ASTVผู้จัดการรายวัน-ปตท.ชี้ราคาน้ำมันโลกดีดตัวขึ้นเป็นแค่ช่วงสั้น จากความตึงเครียดเหตุการณ์อิหร่าน มั่นใจราคาไม่ถึง 140 เหรียญต่อบาร์เรล ย้ำหากคลังบี้ลดค่าการตลาด ปั๊มเจ๊งแน่ ระบุตอนนี้ ค่าการตลาดต่ำกว่า 1.40 บาทต่อลิตรแล้ว ลือผู้ค้าน้ำมันต่างชาติเผ่นหนี หลังมีกระแสข่าวเอสโซ่จ่อขายทิ้งธุรกิจในไทย เผยหากจริง ปตท.ก็ไม่สนใจซื้อ
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นสุดในรอบ 9 เดือน มาจากความตึงเครียดที่อิหร่านหยุดจ่ายน้ำมันดิบไปยุโรป และส่งเรือรบไปยังทะเลเมดิเตอเรเนียน เชื่อว่าเกิดขึ้นระยะสั้นๆ ราคาน้ำมันไม่น่าจะขยับไปถึง 140 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังจะขอให้ปตท.ปรับลดค่าการตลาดน้ำมันลงอีก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนนั้น เห็นว่า ขณะนี้ค่าการตลาดของผู้ประกอบการน้ำมันก็ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หากให้ปรับลดลงค่าการตลาดลงไปอีกปั๊มน้ำมันก็คงอยู่ไม่ได้
นายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นนี้ ทำให้ค่าการตลาดปัจจุบันต่ำกว่า 1.40 บาทต่อลิตร ซึ่งผู้ค้าต้องแบ่งให้กับดีลเลอร์ 80 สตางค์ต่อลิตร ทำให้แทบไม่มีกำไร เพราะยังมีค่าใช้จ่ายในการขนส่งน้ำมันและการดูแลคุณภาพน้ำมันอีก แต่สาเหตุที่ผู้ประกอบการยังอยู่ได้ เนื่องจากมีธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (None Oil) เช่น มินิมาร์ทและน้ำมันเครื่อง
แนวทางการบริหารจัดการธุรกิจน้ำมันปตท. ในปีนี้ที่จะให้มีผลกำไร คงหวังพึ่งธุรกิจค้าปลีกน้ำมันลำบาก เพราะนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ค่าการตลาดค้าปลีกน้ำมันของปตท.เฉลี่ย 1 บาทต่อลิตรเท่านั้น ต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม 1.80 บาท/ลิตร ดังนั้น คงต้องหวังพึ่งธุรกิจนอนออยล์มากขึ้น รวมทั้งการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน และการขายผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากโรงกลั่น อาทิ น้ำมันหล่อลื่น และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ใม่ใช่ปิโตรเลียม เช่น เอทานอล เป็นต้น
ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านยังมีความต้องการใช้ยางมะตอยอยู่มาก โดยบริษัทลูกของปตท. เช่น ไทยออยล์และไออาร์พีซี มีการผลิตยางมะตอยได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สูงมากนัก ซึ่งปตท.จะรับซื้อมาเพื่อต่อยอดธุรกิจทำตลาดต่อไป โดยจะพิจารณาว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างไร ทั้งการมีถังเก็บ รถขนส่งเอง และการบริการขาย โดยปตท.จะทำตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศเช่นลาว พม่า
กัมพูชา
สำหรับผลการดำเนินงานธุรกิจน้ำมัน ปตท.ในปี 2554 พบว่ามีกำไรจากสต็อกน้ำมันค่อนข้างมาก แต่หากตัดกำไรจากสต็อกน้ำมันแล้ว พบว่าธุรกิจน้ำมันแทบไม่มีกำไรเลย ยอมรับว่านับตั้งแต่ต้นปี 2555 ค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ยแค่ 1 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำมาก
ส่วนกระแสข่าวการขายธุรกิจปั๊มน้ำมันเอสโซ่ในไทย นายสรัญ กล่าวว่า หากเอสโซ่จะขายธุรกิจในไทยน่าจะเป็นการขายธุรกิจทั้งโรงกลั่นและปั๊มน้ำมัน คงไม่แยกขาย หรือไม่ก็ไม่ขายเลย ซึ่งปตท.ไม่คิดซื้อปั๊มเอสโซ่อยู่แล้ว เพราะต้องการให้ธุรกิจค้าปลีกมีแข่งขันเต็มที่ เพื่อประชาชนจะได้มีทางเลือกมากขึ้น แต่หากบริษัทลูก อย่างไทยออยล์จะไปซื้อโรงกลั่นเอสโซ่ เมื่อถึงวันนั้นคงจะพิจารณาอีกที
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตซีอีโอปตท. กล่าวว่า ประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้น่าจะเกิดขึ้นชั่วคราว เหตุการณ์คงไม่รุนแรงจนอิหร่านต้องปิดช่องแคบเฮอร์มุซ หากสถานการณ์ความตึงเครียดจากอิหร่านลดลง ราคาน้ำมันก็จะอ่อนตัวลงมา ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 120-130 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ค่าการตลาดอยู่ที่ 6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
