xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ เสื่อมเละเทะ

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินมาถึงจุดเสื่อมทรุดที่สุด ตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา เมื่อต้องเผชิญวิบากกรรมกรณีโฟร์ซีซั่น ซึ่งนายกฯ เดินทางหลบออกจากการประชุมสภาฯ ตามปกติ เมื่อวันที่ ๘ ก.พ. มาพบกับกลุ่มนักธุรกิจเป็นการส่วนตัวในเรื่องธุรกิจเป็นการลับเฉพาะ ซึ่งอาจเป็นผลให้นักธุรกิจกลุ่มนี้ได้ข้อมูลสำคัญล่วงหน้าที่เป็นข้อมูลได้เปรียบและนำไปใช้ประโยชน์ในการทำธุรกิจหรือแสวงหาผลประโยชน์ในภายภาคหน้า ซึ่งหากเป็นไปเช่นนี้ก็เท่ากับว่า นี่เป็นการที่นายกฯ มีการสมคบกับนักธุรกิจกลุ่มนี้แสวงหาผลประโยชน์หรือให้ประโยชน์อันมิชอบ และแน่นอนว่ามันผิดต่อจริยธรรมทางการเมืองอย่างแน่นอน

พฤติกรรมทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีอย่างนี้จึงถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ทั้งในส่วนที่ว่าใช้เวลาราชการไปในทางที่ไม่เหมาะสมและนายกรัฐมนตรีมีผลประโยชน์ทับซ้อนในการพบปะกับนักธุรกิจกลุ่มดังกล่าว

การออกมาแก้ต่างให้กับนายกรัฐมนตรี อย่างกรณีของนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ ก็เป็นความพยายามแก้ตัวด้วยการพาสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งไปดูโรงแรมโฟร์ซีซั่นเพื่อพิสูจน์ว่านายกฯ ไม่ได้ไปเพื่อเปิดห้องเล็กๆ แต่โรงแรมซึ่งชั้นที่นายกฯ ไปเป็นชั้น ๗ ที่เป็นชั้นที่มีล็อบบี้ มีลักษณะเป็นศูนย์ธุรกิจและนายประชาว่านายกฯ ไม่ได้ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม และก็นัดพบกับนักธุรกิจ ๖-๗ คนและตนยืนยันว่าไม่ได้คุยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

จะเห็นได้ว่าการแก้ตัวของนายประชาไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นเรื่องราวหรือมีเนื้อหาอะไรมากมาย ไม่ได้บอกเนื้อหาในการเจรจาธุรกิจ อีกทั้งไม่ได้กล่าวถึงลักษณะของการนัดพบว่ามีจุดมุ่งหมายอะไรเป็นที่แน่ชัด เพียงแต่ต้องการโชว์บรรยากาศของห้องพักโรงแรมเท่านั้น และใช้คำพูดของตัวนายประชามายืนยันความบริสุทธิ์ใจของนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

สรุปได้ว่านับแต่มีเรื่องเกิดขึ้น ยังไม่ปรากฏว่ามีข้อมูลใดๆ ออกมาจากนายกฯ หรือฝ่ายรัฐบาลแน่ชัดว่าสิ่งที่นายกฯ ไปคุยหารือกับนักธุรกิจ ๖-๗ คน นั้นคุยกันในเรื่องอะไร ทำให้เกิดข้อสงสัยเป็นอันมากว่าเป็นเรื่องลับและเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ส่วนตัว

นอกจากนั้นหากเป็นเรื่องส่วนรวม ทำไมนายกฯ ไม่เลือกที่จะพูดในเวทีที่กว้างกว่านี้ เช่น ในการอภิปรายของหอการค้าหรือรับเชิญในวาระอื่นๆ ที่ทำได้ หรือเชิญนักธุรกิจประเภทเดียวกันมาหารือในวงที่กว้างกว่านี้และเปิดกว้างให้สาธารณชนได้มีส่วนร่วมได้

ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ นักธุรกิจที่เกี่ยวข้องที่มาพบนายกฯ ที่โฟร์ซีซั่นเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการจัดสรรที่ดิน โดยมีประเด็นเกี่ยวข้องกับการพิจารณาถึงปัญหาการประเมินราคาที่ดินใหม่รวมอยู่ด้วย ทำให้เห็นชัดเจนและเกิดข้อกังขายิ่งขึ้นว่า การหารือในเรื่องนี้จะทำให้นักพัฒนาที่ดินจัดสรรได้ข้อมูลล่วงหน้าไปใช้ประโยชน์ก่อนคู่แข่งรายอื่นๆ ทำให้เป็นข้อได้เปรียบทางการค้า

วิธีการเช่นนี้จึงเท่ากับว่า นายกรัฐมนตรีกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

สำหรับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์ว่ากรณีที่พรรคประชาธิปัตย์โจมตีนายกรัฐมนตรีปฏิบัติการภารกิจ ว.๕ ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่รับน้ำว่า โครงการต่างๆ ไม่ใช่ว่าจะให้ใครทำได้ง่ายๆ ต้องมีการประสานงานเปิดประมูลให้ชัดเจน และการที่นายกฯ ไปพูดคุยเรื่องส่วนตัวก็ต้องไปคุยกับคนที่ทำธุรกิจว่า ขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจเป็นอย่างไร การเมืองเป็นอย่างไร ร.ต.อ.เฉลิมยังว่า นายกฯ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะถ้ามีทำไมต้องไปทำที่โรงแรมซึ่งเป็นที่สาธารณะ ประเด็นคือ การไปที่โรงแรมโดยออกไประหว่างมีการประชุมสภาและไปทำภารกิจลับเฉพาะนี้จะไม่ถือว่าเป็นที่น่าสงสัยได้อย่างไร

ส่วนทางนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า กำลังบานปลายเพราะคนในรัฐบาลค่อยๆ เปิดเผยตัวออกมาทีละคนว่า ใครมีส่วนร่วมประชุมบ้าง ดังนั้นอยากจะชี้แจงให้เห็นใน ๓ ประเด็นที่คิดว่าเป็นเรื่องจริงคือ

๑.น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปพบนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นการเฉพาะและเป็นความลับ

๒.นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังอ้างว่าอยู่ร่วมภารกิจลับแต่ไม่ได้ร่วมวงเสวนากับเหล่านักธุรกิจด้วยเป็นการเลี่ยงบาลีโกหกประชาชน

๓.มีการหารือกันแน่นอนในประเด็นเชิงนโยบายโดยอ้างว่า ไปรับฟังความเห็นจากนักธุรกิจ ส่วนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่าการเดินทางไปที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นเป็นเรื่องเปิดเผยที่นักข่าวทราบกัน ไม่มีอะไรปิดบัง ทั้งที่ความจริงแล้ว ว.๕ เป็นการตัดสินใจไม่ให้นักข่าวเดินทางตามไปเพราะเป็นภารกิจส่วนตัว ไม่อยากให้ใครรู้ แต่วันนี้กลับบอกว่าไปแบบเปิดเผย

นายชวนนท์ยังกล่าวด้วยว่า การประชุมแบบลับๆ กับนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้วมีคนพบเห็นนายเศรษฐา ทวีสิน ผู้บริหารเครือแสนสิริ เป็นสิ่งยืนยันว่านายกฯ พูดโกหก แม้จะยอมรับว่าพบนักธุรกิจ แต่หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงรายละเอียด มีเจตนาปกปิดซ่อนเร้น ไม่ควรเลือกปฏิบัติเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กรณีนี้เป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของประเทศจะมีผลเปลี่ยนแปลงมหาศาลในการประเมินราคาที่ดินและการปรับผังเมืองของประเทศ

จะเห็นได้ว่านายกรัฐมนตรีตกอยู่ในจุดเสื่อมที่เละเทะทั้งด้านการเมือง การบริหารและด้านจริยธรรมทางการเมืองอย่างแท้จริง
กำลังโหลดความคิดเห็น