เมื่อ 10.30 น. วานนี้ (29 ก.พ.) ที่รัฐสภา นายจุติพงษ์ พุ่มมูล เลขาธิการชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย และคณะ เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ นายประชา ประสพดี ส.ส.จังหวัดสมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี ส.ส.และพรรคประชาธิปัตย์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อ งบลูสกายหรือไม่ พร้อมนำหลักฐานซึ่งเป็นซีดีการจัดรายการ สายล่อฟ้า มาให้ด้วย นอกจากนี้ ทางสมาคมฯ ยังขอให้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของสถานีโทรทัศน์ช่องดังกล่าวมีความโปร่งใสหรือไม่
นายจุติพงษ์ กล่าวว่า เชื่อว่ามีการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 ที่ห้าม ส.ส. ส.ว. ที่เป็นนักการเมืองเข้าไปถือหุ้นในสื่อ โดยเฉพาะคำพูดของนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่พูดในรายการว่า “ห้ามบริษัทไทยคมปิดสัญญาณโทรทัศน์ของผมนะผมจ่ายเงินแล้วนะ” ถือเป็นการยืนยันชัดเจนว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มีความเกี่ยวข้องเหมือนเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมดังกล่าว จึงขอให้คณะกรรมาธิการฯ ตรวจสอบหากพบว่ากระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 จริง อาจนำไปสู่การยุบพรรคได้
จากการตรวจสอบพบว่าบุคคลที่ร่วมก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ดังกล่าวเคยเป็นอดีตรองเลขาธิการนายกฯ (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ของรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยมีบริษัทวอชด็อก มีส่วนร่วมมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ซึ่งตนก็ทำโทรทัศน์ดาวเทียมเช่นกัน เงินแค่นี้ไม่สามารถบริหารจัดการได้ อย่างน้อยต้องใช้เงิน 12-15 ล้านบาท ขณะเดียวกันตั้งแต่เปิดสถานีมาเดือน ต.ค.54 ไม่มีโฆษณาเข้า จะเอาเงินจากไหนมาใช้จ่ายเป็นการปิดบังอำพรางซ่อนเร้นหรือไม่ และตัวนายศิริโชค ซึ่งถือเป็นผู้จัดจะต้องไปจ่ายค่าสัญญาณเองทำไม จึงขอให้มีการสอบท่อน้ำเลี้ยงด้วยจะเป็นนักการเมืองก็ทำการเมืองไป แต่อย่ามาทำสื่อ เพราะรัฐธรรมนูญห้าม ขณะเดียวกันเมื่อตรวจสอบผังรายการตลอด 24 ชั่วโมง ก็บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นของพรรคการเมืองคือ พรรคประชาธิปัตย์ที่มีการใส่ร้ายป้ายสีรัฐบาล
นายประชา ประสพดี กล่าวว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ พล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน ประธาน คณะกรรมาธิการฯพิจารณาบรรจุเข้าสู่วาระต่อไป ว่าจะมีมูลตามที่ผู้ร้องกล่าวหาหรือไม่
เมื่อถามว่า จะมีวิธีการตรวจสอบท่อน้ำเลี้ยงอย่างไรนายประชา กล่าวว่า ต้องตรวจสอบชุด กรรมการบริหารของสถานี สถานที่ตั้ง สัญญาเช่าทุนจดทะเบียน หนังสือบริคณห์สนธิ รวมถึงเอกสารการขอรับ สปอนเซอร์ ส่วนจะต้องเรียกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) รวมถึง ส.ส.พรรค ประชาธิปัตย์ที่ไปจัดรายการ มาชี้แจงด้วยหรือไม่นั้น ต้องขอดูที่ข้อมูลก่อน
พร้อมกันนี้ ยังได้ยืนยันการดำเนินการดังกล่าวไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งสื่อแต่อย่างใด ส่วนจะมีการเชิญ บุคคลใดหรือหน่วยงานใดเข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อให้ข้อมูลบ้างนั้น ต้องรอผลการหารือของที่ประชุม คณะกรรมาธิการฯ