หากรัฐต้องการให้มีการปรับลดค่าการตลาดลงมาอีก ก็ควรต้องศึกษาว่าค่าการตลาดน้ำมันที่เหมาะสมอยู่เป็นเท่าใด
ยอมรับว่าปีนี้จึงเป็นปีที่ยากลำบากของรัฐในการบริหารจัดการด้านพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยภายนอกควบคุมไม่ได้ และที่ผ่านมา รัฐมีการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและภาษีสรรพสามิต ดังนั้น การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันและภาษีสรรพสามิตอีกครั้งต้องทยอยจัดเก็บ เพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชน โดยย้ำว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันและเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อจะได้มีเงินไปอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้มและแก๊สโซฮอล์
"กระแสข่าวว่าเอสโซ่จะขายธุรกิจปั๊มน้ำมันในไทยนั้น มองว่าบริษัทต่างชาติหากทำธุรกิจแล้วไม่มีผลกำไร ก็จะขายธุรกิจไป แล้วนำเงินไปลงทุนที่อื่นแทน ซึ่งรัฐควรต้องเข้ามาดูแลให้มีการแข่งขันเป็นไปตามกลไกตลาด ไม่ให้ใครได้เปรียบ"นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ซีอีโอ) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางราคาน้ำมันโลก โดยประเมินว่าราคาน้ำมันดิบอาจแตะ 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุส แนะรัฐบาลดูจังหวะเก็บกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและภาษีดีเซลแบบทยอยจัดเก็บไม่ให้กระทบต่อประชาชนมากเกินไป
นายประเสริฐ ยอมรับว่าปีนี้ราคาน้ำมันจะอยู่ในเกณฑ์สูง ยิ่งหากเกิดปัญหาอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุส ก็จะทำให้ราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้นถึง ระดับ 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่จะเป็นระยะสั้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่านานาชาติคงจะไม่ปล่อยให้ช่องฮอร์มุสถูกปิด และในส่วนของประเทศไทยราคาน้ำมัน ก็คงปรับขึ้นอีก ซึ่งในส่วนของภาครัฐที่ขณะนี้กำลังจะมีการจัดเก็บภาษีดีเซลและทยอยจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ก็เห็นด้วยที่จำเป็นต้องจัดเก็บ แต่เมื่อราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นเช่นนี้ ก็ควรจะทยอยจัดเก็บในอัตราที่ไม่กระทบต่อประชาชนมากเกินไป โดยทยอยเก็บให้เหมาะสมกลมกลืนกับราคาตลาดโลกและไม่กระทบเศรษฐกิจ
“การยกเว้นภาษีดีเซลที่ผ่านมาทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้เป็นแสนล้านบาท ในขณะที่รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้เงินในการพัฒนาประเทศ ส่วนกองทุนน้ำมันก็มีภาระขาดทุน ดังนั้น การจัดเก็บ เพื่อแก้ปัญหาจึงมีความจำเป็นทั้งสองตัว แต่ก็ควรดูจังหวะเวลาให้เหมาะสม”
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ซีอีโอ ปตท. คนปัจจุบัน กล่าวว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นในรอบ 9 เดือน เป็นเพราะปัญหาอิหร่านที่ขู่ปิดช่องแคบฮอร์มุสและหยุดส่งน้ำมันให้ฝรั่งเศส-อังกฤษ แต่คาดว่าจะเป็นปัญหาจิตวิทยาระยะสั้น หลังจากนั้นราคาก็คงจะปรับลดลงมา โดยคาดว่าราคาจะยังไม่สูงถึงการประเมินสถานการณ์ราคาในเกณฑ์สูงที่ 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังมีแนวคิดจะให้ ปตท.ลดค่าการตลาดลงมานั้น ก็คงจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะค่าการตลาดขณะนี้ต่ำมาก หากลดลงอีก ก็จะกระทบต่อตลาดน้ำมันโดยรวม ปั๊มน้ำมันคงทยอยปิดอีกมาก
