร์...ต้องซ้ำรอยอีก
และอย่ายอม... คนไทยต้อง “ไม่ฆ่า” คนไทยด้วยกันอีก
ในยุคโลกาภิวัตน์ ชนชั้นนำอเมริกันได้พยายามลากประเทศไทยเข้าอยู่ภายใต้อุ้งปีกของสหรัฐอเมริกาอีก ยิ่งอเมริกาเผชิญหน้ากับจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ไทยจะยิ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์มากขึ้น และจะยิ่งถูกผนวกเข้าใต้ปีกของพญาอินทรี
ผมกลัวว่า วันหนึ่งข้างหน้า...เราจะกลายเป็น “ที่ตั้ง” หรือ “ฐานทัพ” อเมริกาอีกครั้งหนึ่ง ในสงครามการช่วงชิงความเป็นจ้าวระหว่างอเมริกากับจีน
คำถามคือ “สหรัฐอเมริกา จะพยายามลากประเทศไทยเข้าสู่อุ้งปีกของตนได้อย่างไร”
เพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้ ผมขอกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น 3 เหตุการณ์
เหตุการณ์ที่ 1 สงครามโจมตีค่าเงินบาท
ผมได้กล่าวเรื่องนี้ไว้แล้วในตอนต้น ผลของสงครามครั้งนี้ทำให้ปีกพญานกอินทรีและสิงคโปร์ ขยายอิทธิพลครอบทางเศรษฐกิจไทย (ก่อนหน้านี้ ประเทศที่มีอิทธิพลเหนือเศรษฐกิจไทย คือ ญี่ปุ่น)
หลังจากนั้น “การยึดการเมืองไทย” ผ่านระบบการเงินที่ไร้พรมแดน ย่อมทำได้โดยไม่ยาก เพราะชนชั้นนำสิงคโปร์เองก็รู้ว่าสามารถยึดประเทศไทยทางการเมืองได้โดยการระดมทุนเข้ามาสนับสนุนให้สร้างพรรคการเมืองขนาดใหญ่ขึ้น
ตอนเกิดสงครามตีค่า “เงินบาท” นักวิชาการบางท่านยืนยันว่า คุณทักษิณยืนข้างฝ่ายสิงคโปร์ และร่วม “ตี” ค่าเงินบาทด้วย จริงหรือไม่ ผมไม่ยืนยัน
พอคุณทักษิณระดมทุนสร้างพรรคการเมือง ท่านก็รู้ว่า ท่านไม่จำเป็นต้องระดมเงินจากประเทศไทยเท่านั้น เพราะท่านรู้ว่า “ทุนการเงิน” โดยเฉพาะจากสิงคโปร์ ต้องการขยายอำนาจครอบการเมืองไทย
ถ้ามีเงิน “มหาศาล” ก็ใช้ซื้อนักการเมืองได้
เรียกว่า “เลือกได้เลย” เลือกก็เอาเฉพาะนักการเมืองที่ชนะเท่านั้น แล้วไทยรักไทยจะไม่ชนะการเลือกตั้งได้อย่างไร
เรื่องนี้ คงจะโทษคุณทักษิณไม่ได้ เพราะท่านเข้าใจระบบโลกใน “ยุคโลกาภิวัตน์” ได้ดี ท่านอาจจะคิดว่า ในยุคนี้สหรัฐอเมริกากำลังกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ท่านจึงเลือกเป็นพันธมิตรกับฝ่ายชนะ
ท่านรู้จักใช้ “ความเป็นโลกาภิวัตน์” เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของท่าน (อาจจะมีประโยชน์ของกลุ่มทุนโลกด้วย โดยเฉพาะทุนสหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์)
เหตุการณ์ที่ 2 พันธมิตรพิเศษนอกนาโต้ (NATO)
เรื่องราวนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐอเมริกาประกาศทำสงครามกับผู้ก่อการร้ายทั่วโลก และเคลื่อนทัพเข้าไปตีอิรัก
คุณทักษิณเดินทางไปอเมริกา และไปเจอกับประธานาธิบดีบุช ที่ประเทศอเมริกา คุณทักษิณก็ถูกจับมือเซ็น สัญญา เรื่อง พันธมิตร “พิเศษ” นอกนาโต้
ผมคิดว่า นี่คือ การพยายามผนวกประเทศไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม คล้ายๆ กับยุคสงครามเวียดนาม หรือกล่าวว่า ดึงประเทศไทยเข้าไปร่วมรบกับผู้ก่อการร้าย ด้วย
ตอนแรก ผมเองก็ไม่เข้าใจคำว่า “พิเศษ” เพราะคิดไม่ออกว่า ถ้าทางไทยส่งทหารไปช่วยรบที่อิรัก เราก็เป็นเพียงพันธมิตรแบบธรรมดา ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ
ผมมาเข้าใจเมื่อหันมาศึกษาเรื่อง “การประกาศจีฮัด (ญิฮาด)” (หรือสงครามศาสนาของชาวมุสลิม)
