จากหนังสือกระทรวงการต่างประเทศ ด่วนมาก ลับมาก ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2551 ได้แสดงให้เห็นถึงพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย หนังสือฉบับนี้ได้กล่าวถึงในช่วงระยะเวลาที่เจ้าหน้าที่ยูเนสโกจะเข้ามาตรวจสอบพื้นที่ปราสาทพระวิหารในช่วงเวลาต้นเดือนธันวาคม 2551 ผมจึงขอนำข้อความมาให้ทุกท่านได้ทราบดังนี้
“ด้วยกระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานว่า ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2551 นางฟรอวซวส ริวิแอร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโกมีกำหนดการมาร่วมการประชุม International Coordinating Committee (ICC) นครวัด และมีกำหนดการตรวจสอบพื้นที่ปราสาทพระวิหารในระหว่างนั้นด้วย”
โดยที่การตรวจสอบพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงยูเนสโกดังกล่าว อาจต้องผ่านหรือเข้ามาในดินแดนประเทศไทย และอาจมีนัยกระทบอธิปไตยของไทย กระทรวงการต่างประเทศจึงได้จัดประชุมพิจารณาท่าทีร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง (รายชื่อปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย) และเห็นควรเสนอแนะแนวทางดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อแสดงการใช้อำนาจอธิปไตยดังนี้
1. กรณีเจ้าหน้าที่/ผู้แทนยูเนสโกเข้าตรวจสอบเฉพาะตัวปราสาท โดยไม่ผ่านหรือเข้ามาในดินแดนไทยเลย เช่นเดิมขึ้นมาทางช่องบันไดหัก ให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ติดตามข้อมูลและสังเกตการณ์จากเขตไทย
2. เมื่อทราบกำหนดว่าจะมีเจ้าหน้าที่/ผู้แทนยูเนสโกผ่านหรือเข้ามาในดินแดนไทยให้กระทรวงเตือนยูเนสโกให้ตระหนัก (โดยอาจผ่านทางยูเนสโกไทยหรือICOMOS ไทยอีกทางหนึ่ง) ว่าไม่ควรผ่านหรือเข้ามาในดินแดนไทย เว้นแต่จะได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการก่อน โดยสามารถอ้างคำแถลงของผู้แทนไทยต่อที่ประชุมWHC32 ว่ากิจกรรมมาตรการใดที่จะทำในดินแดนไทยโดยกัมพูชาหรือฝ่ายที่สามต้องได้รับการยินยอมของไทยก่อน ซึ่งจะเป็นการแสดงเจตนาที่ดีของไทย และหากยูเนสโกขออนุญาตไทยก่อนก็จะเป็นผลดีแก่ท่าทีไทย
3. กรณีเจ้าหน้าที่/ผู้แทนยูเนสโกเข้าตรวจสอบเฉพาะตัวปราสาท แต่ประสงค์จะเดินทางผ่านดินแดนไทย เช่น ขึ้นมาทางถนนจากบ้านโกมุย หรือมาโดยเฮลิคอปเตอร์และลงจอดในดินแดนไทย
3.1 หากขออนุญาตไทยอย่างเป็นทางการก่อนก็เห็นควรอนุญาตและจัดทหารไทยคุ้มครองเจ้าหน้าที่/ผู้แทนยูเนสโกขณะอยู่ในดินแดนไทย เพื่อแสดงการใช้อำนาจอธิปไตยของไทย
3.2 หากไม่ขออนุญาตไทยอย่างเป็นทางการก่อน เห็นควรแจ้งไม่อนุญาตให้เดินทางผ่านและทำการประท้วงอย่างเป็นทางการระดับรัฐบาล
4. กรณีเข้าตรวจสอบบริเวณนอกตัวปราสาท ซึ่งเป็นดินแดนไทยที่กัมพูชาอ้างสิทธิเห็นว่าไม่ควรอนุญาต ไม่ว่าจะขออนุญาตไทยอย่างเป็นทางการหรือไม่ เพราะคณะกรรมการมรดกโลกได้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท
5. กรณีการปฏิบัติงานในกรอบ ICC โดยเจ้าหน้าที่/ผู้แทนยูเนสโกหรือผู้แทนสมาชิก ต้องจำกัดเฉพาะในตัวปราสาท และไทยต้องได้เข้าร่วมมิฉะนั้นไทยจะต้องทำการประท้วงอย่างเป็นทางการระดับรัฐบาล
6. ในกรณีที่ไทยไม่อนุญาต แต่กัมพูชาฝืนนำเจ้าหน้าที่ยูเนสโกเข้ามาในดินแดนไทย ไทยต้องประท้วงอย่างเป็นทางการระดับรัฐบาล และให้กำลังของไทยเข้าอารักขาคณะโดยแสดงอาวุธและประสานกับกัมพูชาล่วงหน้า และให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความเหมาะสมที่จะจัดเจ้าหน้าที่ร่วมสังเกตการณ์ในการอารักขาด้วย โดยไม่ให้มีนัยเป็นการต้อนรับยูเนสโกหรือยอมรับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร
7. ในทุกกรณีให้หลีกเลี่ยงการขัดขวางโดยใช้กำลังอย่างถึงที่สุด
8. ในกรณีที่เห็นเหมาะสม กระทรวงการต่างประเทศอาจพิจารณาใช้โอกาสเชิญเจ้าหน้าที่ยูเนสโกเข้ามาตรวจพื้นที่ในดินแดนไทยด้วย เพื่อให้ข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทย
9. ควรประชาสัมพันธ์ต่อประชาชนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อป้องกันการบิดเบือนข้อมูล
หนังสือลับมากฉบับด่วนที่สุดนี้เรียนเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีผู้เข้าร่วมประชุมอันเป็นผู้แทนของหน่วยงานทั้งหมด ๑๔ หน่วยงาน อันได้แก่
1. ผู้แทนกรมกิจการชายแดนทหาร 2. ผู้แทนกรมแผนที่ทหาร 3. ผู้แทนกรมยุทธการทหารบก 4. ผู้แทนกองกำลังสุรนารี 5. ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 6. ผู้แทนกรมศิลปากร 7. ผู้แทนกรมอุทยาน 8. ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย 9. ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา 10. ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด 11. ผู้แทนกรมเอเชียตะวันออก 12. ผู้แทนกรมองค์การระหว่างประเทศ 13. ผู้แทนกรมสารนิเทศ 14. ผู้แทนกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย (หมายเลข 11- 14 อยู่สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ)
จะเห็นได้ว่าการประชุมของผู้แทนหน่วยงานต่างๆ ได้ยืนยันว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย และต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการกระทำของกัมพูชาที่ส่งประชาชนและกองกำลังทหารติดอาวุธรุกล้ำอธิปไตยและดินแดนของไทย และในเวลานี้ก็ยังหาหน่วยงานที่จะรับผิดชอบไม่ได้ (อ่านต่อวันพุธหน้า)
“ด้วยกระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานว่า ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2551 นางฟรอวซวส ริวิแอร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโกมีกำหนดการมาร่วมการประชุม International Coordinating Committee (ICC) นครวัด และมีกำหนดการตรวจสอบพื้นที่ปราสาทพระวิหารในระหว่างนั้นด้วย”
โดยที่การตรวจสอบพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงยูเนสโกดังกล่าว อาจต้องผ่านหรือเข้ามาในดินแดนประเทศไทย และอาจมีนัยกระทบอธิปไตยของไทย กระทรวงการต่างประเทศจึงได้จัดประชุมพิจารณาท่าทีร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง (รายชื่อปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย) และเห็นควรเสนอแนะแนวทางดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อแสดงการใช้อำนาจอธิปไตยดังนี้
1. กรณีเจ้าหน้าที่/ผู้แทนยูเนสโกเข้าตรวจสอบเฉพาะตัวปราสาท โดยไม่ผ่านหรือเข้ามาในดินแดนไทยเลย เช่นเดิมขึ้นมาทางช่องบันไดหัก ให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ติดตามข้อมูลและสังเกตการณ์จากเขตไทย
2. เมื่อทราบกำหนดว่าจะมีเจ้าหน้าที่/ผู้แทนยูเนสโกผ่านหรือเข้ามาในดินแดนไทยให้กระทรวงเตือนยูเนสโกให้ตระหนัก (โดยอาจผ่านทางยูเนสโกไทยหรือICOMOS ไทยอีกทางหนึ่ง) ว่าไม่ควรผ่านหรือเข้ามาในดินแดนไทย เว้นแต่จะได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการก่อน โดยสามารถอ้างคำแถลงของผู้แทนไทยต่อที่ประชุมWHC32 ว่ากิจกรรมมาตรการใดที่จะทำในดินแดนไทยโดยกัมพูชาหรือฝ่ายที่สามต้องได้รับการยินยอมของไทยก่อน ซึ่งจะเป็นการแสดงเจตนาที่ดีของไทย และหากยูเนสโกขออนุญาตไทยก่อนก็จะเป็นผลดีแก่ท่าทีไทย
