“ชวนนท์” แฉ “สุรพงษ์” ทำผิดซ้ำซาก ปล่อยเขมรควงยูเนสโกขึ้นเขาพระวิหารตามลำพัง ไร้เงาตัวแทนฝ่ายไทยผิดมติ ครม.สมัย “นายกฯ สมชาย” เตรียมหาช่องเล่นงานอีกกระทง หวั่นกัมพูชาจะใช้เหตุการณ์นี้กล่าวอ้างไทยยอมรับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารต่อยูเนสโก แถมจะก่อให้เกิดผลเสียหากศาลโลกตัดสินให้ไทยแพ้คดีต้องเสียดินแดนแก่เขมร
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการทำงานในฐานะรมว.การต่างประเทศของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ว่ามีการกระทำความผิดซ้ำซาก เพราะขาดความเอาใจใส่ในการบริหารราชการแผ่นดินและการรักษาผลประโยน์ของชาติ มุ่งแต่ดูแลแก้ปัญหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์เตรียมข้อมูลใกล้เสร็จเรียบร้อยเพื่อดำเนินการต่อนายสุรพงษ์ตามกฎหมายแล้ว
นอกจากนี้ยังพบว่า นายสุรพงษ์ได้กระทำการฝ่าฝืนมติ ครม. 2 ธันวาคม 2551 ที่ออกในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โดยปล่อยให้ผู้แทนยูเนสโกเดินทางไปตรวจตัวปราสาทพระวิหารโดยไม่ขออนุญาตจากฝ่ายไทย และไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยร่วมคณะในการตรวจสอบดังกล่าว อีกทั้งยังไม่มีการประท้วงกรณีที่ตัวแทนยูเนสโกกล่าวหาทหารไทยว่าสร้างความเสียหายให้กับตัวปราสาท ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเสียท่าทีในการเจรจาเพื่อรักษาสิทธิอธิปไตยของชาติในการต่อสู้คดีที่ศาลโลกและในการประชุมคณะกรรมกาคมรดกโลก
ทั้งนี้ มติ ครม.เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2551 มีเงื่อนไขเกี่ยวกับการเห็นชอบแนวทางการใช้อำนาจของตัวแทนยูเนสโกไว้ 9 ข้อ อาทิ 1.ให้เดินทางไปได้เฉพาะตัวปราสาทโดยไม่ผ่านดินแดนไทยและให้เจ้าหน้าที่ติดตามสังเกตการณ์จากเขตไทย 2.หากมีการเดินทางผ่านดินแดนไทยให้ทำการแจ้งเตือนเพื่อให้ตระหนักว่าไม่ควรเข้ามาในดินแดนไทยเว้นแต่จะได้รับอนุญาต 3.ถ้าเข้าไปเฉพาะตัวปราสาทโดยผ่านดินแดนไทยต้องขออนุญาตไทยอย่างเป็นทางการเพื่อแสดงการใช้อำนาจอธิปไตยของไทย หากไม่อนุญาตเห็นควรแจ้งไม่อนุญาตให้เดินทางผ่าน 5.บริเวณนอกตัวปราสาทไม่อนุญาตให้เข้าไม่ว่าจะขออนุญาตหรือไม่ 6.ผู้แทนยูเนสโกต้องจำกัดเฉพาะตัวปราสาทและไทยต้องเข้าร่วมมิฉะนั้นไทยต้องทำการประท้วงในระดับรัฐบาล
“ผมถามว่านายสุรพงษ์เดินทางไปด้วยหรือไม่ ส่งเจ้าหน้าที่ไปหรือเปล่า การกระทำเช่นนี้ขัด มติ ครม. 2 ธ.ค. 2551 ชัดเจน จนผมไม่ทราบว่านายสุรพงษ์จะมีเวลาสู้คดีหรือไม่ เพราะนอกจากทำผิดกฎหมายแล้ว ยังฝ่าฝืนมติ ครม.ด้วย ผมอยากให้ตามต่อว่าเรื่องนี้จะไปถึงจุดไหน เพราะที่ผ่านมาได้มีหนังสือแจ้งยูเนสโกเกี่ยวกับมติ ครม.ของไทยในขณะนั้นแล้ว แต่คราวนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยกลับไปเปิดช่องให้ตัวแทนยูเนสโกเดินทางเข้ามาผ่านดินแดนไทยและยังปล่อยให้กล่าวโจมตีทหารไทยว่าเป็นผู้รุกรานกัมพูชาด้วย เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ รมว.ต่างประเทศ เอาแต่หมกมุ่นช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ จนลืมทำงานเพื่อประชาชน ผมคิดว่าประเทศไทยจะเสียหายกว่านี้อีกมากถ้ารัฐบาลนี้ยังอยู่บริหารบ้านเมืองต่อไป”
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุด ยังพบว่ารัฐบาลยังไม่มีการยกเลิกมติ ครม.ฉบับนี้ ดังนั้น การปล่อยให้คนต่างชาติขึ้นปราสาทพระวิหารโดยไม่ทักท้วง ไม่มีตัวแทนฝ่ายไทย จะทำให้กัมพูชาจะแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของในพื้นที่ดังกล่าว และใช้เหตุการณ์เหล่านี้ไปกล่าวอ้างในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่จะพิจารณารับรองแผนการบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชาว่า ไทยยอมรับแผนบริหารจัดการนั้นแล้ว ซึ่งอาจส่งผลทำให้คณะกรรมการมรดกโลกรับรองแผนบริหารพื้นที่ตามที่กัมพูชาเสนอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลประชาธิปัตย์ต่อสู้เรื่องนี้อย่างต่อเนื่องตลอดเกือบ 3 ปีที่นายอภิสิทธิื เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี จนกัมพูชา ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์
“ที่ผมเป็นห่วงอย่างมาก คือ ในขณะนี้ใกล้ที่จะถึงการตัดสินของศาลโลกเกี่ยวกับคดีที่กัมพูชาขอให้ศาลขยายคำพิพากษาในปี 2505 เกี่ยวกับพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งอาจจะมีคำพิพากษาในช่วงต้นปีหรือกลางปีหน้า กัมพูชาอาจนำเหตุการณ์ที่ไทยยอมให้ตัวแทนยูเนสโก้เดินทางไปปราสาทพระวิหารไปใช้ในการต่อสู้คดี จนทำให้เกิดผลลบต่อประเทศไทยซึ่งผมขอประกาศไว้เลยว่าหากมีความเสียหายเกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์และภาคประชาชน ขอสงวนสิทธิ์ทีืจะไม่ยอมรับและจะต่อสู้ตามกฎหมายเพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศอย่างเต็มที่”
นายชวนนท์กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ในขณะนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงต่ออธิปไตยของไทย 4.6 ตารางกิโลเมตร บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร หรือว่ารัฐบาลกำลังสานต่อในสิ่งที่นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ เคยสร้างความเสียหายเอาไว้ รัฐบาลพูดเสมอว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชา แต่ยังไม่เห็นว่าประเทศชาติจะได้ประโยชน์ อะไรจากความสัมพันธ์ที่ดีนี้ ถ้าจะมีใครได้สัมปทานก๊าซธรรมชาติจากเขมรตนก็ไม่คิดว่าจะคุ้มค่ากับที่เราต้องเสียแผ่นดินให้กัมพูชา แม้แต่ตารางนิ้วเดียวก็ไม่คุ้มค่า