xs
xsm
sm
md
lg

“ปู” พิรุธ พบ “เศรษฐา ทวีสิน-บิ๊กอสังหาฯ” ไม่ใช่เปิดเผย แต่ลับๆ ล่อๆ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ผ่าประเด็นร้อน

กลายเป็นว่าเวลานี้น่าสนใจและน่าสงสัยทั้งสองเรื่อง นั่นคือเรื่อง ชู้สาว กับเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ตามที่มีหลายฝ่ายระบุและปฏิเสธกันก่อนหน้านี้ กับกรณีที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปพบกับ เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับยักษ์ใหญ่ กันที่ชั้น 7 โรงแรมโฟร์ซีซันส์ เมื่อบ่ายวันที่ 8 กุมภาพันธ์ และต่อมามีการอ้างว่ามีนักธุรกิจอื่นไปร่วมวงด้วยราว 6-7คน ซึ่งมีการเอ่ยชื่อว่าถือว่าเป็นระดับบิ๊กๆ ด้านอสังหาฯด้วยกันทั้งทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการทบทวนความจำก็ต้องไล่เรียงกันทีละประเด็นว่านาทีนี้เรื่องไหนน่าสนใจมากกว่ากัน หรือว่าทั้งสองเรื่องที่จะละเลยไม่ได้ เพราะทุกเรื่องมีความเชื่อมโยงกันระหว่างบุคคลมาจนหัวข้อหารือลับในวันนั้นหรือไม่

ก่อนหน้านี้ “วงใน” รับรู้กันมานานแล้วว่า ทั้ง ยิ่งลักษณ์ กับ เศรษฐา มีความสนิทสนมกันมานานแล้วตั้งแต่ทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์มาด้วยกัน ฝ่ายแรกเป็นตัวแทนของครอบครัวชินวัตรเข้าไปเป็นผู้บริหารบริษัทเอสซีแอสเซท ฝ่ายหลังเป็นผู้บริหารบริษัทแสนสิริ อีกทั้งตามรายงานข่าวที่ปรากฏตามสื่อฉบับหนึ่งก็ระบุอีกว่ามีคนอื่นที่ร่วมหารือลับดังกล่าวก็คือ อนันต์ อัศวโภคิน ผู้บริหารบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ซึ่งก็เป็นบิ๊กอสังหาริมทรัพย์ระดับเป้งๆ ของประเทศไทย เพราะร่ำรวยกันแบบ “มหาศาล” ว่างั้นเถอะ และหัวข้อหลักในการหารือในวันนั้นก็คือเรื่องการประเมินราคาที่ดินใหม่ในปี 2555 รวมทั้งการประกาศผังเมืองใหม่ เสียด้วย

นอกจากนี้ ตามข่าวบอกว่ายังมีคนสำคัญเข้าร่วม “ถกลับ” กันบน “สวรรค์ชั้น 7” อีกคนก็คือ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง

ดังนั้น ถ้ารู้เพียงแค่ว่าคนที่ไปหารือกันนั้นเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับพี่เบิ้มของเมืองไทยกับผู้มีอำนาจรัฐในมือแล้ว คนพวกนี้ยังเป็นนักธุรกิจ “พวกเดียวกัน” มันน่าจับตามองมากขึ้นไปอีก เพราะสังคมรับรู้ว่า ทั้ง เศรษฐา อนันต์ ล้วนแล้วแต่เป็น “เครือข่ายแดง” ด้วยกันทั้งสิ้น

ในตอนแรกสังคมหูผึ่งกับข่าวที่ระบุออกมาว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ใช้เวลาราชการ ซึ่งเป็นช่วงการประชุมสภา ใช้ ว.5 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ “ลับ-ส่วนตัว” ไปพบกับ เศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจที่คุ้นเคยบนชั้น 7 โรงแรมหรูโฟร์ซีซั่นส์ แต่ที่ผ่านมาฝ่ายพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลต่างแย่งกันยืนยันว่า “ไม่มีเรื่องชู้สาว” เป็นการไปพูดคุยรับฟังความเห็นเกี่ยวกับการ “ออกนโยบายสำคัญของรัฐบาล” และที่น่าสนใจก็คือการพบกันดังกล่าวมีเจตนาให้ “ลับ” ไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้สื่อรู้ แต่บังเอิญว่าวันนั้นมีคนเห็นความเคลื่อนไหว ความก็เลยแตก และบานปลายอย่างที่เห็น

