กระทรวงการต่างประเทศยันกรณีกัมพูชานำยูเนสโก้สำรวจพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นการตัดสินใจจากกัมพูชาฝ่ายเดียว ถือเป็นการละเมิดคำสั่งศาลโลก ส่วนการยิงเฮลิคอปเตอร์ของไทย ยังอยู่ระหว่างรอการชดใช้ค่าเสียหายจากกัมพูชา หลังเขมรยอมรับผิดพลาดจากการใช้แผนที่ที่ไม่ตรงกัน
วันนี้ (12 ม.ค.) ที่รัฐสภา นายสุนัย จุลพงศธร สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยในฐานะประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎรได้นัดประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศต่อกรณีที่ทางกัมพูชานำผู้สังเกตการณ์จากยูเนสโก ขึ้นไปสำรวจขึ้นไปสำรวจพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร โดยไม่มีตัวแทนฝ่ายไทยเข้าร่วมสังเกตการณ์
โดย น.ส.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.พรรคประชาธิปัติ ในฐานะรองประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการขึ้นไปสำรวจพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารแล้วไม่มีตัวแทนจากประเทศไทยเดินทางขึ้นไปด้วย จะเป็นการยอมรับหรือไม่ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ซึ่งนายเฉลิมพล ทันจิตต์ รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า การขึ้นไปสำรวจพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารนั้น เป็นฝ่ายกัมพูชาที่ริเริ่มในการนำคณะตัวแทนจาก 4 ชาติของยูเนสโกขึ้นไปโดยไม่ได้มีการขอความเห็นชอบจากทางฝ่ายไทย ซึ่งทางฝ่ายไทยได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการขึ้นไปสำรวจในพื้นที่ทับซ้อนจะเป็นการละเมิดคำสั่งของศาลโลกที่ห้ามทั้งสองประเทศกระทำการใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง
สำหรับกรณีทหารกัมพูชายิงเฮลิคอปเตอร์แบบเบลล์ 212 ของกองทัพเรือจนได้รับความเสียหายบริเวณกองกำลังจันทบุรีตราด เมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา น.อ.เธียรศิริ มนต์ไตรเวทย์ รองเจ้ากรมยุทธการทหารเรือ ได้ยืนยันต่อที่ประชุมว่ากรณีดังกล่าวมีการพูดคุยกับทางกัมพูชาแล้วโดยทางกัมพูชายอมรับว่ามีความพิดพลาดจากการใช้แผนที่ที่ไม่ตรงกันทำให้มีพื้นที่ทับซ้อนอยุ่ประมาณ 500 เมตร รวมถึงการติดต่อของฝ่ายกัมพูชาโดยหน่วยเหนือกับหน่วยรองจนไปถึงผู้ปฏิบัติ ไม่มีเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารที่ทันสมัยส่งผลให้การสื่อสารล่าช้าและทางกัมพูชาได้รับคำสั่งจากหน่วยเหนือให้ใช้อาวุธได้ทันทีที่มีการรุกล้ำทางอากาศยานโดยทางกัมพูชาก็ออกมายอมรับว่าความพิดพลาดดังกล่าวป็นความพิดพลาดที่เกิดจากทางฝ่ายของตนและปัจจุบันเรื่องอยู่ในระหว่างการเจรจาเรียกค่าเสียหายจากทางกัมพูชา