3. กรณีเจ้าหน้าที่/ผู้แทนยูเนสโกเข้าตรวจสอบเฉพาะตัวปราสาท แต่ประสงค์จะเดินทางผ่านดินแดนไทย เช่น ขึ้นมาทางถนนจากบ้านโกมุย หรือมาโดยเฮลิคอปเตอร์และลงจอดในดินแดนไทย
3.1 หากขออนุญาตไทยอย่างเป็นทางการก่อนก็เห็นควรอนุญาตและจัดทหารไทยคุ้มครองเจ้าหน้าที่/ผู้แทนยูเนสโกขณะอยู่ในดินแดนไทย เพื่อแสดงการใช้อำนาจอธิปไตยของไทย
3.2 หากไม่ขออนุญาตไทยอย่างเป็นทางการก่อน เห็นควรแจ้งไม่อนุญาตให้เดินทางผ่านและทำการประท้วงอย่างเป็นทางการระดับรัฐบาล
4. กรณีเข้าตรวจสอบบริเวณนอกตัวปราสาท ซึ่งเป็นดินแดนไทยที่กัมพูชาอ้างสิทธิเห็นว่าไม่ควรอนุญาต ไม่ว่าจะขออนุญาตไทยอย่างเป็นทางการหรือไม่ เพราะคณะกรรมการมรดกโลกได้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท
5. กรณีการปฏิบัติงานในกรอบ ICC โดยเจ้าหน้าที่/ผู้แทนยูเนสโกหรือผู้แทนสมาชิก ต้องจำกัดเฉพาะในตัวปราสาท และไทยต้องได้เข้าร่วมมิฉะนั้นไทยจะต้องทำการประท้วงอย่างเป็นทางการระดับรัฐบาล
6. ในกรณีที่ไทยไม่อนุญาต แต่กัมพูชาฝืนนำเจ้าหน้าที่ยูเนสโกเข้ามาในดินแดนไทย ไทยต้องประท้วงอย่างเป็นทางการระดับรัฐบาล และให้กำลังของไทยเข้าอารักขาคณะโดยแสดงอาวุธและประสานกับกัมพูชาล่วงหน้า และให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความเหมาะสมที่จะจัดเจ้าหน้าที่ร่วมสังเกตการณ์ในการอารักขาด้วย โดยไม่ให้มีนัยเป็นการต้อนรับยูเนสโกหรือยอมรับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร
7. ในทุกกรณีให้หลีกเลี่ยงการขัดขวางโดยใช้กำลังอย่างถึงที่สุด
8. ในกรณีที่เห็นเหมาะสม กระทรวงการต่างประเทศอาจพิจารณาใช้โอกาสเชิญเจ้าหน้าที่ยูเนสโกเข้ามาตรวจพื้นที่ในดินแดนไทยด้วย เพื่อให้ข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทย
9. ควรประชาสัมพันธ์ต่อประชาชนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อป้องกันการบิดเบือนข้อมูล
หนังสือลับมากฉบับด่วนที่สุดนี้เรียนเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีผู้เข้าร่วมประชุมอันเป็นผู้แทนของหน่วยงานทั้งหมด ๑๔ หน่วยงาน อันได้แก่
1. ผู้แทนกรมกิจการชายแดนทหาร 2. ผู้แทนกรมแผนที่ทหาร 3. ผู้แทนกรมยุทธการทหารบก 4. ผู้แทนกองกำลังสุรนารี 5. ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 6. ผู้แทนกรมศิลปากร 7. ผู้แทนกรมอุทยาน 8. ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย 9. ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา 10. ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด 11. ผู้แทนกรมเอเชียตะวันออก 12. ผู้แทนกรมองค์การระหว่างประเทศ 13. ผู้แทนกรมสารนิเทศ 14. ผู้แทนกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย (หมายเลข 11- 14 อยู่สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ)
จะเห็นได้ว่าการประชุมของผู้แทนหน่วยงานต่างๆ ได้ยืนยันว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย และต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการกระทำของกัมพูชาที่ส่งประชาชนและกองกำลังทหารติดอาวุธรุกล้ำอธิปไตยและดินแดนของไทย และในเวลานี้ก็ยังหาหน่วยงานที่จะรับผิดชอบไม่ได้ (อ่านต่อวันพุธหน้า)