ASTVผู้จัดการรายวัน - สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ ผงาดหลังใช้จีน เป็นคลังสต๊อกก๊าซใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เพื่อขายให้ลูกค้า เผยราคาขายแก๊สในต่างประเทศกำหนดราคาตามตลาดโลก ทำให้มีกำไรจากส่วนต่างมากกว่าขายในประเทศ หนุนรายได้นอกพุ่งแตะ 70 % ของรายได้รวม เชื่อดันรายได้กำไรของบริษัทเติบโต ปีนี้เตรียมขายปั๊มแก๊สในประเทศขนาดเล็กโดยจะขายหุ้นที่ซื้อคืนมาเป็นทุน
เดินหน้าขยายธุรกิจไม่หยุดนิ่ง สำหรับ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) ( SGP) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าก๊าซLPG เบอร์ 2ของประเทศ ภายใต้ตราสัญลักษณ์ "สยามแก๊ส " และ "ยูนิคแก๊ส " รองจาก บริษัท ปตท. จำกัด นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา บริษัทได้ขยายธุรกิจค้าแก๊สLPG ไปยังหลายประเทศ เช่น ประเทศจีน เวียดนาม และสิงคโปร์
โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 SGP มีปริมาณการค้าก๊าซ LPG ในต่างประเทศจำนวน 430,000 ตัน คิดเป็น 32.7% ของปริมาณการค้าแก๊ส LPG ทั้งหมดของบริษัทแต่บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการค้าก๊าซ LPG ในต่างประเทศให้อยู่ในระดับ 50% ของยอดขายรวมภายในปี 2557 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย บริษัทได้ซื้อหุ้น 100% ใน BP Zhuhai LPG Co., Ltd. ในเดือนธันวาคม 2553 และ 100% ใน Chevron Ocean Gas & Energy Ltd. ในเดือนมิถุนายน 2554 เพราะต้องการจะใช้คลังเก็บก๊าซ LPG รวมทั้งสิ้น 300,000 ตันในประเทศจีนเป็นฐานสำหรับการค้าก๊าซทั้งในประเทศจีนและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
วรวิทย์ วีรบวรพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร SGP ตั้งเป้าว่าในปี 2555 บริษัทจะมีรายได้จากการขายไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นเพราะบริษัทรับรู้รายได้เต็มปีจาก บริษัท สยามโอเชี่ยนแก๊สแอนด์เอ็นเนอร์จี ที่เมืองซัวเถา สาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากที่บริษัทนี้ได้เปิดค้าขายอย่างเป็นทางการไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2555 ทางสยามโอเชี่ยนแก๊สฯ เพิ่งเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ โดยทำข้อตกลงจะซื้อจะขาย (เอ็มโอยู) ร่วมกับ Shantou Chenghai Hongsheng Petroleum Gas Company Limited ซึ่งเอ็มโอยูที่เซ็นร่วมกัน บริษัทนี้จะสั่งซื้อก๊าซจาก สยามโอเชี่ยนแก๊สฯ เดือนละ 2-3 หมื่นตัน ดังนั้น ถ้าการซื้อขายเป็นไปตามข้อตกลงที่ทำร่วมกันไว้ สยามโอเชี่ยนแก๊สฯ ก็จะมียอดขายเกินกว่าเป้าที่บริษัทได้ตั้งเอาไว้แล้ว
จากการเซ็นเอ็มโอยูดังกล่าว ส่งผลให้ SGP จะรับรู้รายได้จาก สยามโอเชี่ยนแก๊สฯ ที่ซัวเถาปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น จนทำให้สัดส่วนรายได้ของกลุ่มที่เป็นรายได้จากการขายในต่างประเทศ ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 70% ของรายได้รวม สูงจากปีที่ผ่านมา ที่มีสัดส่วนอยู่ 50% ขณะที่ส่วนต่างระหว่างกำไรกับต้นทุนขาย (มาร์จิน) ในประเทศมาร์จินจะค่อนข้างนิ่งกว่าการขายในต่างประเทศ เพราะรัฐบาลไทยควบคุมราคาขายแก๊สแอลพีจีเอาไว้ ต่างจากมาร์จินในต่างประเทศ ที่ต้องขึ้นกับราคาในตลาดโลกและช่วงเวลาในการสต๊อกสินค้า ซึ่ง ขณะนี้ ราคาตลาดโลกปรับขึ้นไปอยู่ที่กว่าพันดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่บริษัทมีสินค้าที่สต๊อกไว้โดยมีต้นทุน 700 ดอลลาร์ต่อตัน จึงส่งผลให้มีมาร์จิน 400 ดอลลาร์ต่อตัน
