นางศศิธร พงศธร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH BANK)เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของธนาคารในปีนี้ว่า ยังคงตั้งเป้าอัตราการเติบโตของธุรกรรมต่างๆอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากที่ได้ยกระดับเป็นธนาคารพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าสินเชื่อและสินทรัพย์เติบโตประมาณ 25% ด้านเงินฝากจะเน้นกลยุทธ์ในการใช้สาขาในการบุกเบิกและสร้างฐานลูกค้าใหม่ โดยจะเน้นไปยังส่วนภูมิภาคมากขึ้น อีกทั้งธนาคารมีแผนการเปิดให้บริการอินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงธนาคารได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะให้บริการได้ในช่วงปลายปี
ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(NIM)น่าจะทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่อยู่ในระดับ 2%กว่า เนื่องจากแนวโน้มต้นทุนด้านต่างๆยังมีทิศทางปรับขึ้นอยู่
สำหรับผลประกอบการในปี 2554 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 525 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน มีรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 44.2% และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้เยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด 105% และรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 38% ขณะที่สินทรัพย์และสินเชื่อเติบโตใกล้เคียงกัน 30% โดยสินเชื่ออยู่ที่ 54,947 ล้านบาท จากการเติบโตของสินเชื่อเอสเอ็มอีที่ 91% ขณะที่ NPL อยู่ที่ 1.6% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของระบบ
นางศศิธรกล่าวอีกว่า ผลกระทบจากหลักเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับการออกตั๋วบี/อีที่ทางการออกมานั้น ในระยะสั้นย่อมมีผลกระทบต่อต้นทุนทางการให้สูงขึ้นเล็กน้อย และหากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)จะกำหนดวงเงินขึ้นต่ำ 10 ล้านบาท อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้ารายย่อยของตั๋วบี/อีทั้งระบบ ซึ่งขณะนี้โครงสร้างเงินทุนของธนาคารมีสัดส่วนตั๋วบี อยู่ที่ 62% และส่วนของเงินฝากอยู่ที่ 38% ซึ่งเมื่อต้นทุนของการออกตั๋วบี/อีกับดอกเบี้ยเงินฝากไม่แตกต่างกันมากนัก การออกตั๋วบี/อีก็คงขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
ส่วนความคืบหน้าเรื่องพันธมิตรนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาขณะนี้อย่างน้อย 1 ราย เป็นสถาบันการเงิน ในอาเซียน ทั้งนี้การเข้าถือหุ้นอาจจะไม่เกิน 25% คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้ สำหรับประเด็นในการร่วมมือเป็นพันธมิตรจะเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนธุรกรรมระหว่างประเทศ ทั้งการออก LC และการให้บริการเทรดไฟแนนซ์ ซึ่งธุรกรรมดังกล่าวจะต้องมีสถาบันการเงินต่างชาติให้การสนับสนุน
ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(NIM)น่าจะทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่อยู่ในระดับ 2%กว่า เนื่องจากแนวโน้มต้นทุนด้านต่างๆยังมีทิศทางปรับขึ้นอยู่
สำหรับผลประกอบการในปี 2554 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 525 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน มีรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 44.2% และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้เยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด 105% และรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 38% ขณะที่สินทรัพย์และสินเชื่อเติบโตใกล้เคียงกัน 30% โดยสินเชื่ออยู่ที่ 54,947 ล้านบาท จากการเติบโตของสินเชื่อเอสเอ็มอีที่ 91% ขณะที่ NPL อยู่ที่ 1.6% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของระบบ
นางศศิธรกล่าวอีกว่า ผลกระทบจากหลักเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับการออกตั๋วบี/อีที่ทางการออกมานั้น ในระยะสั้นย่อมมีผลกระทบต่อต้นทุนทางการให้สูงขึ้นเล็กน้อย และหากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)จะกำหนดวงเงินขึ้นต่ำ 10 ล้านบาท อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้ารายย่อยของตั๋วบี/อีทั้งระบบ ซึ่งขณะนี้โครงสร้างเงินทุนของธนาคารมีสัดส่วนตั๋วบี อยู่ที่ 62% และส่วนของเงินฝากอยู่ที่ 38% ซึ่งเมื่อต้นทุนของการออกตั๋วบี/อีกับดอกเบี้ยเงินฝากไม่แตกต่างกันมากนัก การออกตั๋วบี/อีก็คงขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
ส่วนความคืบหน้าเรื่องพันธมิตรนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาขณะนี้อย่างน้อย 1 ราย เป็นสถาบันการเงิน ในอาเซียน ทั้งนี้การเข้าถือหุ้นอาจจะไม่เกิน 25% คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้ สำหรับประเด็นในการร่วมมือเป็นพันธมิตรจะเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนธุรกรรมระหว่างประเทศ ทั้งการออก LC และการให้บริการเทรดไฟแนนซ์ ซึ่งธุรกรรมดังกล่าวจะต้องมีสถาบันการเงินต่างชาติให้การสนับสนุน
