xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“สนธิ”-“ทักษิณ” ใครเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สนธิ ลิ้มทองกุล
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หลังศาลอาญามีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.1036/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายสุรเดช มุขยางกูร อดีตกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ.แมเนเจอร์ฯ และน.ส.วยุพิน จันทนา อดีตกรรมการ บมจ.แมเนเจอร์ฯ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 307, 311, 312 (1) (2) (3) , 313 โดยมีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ให้จำคุกคนละ 20 ปี

ปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคมต้องการรับรู้ถึงปฏิกิริยาและความคิดเห็นของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่มีต่อคำพิพากษาครั้งนี้ ซึ่งหลังจากเข้าฟังคำพิพากษา นายสนธิก็ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่ศาลอาญา ซึ่งแต่ละคำพูด แต่ละประโยคที่ให้สัมภาษณ์นั้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงตัวตนของนายสนธิที่เคารพในกระบวนการยุติธรรมของราชอาณาจักรไทยเป็นอย่างดี

“คดีความนี้เป็นคดีความที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2538 เป็นคดีความเรื่องของผิด พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ เป็นเรื่องของการเอาบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไปค้ำประกันอีกบริษัทหนึ่ง คดีนี้ได้มีการดำเนินคดีมาสืบเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 2539 จนกระทั่งถึงวันนี้ ในการต่อสู้คดีนั้นผมปฏิเสธที่จะต่อสู้คดี ผมยอมรับผิด ผมจะไม่พูดเบื้องหลังว่าใครเป็นคนทำก็แล้วกัน เอาเป็นว่าผมยอมรับในกระบวนการยุติธรรมของไทย วันนี้เป็นวันที่พิสูจน์ชัดเจน ว่าผมพร้อมจะเดินเข้าศาล”

“ผมโดนลงโทษทั้งหมดเบ็ดเสร็จ 85 ปี แล้วในที่สุดก็ลดเหลือ 20 ปีก็เพราะว่าในกฎหมายไม่ให้เกิน 20 ปี ผมใช้สิทธิ์ของผมในการอุทธรณ์เพื่อขอความเมตตาต่อศาลว่า คดีความผมไม่ใช่คดีความค้ายาเสพติดหรือไม่ใช่คดีความของการปล้นสะดม ฆ่าผู้คน เป็นคดีที่ผิดพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ แล้วก็ไม่มีโจทก์ร่วม ประเด็นสำคัญสำหรับผมก็คือว่า ผมได้พิสูจน์ให้สังคมไทยเห็นว่า ผมยอมรับกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน”

“ระหว่างที่ผมฟังคำพิพากษานั้น ผมอดไม่ได้ที่จะขำ ผมขำตรงที่ว่าโดนตรงโน้น โดนตรงนี้ ผมนึกในใจว่า เอ๊ะ! เอาให้ถึงร้อยปีเลยดีไหม ผมเป็นเพียงแต่ขำอย่างเดียวเท่านั้นเองว่าผมผิด พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ ผมโดนไป 80 ปี ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่คนที่ค้ายาเสพติด หรือไม่ได้ไปเผาบ้านเผาเมืองใคร แต่ไม่เป็นไร ในฐานะที่ผมรับสารภาพก่อนการสืบคดีสิ้นสุด ศาลสถิตยุติธรรมมีมติที่จะพิพากษาผมอย่างไรผมก็ยอมรับในคำพิพากษานั้น ไม่ตัดพ้อต่อว่า เพราะผมต้องการทำให้ผมเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเมื่อผิดต้องยอมรับผิด”

“และเมื่อต้องคดี ศาลพิพากษามาจะอย่างไรก็ตามที่ศาลพิพากษามา จะยอมรับหมดทุกเรื่อง ไม่มีข้อแม้ ไม่เคยที่จะต้องมาประท้วงศาลว่าศาลไทยไม่ยุติธรรม ไม่เคยที่จะมาตั้งกลุ่มชุมนุมติดป้ายด่าศาล ผมเป็นคนที่เคารพศาลไทยมาตั้งแต่ต้น มาศาลผมก็มา ผมไม่เคยหนีศาล ไม่เคยเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะผมต้องการทำตัวอย่างหลักนิติรัฐให้คนเห็นว่าถ้าคนยอมรับหลักนิติรัฐแล้วทุกอย่างแก้ปัญหาได้ เพราะว่าคดีผมยังมีอุทธรณ์และฎีกาต่อ และผมก็เชื่อว่าในการอุทธรณ์ของผมนั้นจะมีผลที่ดีขึ้น หรือเลวลง หรือเท่าเดิม ผมก็ยอมรับ”
      
“ถ้าผมไม่พอใจผลของศาลอุทธรณ์ ผมก็จะฎีกาต่อไป ในที่สุดศาลฎีกามีผลอย่างไรก็ตาม ผมจะยืดตัวเชิดหน้ายอมรับคำพิพากษาของศาลอย่างไม่ยี่หระ และยอมรับไปทุกกรณี วันนี้ผมออกมาแถลงข่าวเพื่อให้ทราบว่า ผมเคารพในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ผมไม่เคยตีโพยตีพาย ไม่ว่าผมจะโดนคดีกี่คดี โดนสั่งจำคุกมาแล้วกี่คดี ผมไม่เคยตีโพยตีพาย ผมถือว่านี่คือที่พึ่งสุดท้ายของประเทศ”