ผมเข้าใจว่า การประกาศสงครามครั้งนี้นั้นประกาศหลายจุดด้วยกัน จุดหนึ่งนั้นคือ ที่อียิปต์ อีกจุดหนึ่งที่สำคัญมากคือ ที่อินโดนีเซีย ด้วย
ชนชั้นนำอเมริกา ให้ความสำคัญต่อการประกาศจีฮัดที่อินโดนีเซียอย่างมาก เพราะในย่านนี้คือ ฐานกำลังรบ และถ้ามีการขนกำลังจากอินโดนีเซียไปช่วยรบในสงครามอิรัก สงครามอิรักจะยืดเยื้อและหนักหน่วงมาก
ผมจึงพบความหมาย “อะไรคือ พันธมิตรพิเศษนอกนาโต้” กล่าวอย่างสรุปก็คือ จะดึงประเทศไทยเข้าร่วมสงครามกับผู้ก่อการร้ายโดยตรง
หรือกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมว่า อเมริกาต้องการเปิดสงครามที่ทางใต้ของไทย เพื่อสลายกำลังรบส่วนหนึ่ง ให้มา “รบ” กันในประเทศไทย
อีกแผนหนึ่งคือ ต้องการฟื้นฐานทัพอเมริกาในประเทศไทย เพื่อเป็นแนวหน้าในยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน
แล้วจะทำอย่างไร...ให้ไทยกลายเป็นพันธมิตรพิเศษให้ได้
เรื่องนี้เริ่มจากบรรดาเด็กชาวมุสลิมทางใต้ไปวางระเบิดที่สถานีรถไฟ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องผิดปกตินัก และมักจะเกิดขึ้นเสมอๆ ช่วงก่อนปีงบประมาณ เจตนาส่วนหนึ่งเพื่อ “ดึง” งบประมาณทหารลงไปทางใต้
ผมเองคิดว่า คุณทักษิณก็รู้เรื่องนี้ดี ท่านรู้ว่า “เรื่อง” เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ท่านถูก “บีบ” ให้ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่
ท่านจึงถามในที่ประชุมขึ้นว่า “พวกเด็ก” หรือไม่พวกที่ท่านเรียกว่า “โจรกระจอก” มีเท่าไหร่ ทหารก็บอกว่า “มีประมาณ 50 คน” ท่านก็สั่งให้เก็บ ให้หมด
ทหารไม่เก็บ เพราะบรรดา “เด็ก” เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่มีความสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับสายทหาร
ท่านจึงสั่ง “ยุบ” ศูนย์ปฏิบัติการของทหารทางภาคใต้ และให้ตำรวจลงไปจัดการ ตำรวจก็เข้าไปทำหน้าที่อุ้ม “ฆ่า” รวมทั้งการฆ่าคุณสมชาย นีละไพจิตร ทนายความชื่อดัง ผู้คนทาง 3 จังหวัดภาคใต้ถูก “อุ้มฆ่า” ไปประมาณ 200 ศพ
แต่ปฏิบัติการ “อุ้มฆ่า” เพียงอย่างเดียว ยังไม่พอที่จะสร้าง “สงคราม” และ “พันธมิตรพิเศษ” จึงต้องต่อด้วย “แผน” การบุกยึดและทำลายกรือเซะ ศาสนสถานสำคัญทางศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นที่นับถือของชาวมุสลิมในย่านนี้
ที่แปลกคือ ในช่วงที่ทหารไทยบุก และทำลายกรือเซะ สถานีโทรทัศน์ CNN ก็มาทำข่าว และเสนอภาพการบุกครั้งนี้ไปทั่วโลก หลังจากข่าวแพร่กระจายไปทั่วโลก แทนที่สหรัฐอเมริกาจะว่าประณามไทย “ทำเกินเหตุ” กลับ “ยกย่อง”
ผมจำได้คร่าวๆ ว่า รองประธานาธิบดีอเมริกาถึงกับประกาศว่า “สหรัฐอเมริกา พร้อมจะส่งกำลังรบเข้ามาช่วยไทย ทำสงครามกับผู้ก่อการร้ายในประเทศไทย”
ผมจึงเริ่มเข้าใจว่า “อะไรแน่ๆ คือ พันธมิตรพิเศษนอกนาโต้”
แต่ถึงอย่างไร คนไทยยังโชคดีมาก เพราะบรรดาพลังมุสลิม “อ่าน” ความต้องการของอเมริกาออก จึงไม่ส่งกำลังมาช่วยชาวมุสลิมที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามจึงจำกัดตัว และสหรัฐอเมริกาไม่สามารถเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย
เหตุการณ์ที่ 3 กรณีเผาบ้านเผาเมือง
