ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ทสจ.เชียงใหม่ระบุมวลอากาศเย็นเตรียมเคลื่อนเข้าภาคเหนือ หวั่นส่งผลทำอากาศแย่ซ้ำรอยช่วงสุดสัปดาห์ ชี้ต้องเร่งบังคับใช้กฎหมายจริงจังควบคุมการเผา พร้อมระบุ 8 จังหวัดภาคเหนือเตรียมหารือแก้ปัญหา-ประสานเพื่อนบ้านคุมการเผาในพื้นที่ ด้านผู้ว่าฯ แจงพื้นที่เป้าหมายการเผาลดลงแต่มีที่ใหม่เผาเพิ่มขึ้นมาแทน ยันอากาศแย่ยังไม่กระทบท่องเที่ยว
นายบรรพต คันธเสน ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่(ทสจ.) กล่าวถึงสถานการณ์หมอกควันและไฟป่าในจังหวัดเชียงใหม่ว่า หลังจากที่ดัชนีคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กได้เพิ่มสูงขึ้น จนเกินมาตรฐานในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ในขณะนี้สถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้น แต่จากรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่า จะมีมวลอากาศเย็นเคลื่อนเข้าสู่ภาคเหนือและจังหวัดเชียงใหม่ในอีก 2-3 วันนี้ ซึ่งนอกจากจะส่งผลให้อากาศโดยทั่วไปเย็นลงแล้ว ยังจะทำให้กลุ่มหมอกควันถูกกักไว้ในพื้นที่ ซึ่งหากในช่วงดังกล่าวไม่มีลมพัดหรือไม่มีฝนตกในพื้นที่ ก็อาจส่งผลให้สภาพอากาศเลวร้ายลงเหมือนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้
อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เร่งดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่องแล้ว โดยในขณะนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้มีคำสั่งไปยังทั้ง 25 อำเภอของจังหวัดให้เข้มงวดกวดขันเกี่ยวกับการเผาในพื้นที่แล้ว ขณะที่ เทศบาลนครเชียงใหม่ก็ได้เร่งออกฉีดน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการแพร่กระจายของฝุ่นละอองเช่นกัน
นายบรรพตกล่าวต่อไปว่า นอกเหนือจากการประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือจากประชาชนของหน่วยงานต่างๆ ในการรณรงค์เพื่อลดการเผาและเฝ้าระวังปัญหาหมอกควันและไฟป่าแล้ว สิ่งที่จะมีการดำเนินการอย่างจริงจังยิ่งขึ้น ก็คือการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากสาเหตุของการเกิดหมอกควันจำนวนมากในครั้งนี้ มาจากการเผาในหลายพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่ประชาชนคุ้นเคยมานาน แต่ในขณะเดียวกันก็มีความพยายามในการสร้างความรู้ความเข้าใจต่อประชาชน ถึงผลกระทบจากการเผาและหมอกควันมาโดยตลอด จึงถือได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ทราบและตระหนัก ถึงผลกระทบของปัญหาดังกล่าวแล้ว ดังนั้นหากยังมีประชาชนที่ทำการเผาในที่โล่งในช่วงนี้อยู่ ก็ถือว่าไม่ให้ความร่วมมือกับทางราชการ และถือว่ามีความผิด ต้องรับโทษตามกฎหมาย
นายบรรพต ระบุด้วยว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือทั้ง 8 จังหวัดเตรียมที่จะจัดการประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อวางแผนในการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าร่วมกันแล้ว รวมทั้งเตรียมที่จะหารือกับประเทศเพื่อนบ้านในการหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากผลของการตรวจหาจุด Hotspot พบว่าบริเวณที่มีการเผาเกิดขึ้นในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน ซึ่งส่งผลกระทบมาถึงพื้นที่ภาคเหนืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้านหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดยังคงติดตามสถานการณ์หมอกควันและไฟป่าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตัวเลขค่าดัชนีคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กจะลดลงแล้ว โดยได้สั่งการให้แต่ละอำเภอดูแลพื้นที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด ทั้งนี้หากพื้นที่ใดสามารถดูแลไม่ให้มีการเผาเกิดขึ้นได้ก็จะถือเป็นผลงานของพื้นที่นั้นๆ
ขณะเดียวกัน ก็จะประสานไปยังจังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง เนื่องจากหลายจังหวัดยังคงมีค่าดัชนีคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กสูงเกินกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งหากจังหวัดใกล้เคียงยังคงประสบปัญหาดังกล่าวอยู่ จังหวัดเชียงใหม่ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่าพื้นที่หลายแห่ง ที่เคยเป็นพื้นที่เป้าหมายที่มีการเผาจำนวนมากนั้นมีตัวเลขลดลง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่กลับมีพื้นที่ใหม่หลายแห่งที่พบว่ามีการเผาและปริมาณฝุ่นละอองเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องเร่งทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่และพยายามหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป ส่วนผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวต่อการท่องเที่ยว จากการตรวจสอบทั้งจำนวนผู้ที่เข้าพักตามโรงแรมและผู้ที่เดินทางผ่านสายการบินต่างๆ ยังไม่พบว่ามีการยกเลิกแต่อย่างใด