จากการให้สัมภาษณ์ของเศรษฐา ยอมรับว่าไปพบกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จริง แต่ไปกัน 6-7 คน เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นหลายประเด็นทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ดอกเบี้ย เป็นต้น ฟังดูเผินๆมันก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อรับรู้ว่ามีนักธุรกิจที่เป็นเครือข่ายเดียวกันเข้าไปร่วมวงด้วย รวมไปถึง มีรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล และ ตัวนายกรัฐมนตรีเข้าไปร่วมด้วยแล้ว รับรองว่าไม่ใช่ธรรมดาแน่ เพราะนี่เข้าข่าย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” เป็นลักษณะ “ล่วงรู้ข้อมูลภายใน” เพราะเมื่อต่อจิ๊กซอว์ปะติดปะต่อเรื่องราวเข้ามามันก็เชื่อมกันพอดี โดยเฉพาะการประกาศชะลอการประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินใหม่ออกไป รวมทั้งมีการขยายเวลาการบังคับใช้ผังเมืองรวมออกไปอีก 1 ปี สิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะเป็นคำตอบได้ดี

สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ยิ่งชวนให้ตั้งคำถามและน่าสงสัยมากขึ้นไปอีก อาจจะมากยิ่งไปกว่าเรื่องชู้สาวส่วนตัวเสียอีกก็เป็นได้ แม้ว่าหลายคนยังเชื่อว่าจุดเริ่มต้นอาจมาจากความสนิทสนมระหว่างคนสองคน แต่มาถึงนาทีนี้จริยธรรมทางการเมืองในฐานะนายกรัฐมนตรียิ่งต้องมีการชี้แจงและตรวจสอบให้เข้มข้น เพราะไม่ใช่เรื่องธรรมดา แนวโน้มเป็นการรับรู้ข้อมูลภายในเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ที่มีกำหนดราคาประเมินที่ดิน กำหนดพื้นที่ฟลัดเวย์สำหรับระบายน้ำ ป้องกันน้ำท่วม รวมทั้งเรื่องผังเมืองรวม ซึ่งเกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อาจมีการกว้านซื้อที่ดิน เพื่อเก็งกำไร

แน่นอนว่าเมื่อเห็นตัวบุคคลทั้งหมดที่แพลมออกมาแล้วรับรองว่านี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวธรรมดา ที่พยายามกลบเกลื่อนปกปิด แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับจริยธรรม เป็นเรื่องใหญ่ และล่าสุดการที่ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ออกมายืนยันว่าไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นเรื่องเปิดเผย รวมทั้งเป็นการให้ข้อคิดเห็น (จากนักธุรกิจ) โดยไม่หวังผลตอบแทน มันก็ฟังไม่มีน้ำหนัก เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมัน “แดง” ขึ้นมาต่างหากถึงได้รู้ ซึ่งวันนี้มันก็เริ่มเผยพิรุธให้เห็นออกมาเรื่อยๆ

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีหากฝ่ายค้านหรือสังคมจะต้องเร่งรัดให้มีการตรวจสอบเพื่อให้ทราบความจริงเป็นที่กระจ่าง โดยเฉพาะการเสาะหาหลักฐานเพื่อให้เปิดเผยออกมาให้ได้ว่ามีนักธุรกิจเข้าร่วมหารือกันนั้นมีใครบ้าง ซึ่งรับรองว่าพิสูจน์กันไม่ยาก ที่สำคัญเมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมที่น่าสงสัย มันก็มีทางเดียวเท่านั้นคือการค้นหาความจริง และงานนี้ไม่ต้องนำ “เรื่องเพศ”มาเบี่ยงเบนเป็นอันขาด เพราะนี่เป็นเรื่องจริยธรรมทางการเมือง ที่อาสาเข้ามา ดังนั้นทุกอย่างต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน!!
 เศรษฐา ทวีสิน
 กิตติรัตน์ ณ ระนอง
กำลังโหลดความคิดเห็น