ผมเองคิดว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องเข้าใจได้ยากที่สุด ผู้อ่านอาจจะคิดว่าเป็นการแต่งนิยายขึ้นเอง เอาเถอะ... ก็ถือว่าเป็น “นิยาย” ก็แล้วกัน
นิยายนี้เริ่มจากคุณทักษิณไปเมืองจีน แล้วไปเปิดสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ในฐานะ “ญาติ” กับทางการจีน เพราะท่านเองมีเชื้อสายจีน ตระกูลของท่านก็ “อยู่” ที่ประเทศจีน
ทางจีนเองก็พยายามผูกสนิทกับคุณทักษิณ ให้เกียรติท่านอย่างมากเช่นกัน
เรื่องราวความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ คุณทักษิณไปจีนบ่อยขึ้น เรื่องราวเหล่านี้ได้ “เข้าหู” สหรัฐอเมริกามากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ
อีกสาเหตุหนึ่ง บางครั้งคุณทักษิณไม่ค่อยชอบอเมริกานัก เพราะอเมริกามักจะแสดงบทเป็น “นายใหญ่” สั่ง สั่งๆๆ... และสั่ง
มีบางครั้ง คุณทักษิณก็โกรธมาก จนหลุดปากว่า “UN ไม่ใช่พ่อ”
แต่ที่จริง อเมริกาไม่ได้สนใจคำกล่าวนี้หรอก ที่อเมริกาโกรธมากๆ อีกเรื่องหนึ่งคือ คุณทักษิณไปทำตัวเป็น “ผู้จัดการ” ผู้ซึ่งทำหน้าที่ในการแบ่งสรรผลประโยชน์เรื่องน้ำมัน และแก๊ส ที่พบในเขตทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยอาศัย “ความใกล้ชิด” กับท่านนายกฮุนเซน
ผมจึงคิดสร้างทฤษฎีประหลาดๆ ขึ้นมาชุดหนึ่ง อธิบายเหตุการณ์ รัฐประหาร 19 กันยา ใหม่ว่า “อเมริกา น่าจะมีบทบาทร่วมลงขัน”
ในช่วงรัฐประหาร 19 กันยา ผมพบว่า บรรดานายทหารอาวุโสมากๆ ที่เคยอยู่สายอเมริกาหันมาอยู่กับด้านพันธมิตรหมด และบรรดาท่านเหล่านี้มีบทบาทสูงอย่างมากๆ
แต่ผมก็ยืนยันไม่ได้จริงๆ ว่า “อเมริกามีบทบาทจริงๆ แค่ไหน”
ที่ผมผิดสังเกตอย่างมากๆ คือ หลังจากรัฐประหาร 19 กันยา รัฐบาลอเมริกาซึ่งรักประชาธิปไตยอย่างสุดซึ้ง กลับ “ไม่ได้” แสดงบทบาทคัดค้านรัฐประหาร
ราวกับว่า “มี” การตกลงร่วมกันไว้แล้ว
ผู้นำสหรัฐอเมริกามักจะถือว่า การเมืองไทย “ต้องตก” อยู่ใต้อุ้งปีกของอเมริกา จะยอมให้เกิดการก่อรัฐประหารง่ายๆ ได้อย่างไร
เรื่องที่แปลกกว่านี้คือ หลังจากคุณทักษิณออกจากประเทศไทย ท่านไปอยู่ที่ดูไบ ประเทศดูไบ คือ สายทุนโลก ซึ่งเชื่อมกับทางสายซาอุฯ และเชื่อมสายทุนกับทางอเมริกา
จนดูราวว่า หลังเกิดรัฐประหาร สหรัฐอเมริกาหันไป “อุ้ม” คุณทักษิณอีก หรือว่า ผู้นำสหรัฐอเมริกาถือไพ่ 2 ใบ
เล่นเอา...นักวิเคราะห์สถานการณ์...อย่างผม “งง”
ผมคิดได้แบบเล่นๆ ว่า ทางอเมริกาน่าจะไม่ชอบทางสถาบันฯ นัก เพราะสถาบันฯ ใกล้ชิดกับจีนอย่างมากเช่นกัน
ผมได้พบ “คำตอบ” หลังจากผมเห็นภาพคนสำคัญ 3 คนอยู่ด้วยกัน คือ คุณทักษิณ นายทหารสำคัญที่ใกล้ชิดอเมริกา และ เสธ.แดง
ช่วงนั้น มีเพื่อนนักวิชาการคนหนึ่งให้ข้อมูลกับผมว่า
“อเมริกาหันไปหนุนคุณทักษิณกับฝ่ายเสื้อแดงแล้ว”
ผมเองได้แต่พูดล้อเล่นๆ กับบรรดาเพื่อนๆ ว่า
“ทั้งหมด คือ เรื่องยุทธการตาอินกะตานา และตาอยู่”
บรรดาเพื่อนๆ ไม่มีใคร “เข้าใจ” ทฤษฎีตาอิน ตานา และตาอยู่ ของผมสักคน
ผมเลยต้องยกแม่น้ำทั้ง 5 มาช่วยอธิบาย
ผมอ้างว่า ให้ย้อนดูประวัติศาสตร์ในยุคล่าอาณานิคม บรรดาประเทศที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอังกฤษ จะถูกทำให้แบ่งแยกเป็นหลายๆ ฝ่าย และทุกฝ่ายจะถูก “ยุ” ให้รบกันเอง
อย่างเช่น พม่า ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ หรือ อินเดีย รวมถึงโลกอาหรับ ก็เกิดแตกเป็นเสี่ยงๆ เช่นกัน
