ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ฟ้าผ่าที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล อย่างไม่มีปี่มีขุ่ย ตั้งแต่เช้ามืดวันอังคารที่ 28 ก.พ. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี จะเป็นเพราะอาการน้อยอกน้อยใจ หรือมีปัญหาทางด้านสุขภาพ และคนในครอบครัวต้องการให้พักผ่อน เพราะที่ผ่านมาทำงานหนักมาตลอดตั้งแต่ ผอ.สำนักงบประมาณ จนมาเล่นการเมือง ตามที่ “นายกนกแก้ว” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ “อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บอกเอาไว้
แต่“บัณฑูร สุภคัวนิช”เพื่อนสนิทสุดเลิฟ“พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”สมัยที่เรียนอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยกัน ก็ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง“เลขาธิการนายกรัฐมนตรี” ซึ่งถ้าเป็นสมัยนายกฯคนอื่น ๆจะมีหน้าที่เหมือนกับ “นายกฯเงา”ของรัฐบาล เช่น เดียวกับสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มี “หมอมิ้ง” นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดชหรือ“อ้าย” ยงยุทธ ติยะไพรัช นั่งใหญ่คับฟ้าในตึกไทยคู่ฟ้า
หรือสมัย “อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ” ที่มี “นิพนธ์ พร้อมพันธ์”เป็นเลขาธิการ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น“กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ” หรือสมัย “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” ก็มี “พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป” คนใกล้ชิด “ป๋า” เป็นเลขาธิการ สมัย “สมัคร สุนทรเวช“ ก็มี “ธีรพล นพรัมภา” เจ้าตำรับ “แก๊งออฟโฟว์”
บุคคลกลุ่มนี้ จะถูกฝ่ายค้านพาดพิงตลอดว่า เป็น“ล็อบบี้ยิสต์”ของรัฐบาล
กลับมาที่“บัณฑูร”ที่ต้องบอกว่าเป็นอดีตเลขาธิการนั้น เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ก่อนลาออก เมื่อเช้าวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ศิริรวม 5 เดือนเศษ ก่อน ครม.จะแต่งตั้งให้กลับมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
ก่อนนั้นท่ามกลางกระแสว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ” ส่ง “บัณฑูร”มาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีด้วยตัวเอง เพราะเชื่อใจความเป็นเพื่อน และการทำงานกับพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีข่าวว่า เป็นผู้ผลักดันไต่เต้าจนมาเป็น “รองผอ.สำนักงบประมาณ” ก่อน“รัฐบาลสมัคร”จะถูดดันมาเป็น “ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ” สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในระหว่างปี พ.ศ. 2551 ถึง พ.ศ. 2552 ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ในระหว่างปี พ.ศ. 2552 ถึง พ.ศ. 2554
ตามประวัติ จบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านรัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเคนทักกี เมื่อปี พ.ศ. 2517 และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
จากนั้นในปี พ.ศ. 2540 ได้ผ่านการศึกษาอบรมปริญญาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 39 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2545 จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงอีกแห่งหนึ่ง
ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2554 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 13 พรรคเพื่อไทย ก่อนที่จะต้องลาออกเพื่อเปิดทางมารับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) รวมทั้งเป็นเจ้าของ“สุภัคโฮเต็ล โรงแรมแห่งแรกในจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นธุรกิจในกงสีของตระกูล "สุภัควณิช"
มีการเปรียบเทียบระหว่าง “หมอมิ้ง” กับ“บัณฑูร” มีความเหมือนกัน ตรงที่เป็น "คนทำงานเก่ง" มีภาพความเป็นนักการเมืองน้อย
“ข่าวบัณฑูรลาออก” เหมือนกับว่าถูกแย่งที่นั่งกันบนตึกไทยคู่ฟ้า จน “บัณฑูร”ต้องเก็บข้าวของ ระหกระเหินไป “ตึก 44” หรือตึกสีขาว ซึ่งเป็นตึกเก่าสำนักเลขาธิการนายกฯ ที่สมัยก่อนเรียกว่า “ห้องเย็นข้าราชการประจำ”
