xs
xsm
sm
md
lg

ถ้าทักษิณผิดก็ฉีกรธน.ทิ้งเสีย

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

“ใครก็เอาผมกลับบ้านไม่ได้ นอกจากพระบารมีที่ทรงมีพระเมตตา หรือพลังจากประชาชนเท่านั้น” ทักษิณ ชินวัตร นักโทษชายหนีคุก กล่าวคำนี้กับมวลชนเสื้อแดงที่สนามราชมังคลาสถานเมื่อไม่กี่ปีก่อน จากนั้นก็เริ่มต้นล่ารายชื่อเพื่อถวายฎีกาหวังเอาพลังมวลชนกดดัน แต่แนวทางนั้นก็ล้มเหลว แม้กระทั่งถึงตอนนี้รัฐบาลของทักษิณมีอำนาจก็ไม่สามารถเดินไปสู่เป้าหมายได้

ขั้นตอนต่อมาก็คือมีความพยายามจะออก พ.ร.ก.อภัยโทษ แล้วตกแต่งทักษิณให้เข้ากับเงื่อนไข พ.ร.ก.แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวอีก ตามมาด้วยฉากใสซื่อบริสุทธิ์ของนักวิชาการแก๊งไอติมแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ออกมาเสนอให้ล้มล้างผลพวงของรัฐประหารเฉพาะ 2549 นั่นก็คือข้อเสนอคืนความชอบธรรมทั้งหมดให้กับทักษิณ แต่ข้อเสนออันไร้ตรรกะและเหตุผลนี้ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า

ด่านสุดท้ายที่กำลังเริ่มก็คือ ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 ที่มาจากประชามติของประชาชนทิ้งเสีย ด้วยข้ออ้างแบบหมาป่ากับลูกแกะ

ทักษิณนั้นอยากกลับบ้านแน่ ถ้าย้อนกลับไปดูการโฟนอินของเขากับมวลชนเสื้อแดงทุกครั้งก็คือ ผมอยากกลับบ้าน พี่น้องช่วยพาผมกลับบ้านด้วย ผมกลับบ้านจะทำให้พี่น้องรวยขึ้น ไล่ตั้งแต่เรียกร้องให้มาลงชื่อถวายฎีกากันเยอะๆ ให้มาชุมนุมกันเยอะๆ เพื่อพาเขากลับบ้าน ถ้าเสียงปืนดังขึ้นเขาจะกลับมาเดินนำพี่น้องเสื้อแดง และสุดท้ายก็คือ ให้เลือกพรรคเพื่อไทยเยอะๆ เพื่อเขาจะได้กลับบ้าน

ทั้งๆ ที่ว่าไปแล้วหากเราย้อนกลับไปมองความจริงก็พบว่า ทักษิณหนีออกจากบ้านไปเอง ไม่มีใครสักคนที่ห้ามทักษิณกลับบ้าน ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นเรื่องเดียวที่เกี่ยวกับทักษิณที่คนทุกเสื้อสีในประเทศนี้เห็นพ้องและมีฉันทามติร่วมกันด้วยซ้ำว่า “อยากให้ทักษิณกลับบ้าน”

แล้วทำไมทักษิณไม่รีบกลับบ้าน

รู้บ้างไหมว่า ประเทศนี้ได้เสียเวลาเสียต้นทุนและหยุดอยู่ที่สถานีทักษิณมานานแล้ว และทุกคนล้วนอยากให้ทักษิณกลับบ้านทั้งนั้น ต้องไม่ลืมด้วยซ้ำไปว่า ประชาชนและประเทศนี้ให้โอกาสทักษิณกลับมาบ้านครั้งหนึ่งแล้ว วันนั้นทักษิณกลับมาก้มลงจูบแผ่นดินแล้วจู่ๆ ทักษิณก็ขออนุญาตศาลบินหนีจากแผ่นดินนี้ไปเอง

ที่ตลกก็คือแม้ทักษิณจะหนีศาลออกนอกประเทศโดยการอนุญาตของศาลเอง ตามมาด้วยการวิพากษ์กระบวนการยุติธรรมด้วยถ้อยคำที่รุนแรง แต่ทักษิณก็ยังสามารถใช้กระบวนการยุติธรรมที่เขาวิพากษ์ กระบวนการยุติธรรมที่เขาหลบหนี ไม่ยอมรับคำพิพากษานี่แหละตั้งทนายมาฟ้องร้องใครต่อใครได้อีกจำนวนมาก

ซ้ำร้ายวันนี้บรรดานักวิชาการที่เคยออกมาต่อต้านระบอบทักษิณก็พากันศิโรราบราวกับว่าทักษิณเป็นวีรบุรุษประชาธิปไตย เมื่อทักษิณมีตู่จตุพรเป็นขุนพลที่พร้อมจะพลิกพลิ้วตลบแตลงให้ดำเป็นข่าวชั่วเป็นดี ก็มีเกษียร เตชะพีระ นักวิชาการที่เคยสถาปนาคำว่า “ระบอบทักษิณ” เป็นกระบอกเสียงคอยเตะตัดขาศัตรูของทักษิณ สมกับฉายาที่ เติมศักดิ์ จารุปราน เรียกขานอย่างออกรสและมีกลิ่นโชยออกมาด้วยว่า “จตุพรแห่งวงการวิชาการ”

ถ้าทักษิณไม่หนีออกจากบ้าน ตอนนี้ทักษิณก็ออกจากคุกแล้ว มวลชนเสื้อแดงรากหญ้าที่ถูกปลุกปั่นว่าการต่อสู้ของพวกเขาเป็นการต่อสู้เพื่อความเหลื่อมล้ำและความเป็นธรรมในสังคมก็คงไม่ต้องออกมาตายข้างถนน วันนี้ทักษิณได้อำนาจรัฐแล้ว แต่ฉากและความจริงแห่งชีวิตของพี่น้องรากหญ้าก็ยังไม่แปรเปลี่ยนซ้ำร้ายยังต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น แม้เสียงจะ “กระชากค่าครองชีพลงมา” ของนายกฯ ปูก็ยังคงดังก้องอยู่ในรูหู

ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมพื้นฐานที่คนรากหญ้าประสบในชีวิตประจำวันล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของหน่วยงานราชการหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับล่าง แท้จริงแล้วคนเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นมือไม้ของระบอบทักษิณทั้งสิ้น ความเจ็บปวดของแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนขับสามล้อที่เคยถูกตำรวจรังแกอันเป็นชะตากรรมที่สอดรับกับวาทะไพร่อำมาตย์บนเวทีผ่านฟ้า ราชประสงค์ที่ดึงดูดให้พวกเขามาไหลรวมกัน ต่างพบว่าสัจจะแห่งชีวิตก็คือเมื่อชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไปทั้งนั้น

แต่ว่าไปแล้วจะโทษพี่น้องคนเสื้อแดงที่เป็นรากหญ้าก็ไม่ได้ เพราะปัญญาชนใหญ่ๆ ของประเทศนี้ล้วนแล้วแต่ออกมาให้ท้ายการชุมนุมของคนเสื้อแดงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เกษียร พรหมพันธุ์ พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ฯลฯซึ่งเป็นปัญญาชนที่ใหญ่จริงบ้าง ทำตัวให้ใหญ่บ้าง และพุงใหญ่บ้าง คนเหล่านี้นั้นไม่รู้ไม่ได้หรอกครับว่า เวทีผ่านฟ้า ราชประสงค์ที่นำโดยตู่เต้นนั้นไม่ใช่เวทีที่สู้เพื่อคนยากจนที่พวกเขาขุดเอาคำว่า “ไพร่” มาหลอกให้คนรากหญ้าเข้าใจว่าเป็นการต่อสู้เพื่อพวกเขา แต่เป็นเวทีที่มีทักษิณและพวกบงการเพื่อทวงอำนาจรัฐคืน

ปัญญาชนเหล่านี้พวกเขารู้ครับว่าเวทีนี้สู้เพื่อใคร แต่พวกเขาหวังว่ามวลชนของทักษิณจะสามารถพลิก “ปม” แห่งชีวิตและดับไฟที่คุอยู่ในใจของพวกเขาลงได้ สุรชัย แซ่ด่าน เคยพูดชัดเจนว่า ยืมมือทักษิณกำจัดเจ้าก่อนแล้วค่อยกำจัดทักษิณทีหลังก่อนถูกจตุพรออกมาขับไล่ ดังนั้นเกมที่ซ่อนอยู่ในวาทกรรมนี้ก็คือ ยืมความตายของคนรากหญ้าก่อนนั่นเอง

ปัญญาชนเหล่านี้แหละครับคือคนที่ผลักให้คนเสื้อแดงไปตายที่แท้จริง

วันนี้ปัญญาชนที่ให้ท้ายระบอบทักษิณเหล่านั้น ไม่มีใครยอมพูดความจริงว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้นมีกองกำลังติดอาวุธแฝงตัวอยู่เพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐแบบแตกหัก แกล้งไม่เห็นว่า คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่เสียชีวิตนั้นตกอยู่ในท่ามกลางวงล้อมของการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธของทั้งจากฝ่ายอำนาจรัฐและฝ่ายระบอบทักษิณ

พวกเขาแกล้งมองไม่เห็นถึงเผด็จการทุนนิยมในยุคทักษิณครองอำนาจ พวกเขาแกล้งมองไม่เห็นว่าทักษิณได้แสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจ พวกเขาแกล้งมองไม่เห็นว่าแม้ทักษิณจะมาจากการเลือกตั้ง แต่เขาไม่เคยศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยและเดินตามครรลองของมัน หรือไม่ก็แกล้งหลงลืมเพราะมัวเมาในอคติทั้งที่ตัวเองเคยเรียกขานมันเองว่าระบอบทักษิณ หรือไม่ก็ทำเป็นแกล้งโง่เพราะคิดแค่ว่านี่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นมันจึงเป็นประชาธิปไตยโดยไม่สนใจวิธีการหลังชนะการเลือกตั้ง หรือแกล้งทำเป็นฉลาดว่านี่เป็นรูปแบบเดียวกับที่ตะวันตกใช้อยู่

พวกนี้สนใจแต่รูปแบบวิธีการโดยไม่สนใจผลลัพธ์ คิดว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง เพราะพวกเขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่า รัฐธรรมนูญ 2550 นั้น ดีกว่ารัฐธรรมนูญ 2540 เพียงแต่พวกเขาติดขัดว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร สุดท้ายพวกเขาก็ยอมเป็นเครื่องมือของทักษิณที่จะฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 เพียงเพื่อประโยชน์ของทักษิณคนเดียว

ตอนนี้บ้านเมืองของเรากำลังอยู่ในความหวาดกลัวทักษิณ โดยใช้คำว่าปรองดองบังหน้า เราต้องไปเชิญชาวต่างชาติมาช่วยแก้ปัญหาความแตกแยกในชาติตัวเอง มีกรรมการชุดต่างๆ ตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างความปรองดองในชาติ หลายคนพูดถึงคำว่าปรองดองราวกับเป็นคำเทศนาที่โก้เก๋

และคำว่า “ปรองดอง” กลายเป็นความหมายแฝงเร้นที่ซ่อนอยู่ในการฉีกรัฐธรรมนูญคือพาทักษิณกลับบ้านโดยไม่มีความผิดนั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น