“แล้วถ้ากระบวนการยุติธรรมซึ่งคนไทยจะต้องพึ่ง แล้วคนไทยไม่เคารพในกระบวนการยุติธรรม ประเทศชาติไปไหนไม่รอด ในขณะเดียวกันกระบวนการยุติธรรมก็ต้องมีคนในกระบวนการยุติธรรมที่ต้องพร้อม ที่จะให้ความยุติธรรมอย่างยุติธรรมจริงๆ ด้วยความเมตตาธรรมนะครับ ผมมีเพียงแค่นี่ล่ะครับ ขอบคุณมากครับ”

ทั้งนี้ คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวของนายสนธิหนีไม่พ้นที่จะนำไปเปรียบเทียบกับ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” นักโทษชายหนีคดีที่ไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาล มิหนำซ้ำยังให้ข้าทาสบริวารอย่างนายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยวาระซ่อนเร้นของการแก้รัฐธรรมนูญที่ต้องการล้มองค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. ศาลปกครอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกต่างหาก

เหมือนดังเช่นที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ในหัวข้อ “จากใจและบทเรียนในคดีของสนธิ ลิ้มทองกุล” ตอนหนึ่งเอาไว้ว่า  “หากเทียบกับกรณีของทักษิณ ชินวัตร จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะทักษิณไม่เคยสารภาพผิด จึงโดนโทษจำคุก 2 ปี ความจริงหากสารภาพผิด หรือสำนึกผิด และประพฤติตัวดี ก็มีโอกาสที่จะได้ลดโทษลง หรือได้รับการอภัยโทษร่วมด้วยกับนักโทษคนอื่นๆ ในครรลองที่ถูกต้องต่อไป และอาจติดอยู่ไม่นาน ซึ่งสถานภาพดีกว่าคุณสนธิหลายเท่าทวีคูณที่ถูกพิพากษามากกว่าทักษิณถึง 10 เท่าตัว แต่ทักษิณกลับเลือกหนทาง ไม่ยอมรับผิด ไม่สารภาพ ไม่สำนึกผิด และด่ากระบวนการยุติธรรมไทยแทน”

“คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ต่อสู้เพื่อให้ทุกคนเคารพหลักนิติรัฐมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่จะรับโทษจำคุกหนัก แต่ก็เลือกหนทางที่จะรักษาหลักนิติรัฐ ยืดอกยอมรับสารภาพว่าตัวเองทำผิด แม้จะยังมีอีกหลายคดี ทั้งคดีการก่อการร้าย, คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, คดี พ.ร.บ.ความมั่นคง, คดีหมิ่นประมาท แม้ว่าคดีเหล่านี้จะสามารถจบลงได้ด้วยดีหากยอมจับมือปรองดองกับนักการเมือง หยุดตรวจสอบโจมตีรัฐบาลได้ในหลายยุคที่ผ่านมา แต่คุณสนธิก็เลือกใช้สิทธิ์ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม และแม้ว่าในบางคดีจะไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ได้รับความเมตตาจากผู้พิพากษาที่เลือกข้างหรือเคยขึ้นเวทีเสื้อแดง แต่คุณสนธิกลับให้ความสำคัญมากกว่าในการรักษาระบบศาลภายใต้พระปรมาภิไธย ดังนั้นคุณสนธิจึงไม่เคยหลบหนีหมายของศาล ประกาศมาตลอดว่าเคารพในศาล และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพในกระบวนการยุติธรรม ต่างจากทักษิณ ชินวัตร เวลาศาลตัดสินเป็นคุณกับตัวเองก็บอกว่าตัดสินด้วยความเป็นธรรมแล้ว แต่เวลาศาลตัดสินเป็นโทษกับตัวเองกับพวกก็โวยวายกล่าวร้ายว่าศาลมีใบสั่งและ อำมาตย์อยู่เบื้องหลัง ยอมทำทุกอย่างเพื่อล้างความผิดให้กับตัวเอง ทั้งการทำลายหลักนิติรัฐ มีขบวนการใช้มวลชนเสื้อแดงใช้กำลัง ใช้อาวุธสงคราม และใช้ไฟเผาบ้านเผาเมือง เพียงเพื่อช่วงชิงอำนาจมาและทำลายกระบวนการยุติธรรมอยู่ในปัจจุบัน”

นอกจากนี้ หากนำเหตุการณ์ดังกล่าวไปเชื่อมโยงกับสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวแก้รัฐธรรมนูญภายใต้คำบงการของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะพบเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองอันน่าสะอิดสะเอียดจากระบอบทักษิณ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ปรึกษา สบ.10 ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมที่ท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิเรียกตัวแกนนำที่ตกเป็นผู้ต้องหา 46 คนมาแจ้งข้อหาเพิ่มเติมและให้ส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมภายในวันที่ 10 มีนาคม 2555 ตามคำสั่งของสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 ในห้วงเวลาเดียวกันกับที่พันธมิตรประชาชนประชาธิปไตยนัดชุมนุมเพื่อกำหนดท่าทีต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 มีนาคมนี้ที่สวนลุมพินี

เสมือนหนึ่งเปิดเกมต่อรองทางการเมืองเพื่อหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ

นี่คือความจริงที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทย

นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นกับนายสนธิและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ครั้งหนึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็น “ม็อบมีเส้น”

แต่วันนี้ ม็อบมีเส้นที่ต่อสู้เพื่อปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์กำลังถูกเล่นงานอย่างหนัก ขณะที่คนเสื้อแดงที่เผาบ้านเผาเมืองกำลังเสวยสุขและได้รับการเยียวยาด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาล
กำลังโหลดความคิดเห็น