แต่ “ประเทศไทย” ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นโดยตรง จึงไม่เข้าใจนโยบายนี้
เรื่องตาอินกับตานา นี่คือนโยบายของชนชั้นมหาอำนาจ ที่เรียกว่า “แบ่งแยก และปกครอง”
อธิบายง่ายๆ คือ พยายามหนุนให้เกิดหลายๆ ฝ่าย บางช่วงก็ทำตัวช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้เกิดการเผชิญหน้าหรือสงครามระหว่างกัน
ยิ่งตาอินกับตานา รบ “ฆ่า” กัน ตาอยู่ก็เอาไปกิน เพราะทั้งตาอิน ตานา ก็ต้องขึ้นกับตาอยู่ ทั้งสองฝ่ายล้วนต้องซื้อ “อาวุธ” จากตาอยู่ แล้วใช้อาวุธตาอยู่ “ฆ่า” กัน
นิยายที่ผมแต่งขึ้นนี้ ขอจบลงด้วยคำถามว่า
ถ้าตานา และที่ปรึกษา (อเมริกา) รู้ว่า ทหารส่วนใหญ่อยู่ฝ่ายตรงข้าม กำลังรบที่มีอยู่ไม่พอที่จะล้มระบบอำมาตย์ได้ ทำไมถึงสั่งให้สู้ และสั่งให้ “เผาบ้านเผาเมือง”
ถ้าทางทหารสั่งปราบขบวนการ “เผาบ้านเผาเมือง” ผู้คนจะตายกัน... อีกเยอะ แต่ทหารไทยรู้ทัน... “ไม่ทำ”
ผมคิดว่า คำตอบเดียว ที่น่าจะดูมีเหตุผลบ้าง คือ เจตนาจะก่อการจลาจล หรือ ก่อสงครามกลางเมือง
ถ้าเกิดจลาจล (หรือสงครามกลางเมือง) ขึ้น รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ ก็จะเกิดช่องว่างทางการเมือง
ถ้าคน “ฆ่า” กันยิ่งมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสเสนอให้ UN สหประชาชาติต้องเข้ามาระงับศึก
แต่ต้องระวังเช่นกัน เพราะ กองทัพยูเอ็น ก็คือกองทัพของสหรัฐอเมริกา และยุโรป ด้วยเช่นกัน
มีบางประเทศ อย่างเช่นที่ โคโซโว สหรัฐอเมริกาก็ใช้นโยบายแบบนี้คล้ายกัน อาศัยทำให้ผู้คนแตกเป็น 2 ฝ่าย และส่งกำลังกองทัพเข้าไปดูแล แต่ เจตนาจริงๆ คือการจัดตั้งกองทัพเพื่อต่อต้านอำนาจของรัสเซีย
เพื่อนบางคนอาจจะคิดว่า ผมสร้างจินตนาการขึ้นเอง
ผมเองก็คงไม่ปฏิเสธ เพราะผมชอบใช้จินตนาการ
นี่... อาจจะเป็นทั้ง “จุดแข็ง” และ “จุดอ่อน” ของผม แต่ผมมีเจตนาเพียงเพื่อเตือนสติเพื่อนๆ ว่า “จะทำอะไร (ทางการเมือง) ต้องคิดให้รอบคอบเสมอ” และฝึกใช้จินตนาการบ้าง เพราะเราอาจจะตกเป็น “เหยื่อ” หรือกลายเป็นเพียง “เครื่องมือทางการเมือง”
ผู้คนที่รักประชาธิปไตย อาจจะถูกพาไปตาย “ฟรี” เพราะหวังว่า “ประเทศ” จะเป็นประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้ว การตายของเพื่อนๆ กลายเป็นเพียงเครื่องมือให้คนต่างชาติเข้ามายึดครองประเทศไทย หรือส่งผลทำให้คนไทยต้องถลำลึกเข้าสู่โลกแห่งสงคราม จนทำให้ “คนไทย ต้องฆ่า คนไทย” ด้วยกันเอง (ยังมีต่อ)
ในช่วงที่ผ่านมา ผมอธิบายว่า ในยุคโลกาภิวัตน์ ชนชั้นนำสหรัฐอเมริกาได้วางยุทธศาสตร์ที่สำคัญมากในการ “ปิดล้อม” และ “สกัด” พัฒนาการของจีน และเรากำลังอยู่ในยุคที่ระบบโลกพลิกผันครั้งใหญ่ โลกตะวันออกซึ่งนำโดยจีนกำลังก้าวขึ้น ส่วนโลกตะวันตกที่มีสหรัฐอเมริกานำ กำลังเสื่อมทรุดลง
เวลาเรามองดูแผนที่ประเทศไทย ซึ่งอยู่ตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอยู่ทางใต้ของจีน เราต้องตระหนักว่า ไทย อาจจะกลายเป็นเป้าหมายสำคัญทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา โดยที่คนไทยทั่วไป “ไม่รู้ตัว”
ที่สำคัญ เรา หรือ คนไทย และประเทศไทย ถูกลากเข้าไป “ทำสงคราม” ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์และความยิ่งใหญ่ของประเทศไทย แต่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์และความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