สำหรับ สยามโอเชี่ยนแก๊สฯ ในซัวเถาแม้เพิ่งซื้อกิจการและเริ่มเปิดดำเนินการไปเมื่อเดือน ธ.ค. 2554 แต่สามารถทำยอดขายในเดือนแรกได้อยู่ที่ประมาณ 8 พันตันต่อเดือน ขณะเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ยอดขายได้ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1 หมื่นตันต่อเดือน โดยบริษัทตั้งเป้าจะทำยอดขายให้ได้ 1.2 หมื่นตันต่อเดือน หรือ 1.5 แสนตันต่อปี
รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ หรือเอสจีพี จินตณา กิ่งแก้ว บอกว่า ปัจจุบันสยามโอเชี่ยนแก๊สฯ มีคลังที่สามารถบรรจุแก๊ส ได้ประมาณแสนตัน ดังนั้นเมื่อรวมกับคลังเก็บแก๊สของบริษัท ชิโนสยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ ที่เมืองจูไห่ ที่จัดเก็บได้ถึง 2 แสนตันแล้ว กลุ่มSGP จึงมีคลังเก็บแก๊สรวมทั้งสิ้น 3 แสนตัน ถือเป็นคลังที่ใหญ่สุดในประเทศจีนและเอเชียตะวันออก
นอกเหนือจากธุรกิจในต่างประเทศแล้ว ในประเทศไทยเอง SGP ยังได้กำหนดแผนงานไว้ด้วยว่า ในปีนี้กลุ่มเอสจีพี จะมีการลงทุนขนาดเล็กๆ เช่น การขยายปั๊มแก๊สแอลพีจี ในเขตรอบๆ กรุงเทพมหานคร โดยปัจจุบันบริษัทมีปั๊มแก๊สที่เป็นของตัวเองอยู่ 33 แห่ง ส่วนที่เหลืออีกเกือบ 400 แห่งเป็นแบบแฟรนไชส์ ส่วนเงินทุนนั้นน่าจะมาจากการขายหุ้นที่เคยซื้อคืนเอาไว้ตามโครงการซื้อหุ้นคืนของตลาดหลักทรัพย์ ช่วงก่อนหน้านี้ 31 ล้านหุ้น หากนำหุ้นเหล่านี้ออกขาย ก็พอจะมีเงินทุนมาใช้ในลงทุนได้บ้าง
บล.โกลเบล็ก คาดกาณ์ว่า ผลประกอบการของ SGP ในไตรมาสแรกปี 55 จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 54 โดยสาเหตุหลักมาจากความสามารถในการทำกำไรที่ฟื้นตัวหลังจากราคา LPG กลับมาเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่บริษัทมีต้นทุนสต๊อกสินค้าคงคลังอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ SGP ยังมีปัจจัยบวกจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นหลังจากบริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจค้าแก๊ส LPG ในมณฑล Shantou โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีการจำหน่าย LPG ประมาณ 10,000 ตัน/เดือน ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 54% จากปีก่อน ถึงแม้การเข้าลงทุนกิจการ LPG ในต่างประเทศจะทำให้ผลการดำเนินงานผันผวน
เดินหน้าขยายธุรกิจไม่หยุดนิ่ง สำหรับ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) ( SGP) ผู้ดำเนินธุรกิจค้าก๊าซLPG เบอร์ 2ของประเทศ ภายใต้ตราสัญลักษณ์ "สยามแก๊ส " และ "ยูนิคแก๊ส " รองจาก บริษัท ปตท. จำกัด นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา บริษัทได้ขยายธุรกิจค้าแก๊สLPG ไปยังหลายประเทศ เช่น ประเทศจีน เวียดนาม และสิงคโปร์
โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 SGP มีปริมาณการค้าก๊าซ LPG ในต่างประเทศจำนวน 430,000 ตัน คิดเป็น 32.7% ของปริมาณการค้าแก๊ส LPG ทั้งหมดของบริษัทแต่บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการค้าก๊าซ LPG ในต่างประเทศให้อยู่ในระดับ 50% ของยอดขายรวมภายในปี 2557 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย บริษัทได้ซื้อหุ้น 100% ใน BP Zhuhai LPG Co., Ltd. ในเดือนธันวาคม 2553 และ 100% ใน Chevron Ocean Gas & Energy Ltd. ในเดือนมิถุนายน 2554 เพราะต้องการจะใช้คลังเก็บก๊าซ LPG รวมทั้งสิ้น 300,000 ตันในประเทศจีนเป็นฐานสำหรับการค้าก๊าซทั้งในประเทศจีนและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