ประกอบกับภาพของ“สุรนันท์ เวชชาชีวะ” ที่ทุกสายตาจับจ้อง หลังพบเจ้าตัวเข้ามาเพ่นพ่านในทำเนียบรัฐบาล มาตั้งแต่เหตุ “มหาอุทกภัย” หลังจากเข้ามาอยู่ในบ้าน 111 เขาผันตัวเองเป็นผู้ดำเนินรายการ โดยเริ่มจาก “สุรนันทน์วันนี้” “The Commentator” (Voice TV) “คุยกันวันเสาร์” (TNN 24) เขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ Bangkok Post และสยามรัฐ
ภาพชัดๆของ “สุรนันท์”ที่มาช่วยงานที่ตึกไทยคู่ฟ้า หลังจากผ่านพ้นปัญหาวิกฤตน้ำท่วม ทำหน้าที่เสมือน เลขาส่วนตัว นายกฯ คอยทำหน้าที่สกรีนงานต่างๆให้นายกฯทุกเรื่อง
ยังมีส่วนร่วมบริหารจัดรายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน” ส่งผลมีบทบาทอย่างมากในทำเนียบรัฐบาล จนทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับทีมงานการเมืองของนายกรัฐมนตรีบางส่วน
แถมมีข่าวว่า ได้แรงหนุนจาก คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร
ข่าวที่ว่ามี“แฟ้มเอกสารงานบริหารประเทศ” ประเภท วาระการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.)ปกสีต่าง ๆ ที่เมื่อก่อนคนที่จะส่งถึงมือนายกฯควรจะเป็นเลขาธิการ แต่กลับข้ามหัว ตกมายังคนมาทีหลัง
จน “บัณฑูร”เกิด“ความน้อยใจ และไม่สบาย ในที่สุด”
ส่วนกระแส ความขัดแย้งกับฝ่ายการเมืองในพรรคเพื่อไทยกรณีเรื่องการเสนอของบประมาณและโครงการต่างๆ ผ่านกระทรวงต่างๆ เพื่อให้นำเข้าที่ประชุมครม.เนื่องจาก “บัณฑูร” เคยเป็น “ผอ.สำนักงบประมาณ” มาก่อนจึงรู้ระบบงบประมาณเป็นอย่างดี จึงไม่ค่อยเห็นด้วยในบางเรื่องทำให้ฝ่ายการเมืองไม่พอใจ จนเกิดปัญหาการทำงานขึ้น
หลายคนฟันธงว่า เกิดจากปัญหาการทำงานของทีมงานฝ่ายการเมือง รอบกายนางสาวยิ่งลักษณ์ มากกว่า
เป็นใครก็คงน้อยใจถ้าถูกดึงเอกสารมาแก้ใหม่ โดยเฉพาะสุนทรพจน์หรือสคิปต์ที่ให้นายกฯ กล่าวในงานต่างๆ
“ผมเป็นเลขาธิการนายกฯ นะเว้ยเฮ้ย! ” ถ้าดูใจท่านอดีตเลขาฯคงอยากจะพูดอย่างนี้
ประกอบกับ กลุ่มกทม.พรรคเพื่อไทย ที่มี “คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธ์” เป็นหัวหน้ากลุ่ม ก็ยังมีข่าวเตรียมเปิดทางบ้านเลขที่ 111 มาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ประกอบกับ “สุรนันท์”ก็เป็นทีมงาน กทม. ย่อมต้องการเข้ามาฝึกงาน ไม่แน่! “ปู 3-4-5” อาจจะได้กลับมานั่งกระทรวงใหญ่ๆ จะเรียกว่า “ฝึกงาน”ก่อนคงไม่ผิด
จะเห็นได้จากช่วงที่ “คุณหญิงสุดารัตน์ “ได้เปิดบ้านพักย่านลาดปลาเค้า จัดงานเลี้ยงปีใหม่ 2555 โดยมี ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. ร่วมถกปัญหาสารพัดการเมือง
“โดยวงประชุมดังกล่าวได้มีการหารือกันเรื่องการเมืองในพรรคเพื่อไทย ในช่วงเดือนมิถุนายน ที่กลุ่ม สมาชิกบ้าน 111 จะพ้นโทษทางการเมืองโดยส.ส.ในกลุ่มได้รับสัญญาณว่าพวก 111 ไทยรักไทยจะยังไม่กลับมารับตำแหน่งการเมืองทันทีหลังเดือนมิถุนายน ยกเว้นเหตุจำเป็นจริงๆ เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ในพรรคได้แสดงฝีมือเต็มที่ ซึ่งที่ประชุมได้มีการหารือกันถึงบทบาทของนายสุรนันท์ที่เคยเป็นคนของคุณหญิงสุดารัตน์ด้วย”
กลุ่มกทม. ยังประเมินว่า “สุรนันท์”น่าจะกลับมารับตำแหน่งทางการเมืองด้วย ด้วยการเป็นรัฐมนตรีหากมีการปรับครม.ในอนาคต โดยคุณหญิงสุดารัตน์และกลุ่ม กทม .เห็นตรงกันตรงว่า ไม่เห็นด้วย เพราะที่ผ่านมา นายสุรนันท์ ทิ้ง พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยไป ในยามลำบากในช่วงหลัง19 กันยายน 49 ไปร่วมก่อตั้งพรรคเพื่อแผ่นดินแล้วก็ตั้งทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม. แข่งกับพรรคพลังประชาชน และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมาช่วยงานอะไรพรรคเพื่อไทย เพิ่งจะมาหลังพรรคชนะการเลือกตั้ง ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทยก็แสดงท่าทีไม่เห็นด้วย ในเรื่องที่จะให้นายสุรนันท์มารับตำแหน่งการเมืองหลังเดือนมิถุนายน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีคุมสื่อ หรือเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ฉบับที่แล้วเขียนว่า เพื่อไม่ให้อำนาจสะดุด"คุณหญิงหน่อย" กับเพื่อน ๆนักเรียนร่วมห้องหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน หรือ “วตท.”-ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลายคนที่ติดชื่อบ้าน 111 ได้แก้เกมคุณสมบัติ “นักการเมือง”ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งไว้แล้ว!
การส่ง “สุรนันท์”มาชิมลาง ในโควตา กทม.จึงเป็นส่วนหนึ่งในการแก้เกมไปโดยปริยาย.