คำว่า “ไม่รู้ตัว” จึงมีความหมายมาก
ในช่วงสงครามเวียดนาม คนไทยต้องตายไปมากมายจากสงครามครั้งนี้ และคนไทยจำนวนหนึ่งต้องยอมสละชีวิตเพื่อการต่อสู้เพื่อขับไล่ฐานทัพอเมริกันออกจากประเทศไทย และเพื่อโค่นล้มรัฐบาลทรราช
สงครามนี้ต่อเชื่อมมาถึงสงครามที่คนไทยต้อง “ฆ่า” คนไทยด้วยกันเอง เมื่อ 6 ตุลาคม 2519 และสืบทอดไปถึงสงครามระหว่างรัฐไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
เพื่อนๆ ของผม ตายไปหลายต่อหลายคน ผมเองคาดว่า ผู้คนได้เสียชีวิตไปนับหมื่นคน
คำว่า “ไม่รู้ตัว” จึงมีค่าอย่างยิ่ง และถือว่าเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง ที่คนไทยทุกคนต้องสรุปบทเรียน
อย่าให้ประวัติศาสตร์...ต้องซ้ำรอยอีก
และอย่ายอม... คนไทยต้อง “ไม่ฆ่า” คนไทยด้วยกันอีก
ในยุคโลกาภิวัตน์ ชนชั้นนำอเมริกันได้พยายามลากประเทศไทยเข้าอยู่ภายใต้อุ้งปีกของสหรัฐอเมริกาอีก ยิ่งอเมริกาเผชิญหน้ากับจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ไทยจะยิ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์มากขึ้น และจะยิ่งถูกผนวกเข้าใต้ปีกของพญาอินทรี
ผมกลัวว่า วันหนึ่งข้างหน้า...เราจะกลายเป็น “ที่ตั้ง” หรือ “ฐานทัพ” อเมริกาอีกครั้งหนึ่ง ในสงครามการช่วงชิงความเป็นจ้าวระหว่างอเมริกากับจีน
คำถามคือ “สหรัฐอเมริกา จะพยายามลากประเทศไทยเข้าสู่อุ้งปีกของตนได้อย่างไร”
เพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้ ผมขอกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น 3 เหตุการณ์
เหตุการณ์ที่ 1 สงครามโจมตีค่าเงินบาท
ผมได้กล่าวเรื่องนี้ไว้แล้วในตอนต้น ผลของสงครามครั้งนี้ทำให้ปีกพญานกอินทรีและสิงคโปร์ ขยายอิทธิพลครอบทางเศรษฐกิจไทย (ก่อนหน้านี้ ประเทศที่มีอิทธิพลเหนือเศรษฐกิจไทย คือ ญี่ปุ่น)
หลังจากนั้น “การยึดการเมืองไทย” ผ่านระบบการเงินที่ไร้พรมแดน ย่อมทำได้โดยไม่ยาก เพราะชนชั้นนำสิงคโปร์เองก็รู้ว่าสามารถยึดประเทศไทยทางการเมืองได้โดยการระดมทุนเข้ามาสนับสนุนให้สร้างพรรคการเมืองขนาดใหญ่ขึ้น
ตอนเกิดสงครามตีค่า “เงินบาท” นักวิชาการบางท่านยืนยันว่า คุณทักษิณยืนข้างฝ่ายสิงคโปร์ และร่วม “ตี” ค่าเงินบาทด้วย จริงหรือไม่ ผมไม่ยืนยัน
พอคุณทักษิณระดมทุนสร้างพรรคการเมือง ท่านก็รู้ว่า ท่านไม่จำเป็นต้องระดมเงินจากประเทศไทยเท่านั้น เพราะท่านรู้ว่า “ทุนการเงิน” โดยเฉพาะจากสิงคโปร์ ต้องการขยายอำนาจครอบการเมืองไทย
ถ้ามีเงิน “มหาศาล” ก็ใช้ซื้อนักการเมืองได้
เรียกว่า “เลือกได้เลย” เลือกก็เอาเฉพาะนักการเมืองที่ชนะเท่านั้น แล้วไทยรักไทยจะไม่ชนะการเลือกตั้งได้อย่างไร
เรื่องนี้ คงจะโทษคุณทักษิณไม่ได้ เพราะท่านเข้าใจระบบโลกใน “ยุคโลกาภิวัตน์” ได้ดี ท่านอาจจะคิดว่า ในยุคนี้สหรัฐอเมริกากำลังกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ท่านจึงเลือกเป็นพันธมิตรกับฝ่ายชนะ
ท่านรู้จักใช้ “ความเป็นโลกาภิวัตน์” เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของท่าน (อาจจะมีประโยชน์ของกลุ่มทุนโลกด้วย โดยเฉพาะทุนสหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์)
เหตุการณ์ที่ 2 พันธมิตรพิเศษนอกนาโต้ (NATO)