วรวิทย์ วีรบวรพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร SGP ตั้งเป้าว่าในปี 2555 บริษัทจะมีรายได้จากการขายไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นเพราะบริษัทรับรู้รายได้เต็มปีจาก บริษัท สยามโอเชี่ยนแก๊สแอนด์เอ็นเนอร์จี ที่เมืองซัวเถา สาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากที่บริษัทนี้ได้เปิดค้าขายอย่างเป็นทางการไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2555 ทางสยามโอเชี่ยนแก๊สฯ เพิ่งเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ โดยทำข้อตกลงจะซื้อจะขาย (เอ็มโอยู) ร่วมกับ Shantou Chenghai Hongsheng Petroleum Gas Company Limited ซึ่งเอ็มโอยูที่เซ็นร่วมกัน บริษัทนี้จะสั่งซื้อก๊าซจาก สยามโอเชี่ยนแก๊สฯ เดือนละ 2-3 หมื่นตัน ดังนั้น ถ้าการซื้อขายเป็นไปตามข้อตกลงที่ทำร่วมกันไว้ สยามโอเชี่ยนแก๊สฯ ก็จะมียอดขายเกินกว่าเป้าที่บริษัทได้ตั้งเอาไว้แล้ว
จากการเซ็นเอ็มโอยูดังกล่าว ส่งผลให้ SGP จะรับรู้รายได้จาก สยามโอเชี่ยนแก๊สฯ ที่ซัวเถาปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น จนทำให้สัดส่วนรายได้ของกลุ่มที่เป็นรายได้จากการขายในต่างประเทศ ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 70% ของรายได้รวม สูงจากปีที่ผ่านมา ที่มีสัดส่วนอยู่ 50% ขณะที่ส่วนต่างระหว่างกำไรกับต้นทุนขาย (มาร์จิน) ในประเทศมาร์จินจะค่อนข้างนิ่งกว่าการขายในต่างประเทศ เพราะรัฐบาลไทยควบคุมราคาขายแก๊สแอลพีจีเอาไว้ ต่างจากมาร์จินในต่างประเทศ ที่ต้องขึ้นกับราคาในตลาดโลกและช่วงเวลาในการสต๊อกสินค้า ซึ่ง ขณะนี้ ราคาตลาดโลกปรับขึ้นไปอยู่ที่กว่าพันดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่บริษัทมีสินค้าที่สต๊อกไว้โดยมีต้นทุน 700 ดอลลาร์ต่อตัน จึงส่งผลให้มีมาร์จิน 400 ดอลลาร์ต่อตัน
สำหรับ สยามโอเชี่ยนแก๊สฯ ในซัวเถาแม้เพิ่งซื้อกิจการและเริ่มเปิดดำเนินการไปเมื่อเดือน ธ.ค. 2554 แต่สามารถทำยอดขายในเดือนแรกได้อยู่ที่ประมาณ 8 พันตันต่อเดือน ขณะเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ยอดขายได้ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1 หมื่นตันต่อเดือน โดยบริษัทตั้งเป้าจะทำยอดขายให้ได้ 1.2 หมื่นตันต่อเดือน หรือ 1.5 แสนตันต่อปี
รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ หรือเอสจีพี จินตณา กิ่งแก้ว บอกว่า ปัจจุบันสยามโอเชี่ยนแก๊สฯ มีคลังที่สามารถบรรจุแก๊ส ได้ประมาณแสนตัน ดังนั้นเมื่อรวมกับคลังเก็บแก๊สของบริษัท ชิโนสยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ ที่เมืองจูไห่ ที่จัดเก็บได้ถึง 2 แสนตันแล้ว กลุ่มSGP จึงมีคลังเก็บแก๊สรวมทั้งสิ้น 3 แสนตัน ถือเป็นคลังที่ใหญ่สุดในประเทศจีนและเอเชียตะวันออก
นอกเหนือจากธุรกิจในต่างประเทศแล้ว ในประเทศไทยเอง SGP ยังได้กำหนดแผนงานไว้ด้วยว่า ในปีนี้กลุ่มเอสจีพี จะมีการลงทุนขนาดเล็กๆ เช่น การขยายปั๊มแก๊สแอลพีจี ในเขตรอบๆ กรุงเทพมหานคร โดยปัจจุบันบริษัทมีปั๊มแก๊สที่เป็นของตัวเองอยู่ 33 แห่ง ส่วนที่เหลืออีกเกือบ 400 แห่งเป็นแบบแฟรนไชส์ ส่วนเงินทุนนั้นน่าจะมาจากการขายหุ้นที่เคยซื้อคืนเอาไว้ตามโครงการซื้อหุ้นคืนของตลาดหลักทรัพย์ ช่วงก่อนหน้านี้ 31 ล้านหุ้น หากนำหุ้นเหล่านี้ออกขาย ก็พอจะมีเงินทุนมาใช้ในลงทุนได้บ้าง
บล.โกลเบล็ก คาดกาณ์ว่า ผลประกอบการของ SGP ในไตรมาสแรกปี 55 จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 54 โดยสาเหตุหลักมาจากความสามารถในการทำกำไรที่ฟื้นตัวหลังจากราคา LPG กลับมาเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่บริษัทมีต้นทุนสต๊อกสินค้าคงคลังอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ SGP ยังมีปัจจัยบวกจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นหลังจากบริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจค้าแก๊ส LPG ในมณฑล Shantou โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีการจำหน่าย LPG ประมาณ 10,000 ตัน/เดือน ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 54% จากปีก่อน ถึงแม้การเข้าลงทุนกิจการ LPG ในต่างประเทศจะทำให้ผลการดำเนินงานผันผวน