ด้าน นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จะต้องมีการตรวจสอบว่า ชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย คือสื่อเทียมหรือสื่อแท้ เพราะไม่ทราบที่มาว่าเป็นสื่อชนิดใด ซึ่งการกล่าวอ้าง ว่าพรรคประชาธิปัตย์มีการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 ที่ห้ามส.ส. ส.ว. ที่เป็นนักการเมืองเข้าไปถือหุ้นใน สื่อนั้น ตนขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องบลูสกาย และ มั่นใจว่าการที่ตนและ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์อีก 2 คน ไปออกรายการสายล่อฟ้านั้น ก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ เช่นเดียวกับทางรายการของช่องเอเซีย อัพเดท แต่ชมรมดังกล่าวกลับไม่ไปตรวจสอบ
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการไม่มีสิทธิตรวจสอบการกระทำของ ส.ส.ซึ่งหากพบว่า ส.ส.คนใดมีพฤติกรรมที่ ผิดกฎหมายก็จะต้องยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ. หรือ ปปช.และคณะกรรมการด้านจริยธรรมเท่านั้น ซึ่งประธานของ คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ก็คือพล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน” ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็อยู่ที่พล.ต.อ.วิรุฬ ว่าจะรับเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ถ้าหากรับเรื่องจริงก็เปรียบเสมือน การชงกันเอง
นางสุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์และสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องบลูสกายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันใดๆทั้งสิ้น ซึ่งสามารถไปตรวจสอบได้เลย
ขณะที่การที่ชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาเรียกร้องเช่นนี้ อยากให้มองกลับไปว่าหากจะทำการตรวจสอบจริงทำไมไม่ร้องให้ตรวจสอบทุกสถานีไปเลย ซึ่งก็ควรให้ความเป็นธรรมกับบลูสกายด้วย และไม่รู้ว่าการที่กมธ.กฎหมายรับเรื่องนี้ไปพิจารณาจริงจะกลายเป็นการเชือดให้สื่อมวลชนดูด้วยหรือไม่ และจะให้องค์กรใดของรัฐมาเชือดสื่ออีกก็ไม่รู้ เสมือนว่ายุคที่เคยครอบงำและแทรกแซงสื่อกำลังกลับมาอีกครั้ง
นายจุติพงษ์ กล่าวว่า เชื่อว่ามีการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 ที่ห้าม ส.ส. ส.ว. ที่เป็นนักการเมืองเข้าไปถือหุ้นในสื่อ โดยเฉพาะคำพูดของนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่พูดในรายการว่า “ห้ามบริษัทไทยคมปิดสัญญาณโทรทัศน์ของผมนะผมจ่ายเงินแล้วนะ” ถือเป็นการยืนยันชัดเจนว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มีความเกี่ยวข้องเหมือนเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมดังกล่าว จึงขอให้คณะกรรมาธิการฯ ตรวจสอบหากพบว่ากระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 จริง อาจนำไปสู่การยุบพรรคได้
จากการตรวจสอบพบว่าบุคคลที่ร่วมก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ดังกล่าวเคยเป็นอดีตรองเลขาธิการนายกฯ (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ของรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยมีบริษัทวอชด็อก มีส่วนร่วมมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ซึ่งตนก็ทำโทรทัศน์ดาวเทียมเช่นกัน เงินแค่นี้ไม่สามารถบริหารจัดการได้ อย่างน้อยต้องใช้เงิน 12-15 ล้านบาท ขณะเดียวกันตั้งแต่เปิดสถานีมาเดือน ต.ค.54 ไม่มีโฆษณาเข้า จะเอาเงินจากไหนมาใช้จ่ายเป็นการปิดบังอำพรางซ่อนเร้นหรือไม่ และตัวนายศิริโชค ซึ่งถือเป็นผู้จัดจะต้องไปจ่ายค่าสัญญาณเองทำไม จึงขอให้มีการสอบท่อน้ำเลี้ยงด้วยจะเป็นนักการเมืองก็ทำการเมืองไป แต่อย่ามาทำสื่อ เพราะรัฐธรรมนูญห้าม ขณะเดียวกันเมื่อตรวจสอบผังรายการตลอด 24 ชั่วโมง ก็บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นของพรรคการเมืองคือ พรรคประชาธิปัตย์ที่มีการใส่ร้ายป้ายสีรัฐบาล