เรื่องราวนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐอเมริกาประกาศทำสงครามกับผู้ก่อการร้ายทั่วโลก และเคลื่อนทัพเข้าไปตีอิรัก
คุณทักษิณเดินทางไปอเมริกา และไปเจอกับประธานาธิบดีบุช ที่ประเทศอเมริกา คุณทักษิณก็ถูกจับมือเซ็น สัญญา เรื่อง พันธมิตร “พิเศษ” นอกนาโต้
ผมคิดว่า นี่คือ การพยายามผนวกประเทศไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม คล้ายๆ กับยุคสงครามเวียดนาม หรือกล่าวว่า ดึงประเทศไทยเข้าไปร่วมรบกับผู้ก่อการร้าย ด้วย
ตอนแรก ผมเองก็ไม่เข้าใจคำว่า “พิเศษ” เพราะคิดไม่ออกว่า ถ้าทางไทยส่งทหารไปช่วยรบที่อิรัก เราก็เป็นเพียงพันธมิตรแบบธรรมดา ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ
ผมมาเข้าใจเมื่อหันมาศึกษาเรื่อง “การประกาศจีฮัด (ญิฮาด)” (หรือสงครามศาสนาของชาวมุสลิม)
ผมเข้าใจว่า การประกาศสงครามครั้งนี้นั้นประกาศหลายจุดด้วยกัน จุดหนึ่งนั้นคือ ที่อียิปต์ อีกจุดหนึ่งที่สำคัญมากคือ ที่อินโดนีเซีย ด้วย
ชนชั้นนำอเมริกา ให้ความสำคัญต่อการประกาศจีฮัดที่อินโดนีเซียอย่างมาก เพราะในย่านนี้คือ ฐานกำลังรบ และถ้ามีการขนกำลังจากอินโดนีเซียไปช่วยรบในสงครามอิรัก สงครามอิรักจะยืดเยื้อและหนักหน่วงมาก
ผมจึงพบความหมาย “อะไรคือ พันธมิตรพิเศษนอกนาโต้” กล่าวอย่างสรุปก็คือ จะดึงประเทศไทยเข้าร่วมสงครามกับผู้ก่อการร้ายโดยตรง
หรือกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมว่า อเมริกาต้องการเปิดสงครามที่ทางใต้ของไทย เพื่อสลายกำลังรบส่วนหนึ่ง ให้มา “รบ” กันในประเทศไทย
อีกแผนหนึ่งคือ ต้องการฟื้นฐานทัพอเมริกาในประเทศไทย เพื่อเป็นแนวหน้าในยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน
แล้วจะทำอย่างไร...ให้ไทยกลายเป็นพันธมิตรพิเศษให้ได้
เรื่องนี้เริ่มจากบรรดาเด็กชาวมุสลิมทางใต้ไปวางระเบิดที่สถานีรถไฟ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องผิดปกตินัก และมักจะเกิดขึ้นเสมอๆ ช่วงก่อนปีงบประมาณ เจตนาส่วนหนึ่งเพื่อ “ดึง” งบประมาณทหารลงไปทางใต้
ผมเองคิดว่า คุณทักษิณก็รู้เรื่องนี้ดี ท่านรู้ว่า “เรื่อง” เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ท่านถูก “บีบ” ให้ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่
ท่านจึงถามในที่ประชุมขึ้นว่า “พวกเด็ก” หรือไม่พวกที่ท่านเรียกว่า “โจรกระจอก” มีเท่าไหร่ ทหารก็บอกว่า “มีประมาณ 50 คน” ท่านก็สั่งให้เก็บ ให้หมด
ทหารไม่เก็บ เพราะบรรดา “เด็ก” เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่มีความสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับสายทหาร
ท่านจึงสั่ง “ยุบ” ศูนย์ปฏิบัติการของทหารทางภาคใต้ และให้ตำรวจลงไปจัดการ ตำรวจก็เข้าไปทำหน้าที่อุ้ม “ฆ่า” รวมทั้งการฆ่าคุณสมชาย นีละไพจิตร ทนายความชื่อดัง ผู้คนทาง 3 จังหวัดภาคใต้ถูก “อุ้มฆ่า” ไปประมาณ 200 ศพ
แต่ปฏิบัติการ “อุ้มฆ่า” เพียงอย่างเดียว ยังไม่พอที่จะสร้าง “สงคราม” และ “พันธมิตรพิเศษ” จึงต้องต่อด้วย “แผน” การบุกยึดและทำลายกรือเซะ ศาสนสถานสำคัญทางศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นที่นับถือของชาวมุสลิมในย่านนี้