นายบรรพต คันธเสน ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่(ทสจ.) กล่าวถึงสถานการณ์หมอกควันและไฟป่าในจังหวัดเชียงใหม่ว่า หลังจากที่ดัชนีคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กได้เพิ่มสูงขึ้น จนเกินมาตรฐานในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ในขณะนี้สถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้น แต่จากรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่า จะมีมวลอากาศเย็นเคลื่อนเข้าสู่ภาคเหนือและจังหวัดเชียงใหม่ในอีก 2-3 วันนี้ ซึ่งนอกจากจะส่งผลให้อากาศโดยทั่วไปเย็นลงแล้ว ยังจะทำให้กลุ่มหมอกควันถูกกักไว้ในพื้นที่ ซึ่งหากในช่วงดังกล่าวไม่มีลมพัดหรือไม่มีฝนตกในพื้นที่ ก็อาจส่งผลให้สภาพอากาศเลวร้ายลงเหมือนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้
อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เร่งดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่องแล้ว โดยในขณะนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้มีคำสั่งไปยังทั้ง 25 อำเภอของจังหวัดให้เข้มงวดกวดขันเกี่ยวกับการเผาในพื้นที่แล้ว ขณะที่ เทศบาลนครเชียงใหม่ก็ได้เร่งออกฉีดน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการแพร่กระจายของฝุ่นละอองเช่นกัน
นายบรรพตกล่าวต่อไปว่า นอกเหนือจากการประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือจากประชาชนของหน่วยงานต่างๆ ในการรณรงค์เพื่อลดการเผาและเฝ้าระวังปัญหาหมอกควันและไฟป่าแล้ว สิ่งที่จะมีการดำเนินการอย่างจริงจังยิ่งขึ้น ก็คือการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากสาเหตุของการเกิดหมอกควันจำนวนมากในครั้งนี้ มาจากการเผาในหลายพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่ประชาชนคุ้นเคยมานาน แต่ในขณะเดียวกันก็มีความพยายามในการสร้างความรู้ความเข้าใจต่อประชาชน ถึงผลกระทบจากการเผาและหมอกควันมาโดยตลอด จึงถือได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ทราบและตระหนัก ถึงผลกระทบของปัญหาดังกล่าวแล้ว ดังนั้นหากยังมีประชาชนที่ทำการเผาในที่โล่งในช่วงนี้อยู่ ก็ถือว่าไม่ให้ความร่วมมือกับทางราชการ และถือว่ามีความผิด ต้องรับโทษตามกฎหมาย
นายบรรพต ระบุด้วยว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือทั้ง 8 จังหวัดเตรียมที่จะจัดการประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อวางแผนในการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าร่วมกันแล้ว รวมทั้งเตรียมที่จะหารือกับประเทศเพื่อนบ้านในการหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากผลของการตรวจหาจุด Hotspot พบว่าบริเวณที่มีการเผาเกิดขึ้นในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน ซึ่งส่งผลกระทบมาถึงพื้นที่ภาคเหนืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้านหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดยังคงติดตามสถานการณ์หมอกควันและไฟป่าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตัวเลขค่าดัชนีคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กจะลดลงแล้ว โดยได้สั่งการให้แต่ละอำเภอดูแลพื้นที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด ทั้งนี้หากพื้นที่ใดสามารถดูแลไม่ให้มีการเผาเกิดขึ้นได้ก็จะถือเป็นผลงานของพื้นที่นั้นๆ
ขณะเดียวกัน ก็จะประสานไปยังจังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง เนื่องจากหลายจังหวัดยังคงมีค่าดัชนีคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กสูงเกินกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งหากจังหวัดใกล้เคียงยังคงประสบปัญหาดังกล่าวอยู่ จังหวัดเชียงใหม่ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่าพื้นที่หลายแห่ง ที่เคยเป็นพื้นที่เป้าหมายที่มีการเผาจำนวนมากนั้นมีตัวเลขลดลง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่กลับมีพื้นที่ใหม่หลายแห่งที่พบว่ามีการเผาและปริมาณฝุ่นละอองเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องเร่งทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่และพยายามหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป ส่วนผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวต่อการท่องเที่ยว จากการตรวจสอบทั้งจำนวนผู้ที่เข้าพักตามโรงแรมและผู้ที่เดินทางผ่านสายการบินต่างๆ ยังไม่พบว่ามีการยกเลิกแต่อย่างใด