นายประชา ประสพดี กล่าวว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ พล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน ประธาน คณะกรรมาธิการฯพิจารณาบรรจุเข้าสู่วาระต่อไป ว่าจะมีมูลตามที่ผู้ร้องกล่าวหาหรือไม่
เมื่อถามว่า จะมีวิธีการตรวจสอบท่อน้ำเลี้ยงอย่างไรนายประชา กล่าวว่า ต้องตรวจสอบชุด กรรมการบริหารของสถานี สถานที่ตั้ง สัญญาเช่าทุนจดทะเบียน หนังสือบริคณห์สนธิ รวมถึงเอกสารการขอรับ สปอนเซอร์ ส่วนจะต้องเรียกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) รวมถึง ส.ส.พรรค ประชาธิปัตย์ที่ไปจัดรายการ มาชี้แจงด้วยหรือไม่นั้น ต้องขอดูที่ข้อมูลก่อน
พร้อมกันนี้ ยังได้ยืนยันการดำเนินการดังกล่าวไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งสื่อแต่อย่างใด ส่วนจะมีการเชิญ บุคคลใดหรือหน่วยงานใดเข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อให้ข้อมูลบ้างนั้น ต้องรอผลการหารือของที่ประชุม คณะกรรมาธิการฯ
ด้าน นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จะต้องมีการตรวจสอบว่า ชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย คือสื่อเทียมหรือสื่อแท้ เพราะไม่ทราบที่มาว่าเป็นสื่อชนิดใด ซึ่งการกล่าวอ้าง ว่าพรรคประชาธิปัตย์มีการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 ที่ห้ามส.ส. ส.ว. ที่เป็นนักการเมืองเข้าไปถือหุ้นใน สื่อนั้น ตนขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องบลูสกาย และ มั่นใจว่าการที่ตนและ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์อีก 2 คน ไปออกรายการสายล่อฟ้านั้น ก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ เช่นเดียวกับทางรายการของช่องเอเซีย อัพเดท แต่ชมรมดังกล่าวกลับไม่ไปตรวจสอบ
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการไม่มีสิทธิตรวจสอบการกระทำของ ส.ส.ซึ่งหากพบว่า ส.ส.คนใดมีพฤติกรรมที่ ผิดกฎหมายก็จะต้องยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ. หรือ ปปช.และคณะกรรมการด้านจริยธรรมเท่านั้น ซึ่งประธานของ คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ก็คือพล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน” ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็อยู่ที่พล.ต.อ.วิรุฬ ว่าจะรับเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ถ้าหากรับเรื่องจริงก็เปรียบเสมือน การชงกันเอง
นางสุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์และสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องบลูสกายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันใดๆทั้งสิ้น ซึ่งสามารถไปตรวจสอบได้เลย
ขณะที่การที่ชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาเรียกร้องเช่นนี้ อยากให้มองกลับไปว่าหากจะทำการตรวจสอบจริงทำไมไม่ร้องให้ตรวจสอบทุกสถานีไปเลย ซึ่งก็ควรให้ความเป็นธรรมกับบลูสกายด้วย และไม่รู้ว่าการที่กมธ.กฎหมายรับเรื่องนี้ไปพิจารณาจริงจะกลายเป็นการเชือดให้สื่อมวลชนดูด้วยหรือไม่ และจะให้องค์กรใดของรัฐมาเชือดสื่ออีกก็ไม่รู้ เสมือนว่ายุคที่เคยครอบงำและแทรกแซงสื่อกำลังกลับมาอีกครั้ง