ที่แปลกคือ ในช่วงที่ทหารไทยบุก และทำลายกรือเซะ สถานีโทรทัศน์ CNN ก็มาทำข่าว และเสนอภาพการบุกครั้งนี้ไปทั่วโลก หลังจากข่าวแพร่กระจายไปทั่วโลก แทนที่สหรัฐอเมริกาจะว่าประณามไทย “ทำเกินเหตุ” กลับ “ยกย่อง”
ผมจำได้คร่าวๆ ว่า รองประธานาธิบดีอเมริกาถึงกับประกาศว่า “สหรัฐอเมริกา พร้อมจะส่งกำลังรบเข้ามาช่วยไทย ทำสงครามกับผู้ก่อการร้ายในประเทศไทย”
ผมจึงเริ่มเข้าใจว่า “อะไรแน่ๆ คือ พันธมิตรพิเศษนอกนาโต้”
แต่ถึงอย่างไร คนไทยยังโชคดีมาก เพราะบรรดาพลังมุสลิม “อ่าน” ความต้องการของอเมริกาออก จึงไม่ส่งกำลังมาช่วยชาวมุสลิมที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามจึงจำกัดตัว และสหรัฐอเมริกาไม่สามารถเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย
เหตุการณ์ที่ 3 กรณีเผาบ้านเผาเมือง
ผมเองคิดว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องเข้าใจได้ยากที่สุด ผู้อ่านอาจจะคิดว่าเป็นการแต่งนิยายขึ้นเอง เอาเถอะ... ก็ถือว่าเป็น “นิยาย” ก็แล้วกัน
นิยายนี้เริ่มจากคุณทักษิณไปเมืองจีน แล้วไปเปิดสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ในฐานะ “ญาติ” กับทางการจีน เพราะท่านเองมีเชื้อสายจีน ตระกูลของท่านก็ “อยู่” ที่ประเทศจีน
ทางจีนเองก็พยายามผูกสนิทกับคุณทักษิณ ให้เกียรติท่านอย่างมากเช่นกัน
เรื่องราวความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ คุณทักษิณไปจีนบ่อยขึ้น เรื่องราวเหล่านี้ได้ “เข้าหู” สหรัฐอเมริกามากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ
อีกสาเหตุหนึ่ง บางครั้งคุณทักษิณไม่ค่อยชอบอเมริกานัก เพราะอเมริกามักจะแสดงบทเป็น “นายใหญ่” สั่ง สั่งๆๆ... และสั่ง
มีบางครั้ง คุณทักษิณก็โกรธมาก จนหลุดปากว่า “UN ไม่ใช่พ่อ”
แต่ที่จริง อเมริกาไม่ได้สนใจคำกล่าวนี้หรอก ที่อเมริกาโกรธมากๆ อีกเรื่องหนึ่งคือ คุณทักษิณไปทำตัวเป็น “ผู้จัดการ” ผู้ซึ่งทำหน้าที่ในการแบ่งสรรผลประโยชน์เรื่องน้ำมัน และแก๊ส ที่พบในเขตทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยอาศัย “ความใกล้ชิด” กับท่านนายกฮุนเซน
ผมจึงคิดสร้างทฤษฎีประหลาดๆ ขึ้นมาชุดหนึ่ง อธิบายเหตุการณ์ รัฐประหาร 19 กันยา ใหม่ว่า “อเมริกา น่าจะมีบทบาทร่วมลงขัน”
ในช่วงรัฐประหาร 19 กันยา ผมพบว่า บรรดานายทหารอาวุโสมากๆ ที่เคยอยู่สายอเมริกาหันมาอยู่กับด้านพันธมิตรหมด และบรรดาท่านเหล่านี้มีบทบาทสูงอย่างมากๆ
แต่ผมก็ยืนยันไม่ได้จริงๆ ว่า “อเมริกามีบทบาทจริงๆ แค่ไหน”
ที่ผมผิดสังเกตอย่างมากๆ คือ หลังจากรัฐประหาร 19 กันยา รัฐบาลอเมริกาซึ่งรักประชาธิปไตยอย่างสุดซึ้ง กลับ “ไม่ได้” แสดงบทบาทคัดค้านรัฐประหาร
ราวกับว่า “มี” การตกลงร่วมกันไว้แล้ว
ผู้นำสหรัฐอเมริกามักจะถือว่า การเมืองไทย “ต้องตก” อยู่ใต้อุ้งปีกของอเมริกา จะยอมให้เกิดการก่อรัฐประหารง่ายๆ ได้อย่างไร
เรื่องที่แปลกกว่านี้คือ หลังจากคุณทักษิณออกจากประเทศไทย ท่านไปอยู่ที่ดูไบ ประเทศดูไบ คือ สายทุนโลก ซึ่งเชื่อมกับทางสายซาอุฯ และเชื่อมสายทุนกับทางอเมริกา
จนดูราวว่า หลังเกิดรัฐประหาร สหรัฐอเมริกาหันไป “อุ้ม” คุณทักษิณอีก หรือว่า ผู้นำสหรัฐอเมริกาถือไพ่ 2 ใบ
เล่นเอา...นักวิเคราะห์สถานการณ์...อย่างผม “งง”
ผมคิดได้แบบเล่นๆ ว่า ทางอเมริกาน่าจะไม่ชอบทางสถาบันฯ นัก เพราะสถาบันฯ ใกล้ชิดกับจีนอย่างมากเช่นกัน
ผมได้พบ “คำตอบ” หลังจากผมเห็นภาพคนสำคัญ 3 คนอยู่ด้วยกัน คือ คุณทักษิณ นายทหารสำคัญที่ใกล้ชิดอเมริกา และ เสธ.แดง
ช่วงนั้น มีเพื่อนนักวิชาการคนหนึ่งให้ข้อมูลกับผมว่า
“อเมริกาหันไปหนุนคุณทักษิณกับฝ่ายเสื้อแดงแล้ว”
ผมเองได้แต่พูดล้อเล่นๆ กับบรรดาเพื่อนๆ ว่า
“ทั้งหมด คือ เรื่องยุทธการตาอินกะตานา และตาอยู่”
บรรดาเพื่อนๆ ไม่มีใคร “เข้าใจ” ทฤษฎีตาอิน ตานา และตาอยู่ ของผมสักคน
ผมเลยต้องยกแม่น้ำทั้ง 5 มาช่วยอธิบาย
ผมอ้างว่า ให้ย้อนดูประวัติศาสตร์ในยุคล่าอาณานิคม บรรดาประเทศที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอังกฤษ จะถูกทำให้แบ่งแยกเป็นหลายๆ ฝ่าย และทุกฝ่ายจะถูก “ยุ” ให้รบกันเอง
อย่างเช่น พม่า ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ หรือ อินเดีย รวมถึงโลกอาหรับ ก็เกิดแตกเป็นเสี่ยงๆ เช่นกัน
แต่ “ประเทศไทย” ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นโดยตรง จึงไม่เข้าใจนโยบายนี้
เรื่องตาอินกับตานา นี่คือนโยบายของชนชั้นมหาอำนาจ ที่เรียกว่า “แบ่งแยก และปกครอง”
อธิบายง่ายๆ คือ พยายามหนุนให้เกิดหลายๆ ฝ่าย บางช่วงก็ทำตัวช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้เกิดการเผชิญหน้าหรือสงครามระหว่างกัน
ยิ่งตาอินกับตานา รบ “ฆ่า” กัน ตาอยู่ก็เอาไปกิน เพราะทั้งตาอิน ตานา ก็ต้องขึ้นกับตาอยู่ ทั้งสองฝ่ายล้วนต้องซื้อ “อาวุธ” จากตาอยู่ แล้วใช้อาวุธตาอยู่ “ฆ่า” กัน
นิยายที่ผมแต่งขึ้นนี้ ขอจบลงด้วยคำถามว่า
ถ้าตานา และที่ปรึกษา (อเมริกา) รู้ว่า ทหารส่วนใหญ่อยู่ฝ่ายตรงข้าม กำลังรบที่มีอยู่ไม่พอที่จะล้มระบบอำมาตย์ได้ ทำไมถึงสั่งให้สู้ และสั่งให้ “เผาบ้านเผาเมือง”
ถ้าทางทหารสั่งปราบขบวนการ “เผาบ้านเผาเมือง” ผู้คนจะตายกัน... อีกเยอะ แต่ทหารไทยรู้ทัน... “ไม่ทำ”
ผมคิดว่า คำตอบเดียว ที่น่าจะดูมีเหตุผลบ้าง คือ เจตนาจะก่อการจลาจล หรือ ก่อสงครามกลางเมือง
ถ้าเกิดจลาจล (หรือสงครามกลางเมือง) ขึ้น รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ ก็จะเกิดช่องว่างทางการเมือง
ถ้าคน “ฆ่า” กันยิ่งมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสเสนอให้ UN สหประชาชาติต้องเข้ามาระงับศึก
แต่ต้องระวังเช่นกัน เพราะ กองทัพยูเอ็น ก็คือกองทัพของสหรัฐอเมริกา และยุโรป ด้วยเช่นกัน
มีบางประเทศ อย่างเช่นที่ โคโซโว สหรัฐอเมริกาก็ใช้นโยบายแบบนี้คล้ายกัน อาศัยทำให้ผู้คนแตกเป็น 2 ฝ่าย และส่งกำลังกองทัพเข้าไปดูแล แต่ เจตนาจริงๆ คือการจัดตั้งกองทัพเพื่อต่อต้านอำนาจของรัสเซีย
เพื่อนบางคนอาจจะคิดว่า ผมสร้างจินตนาการขึ้นเอง
ผมเองก็คงไม่ปฏิเสธ เพราะผมชอบใช้จินตนาการ
นี่... อาจจะเป็นทั้ง “จุดแข็ง” และ “จุดอ่อน” ของผม แต่ผมมีเจตนาเพียงเพื่อเตือนสติเพื่อนๆ ว่า “จะทำอะไร (ทางการเมือง) ต้องคิดให้รอบคอบเสมอ” และฝึกใช้จินตนาการบ้าง เพราะเราอาจจะตกเป็น “เหยื่อ” หรือกลายเป็นเพียง “เครื่องมือทางการเมือง”
ผู้คนที่รักประชาธิปไตย อาจจะถูกพาไปตาย “ฟรี” เพราะหวังว่า “ประเทศ” จะเป็นประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้ว การตายของเพื่อนๆ กลายเป็นเพียงเครื่องมือให้คนต่างชาติเข้ามายึดครองประเทศไทย หรือส่งผลทำให้คนไทยต้องถลำลึกเข้าสู่โลกแห่งสงคราม จนทำให้ “คนไทย ต้องฆ่า คนไทย” ด้วยกันเอง (ยังมีต่อ)