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า หากราคาน้ำมันโลกขยับขึ้นเป็น 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือปรับขึ้นอีกประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก็จะมีผลทำให้ราคาน้ำมันของไทยปรับขึ้นอีกประมาณ 16 บาทต่อลิตร เช่น เบนซิน 91 ราคาจะมากกว่า 56 บาทต่อลิตร และดีเซลจะอยู่ที่ประมาณ 47 บาทต่อลิตร โดยหากราคาปรับขึ้นจริงก็จะทำให้ราคาน้ำมันของไทยปรับขึ้นสูงสุดหลังจากที่ดีเซลทำนิวไฮเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2551 ที่ 43.04 บาทต่อลิตร (ช่วงราคาน้ำมันดิบตลาดโลกนิวไฮ ที่ 147 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) และเบนซิน 91 ราคาของไทยสูงสุดที่ 43.74 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นสุดในรอบ 9 เดือน มาจากความตึงเครียดที่อิหร่านหยุดจ่ายน้ำมันดิบไปยุโรป และส่งเรือรบไปยังทะเลเมดิเตอเรเนียน เชื่อว่าเกิดขึ้นระยะสั้นๆ ราคาน้ำมันไม่น่าจะขยับไปถึง 140 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังจะขอให้ปตท.ปรับลดค่าการตลาดน้ำมันลงอีก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนนั้น เห็นว่า ขณะนี้ค่าการตลาดของผู้ประกอบการน้ำมันก็ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หากให้ปรับลดลงค่าการตลาดลงไปอีกปั๊มน้ำมันก็คงอยู่ไม่ได้
นายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นนี้ ทำให้ค่าการตลาดปัจจุบันต่ำกว่า 1.40 บาทต่อลิตร ซึ่งผู้ค้าต้องแบ่งให้กับดีลเลอร์ 80 สตางค์ต่อลิตร ทำให้แทบไม่มีกำไร เพราะยังมีค่าใช้จ่ายในการขนส่งน้ำมันและการดูแลคุณภาพน้ำมันอีก แต่สาเหตุที่ผู้ประกอบการยังอยู่ได้ เนื่องจากมีธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (None Oil) เช่น มินิมาร์ทและน้ำมันเครื่อง
แนวทางการบริหารจัดการธุรกิจน้ำมันปตท. ในปีนี้ที่จะให้มีผลกำไร คงหวังพึ่งธุรกิจค้าปลีกน้ำมันลำบาก เพราะนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ค่าการตลาดค้าปลีกน้ำมันของปตท.เฉลี่ย 1 บาทต่อลิตรเท่านั้น ต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม 1.80 บาท/ลิตร ดังนั้น คงต้องหวังพึ่งธุรกิจนอนออยล์มากขึ้น รวมทั้งการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน และการขายผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากโรงกลั่น อาทิ น้ำมันหล่อลื่น และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ใม่ใช่ปิโตรเลียม เช่น เอทานอล เป็นต้น
ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านยังมีความต้องการใช้ยางมะตอยอยู่มาก โดยบริษัทลูกของปตท. เช่น ไทยออยล์และไออาร์พีซี มีการผลิตยางมะตอยได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สูงมากนัก ซึ่งปตท.จะรับซื้อมาเพื่อต่อยอดธุรกิจทำตลาดต่อไป โดยจะพิจารณาว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างไร ทั้งการมีถังเก็บ รถขนส่งเอง และการบริการขาย โดยปตท.จะทำตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศเช่นลาว พม่า
กัมพูชา
สำหรับผลการดำเนินงานธุรกิจน้ำมัน ปตท.ในปี 2554 พบว่ามีกำไรจากสต็อกน้ำมันค่อนข้างมาก แต่หากตัดกำไรจากสต็อกน้ำมันแล้ว พบว่าธุรกิจน้ำมันแทบไม่มีกำไรเลย ยอมรับว่านับตั้งแต่ต้นปี 2555 ค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ยแค่ 1 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำมาก
ส่วนกระแสข่าวการขายธุรกิจปั๊มน้ำมันเอสโซ่ในไทย นายสรัญ กล่าวว่า หากเอสโซ่จะขายธุรกิจในไทยน่าจะเป็นการขายธุรกิจทั้งโรงกลั่นและปั๊มน้ำมัน คงไม่แยกขาย หรือไม่ก็ไม่ขายเลย ซึ่งปตท.ไม่คิดซื้อปั๊มเอสโซ่อยู่แล้ว เพราะต้องการให้ธุรกิจค้าปลีกมีแข่งขันเต็มที่ เพื่อประชาชนจะได้มีทางเลือกมากขึ้น แต่หากบริษัทลูก อย่างไทยออยล์จะไปซื้อโรงกลั่นเอสโซ่ เมื่อถึงวันนั้นคงจะพิจารณาอีกที
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตซีอีโอปตท. กล่าวว่า ประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้น่าจะเกิดขึ้นชั่วคราว เหตุการณ์คงไม่รุนแรงจนอิหร่านต้องปิดช่องแคบเฮอร์มุซ หากสถานการณ์ความตึงเครียดจากอิหร่านลดลง ราคาน้ำมันก็จะอ่อนตัวลงมา ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 120-130 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ค่าการตลาดอยู่ที่ 6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
หากรัฐต้องการให้มีการปรับลดค่าการตลาดลงมาอีก ก็ควรต้องศึกษาว่าค่าการตลาดน้ำมันที่เหมาะสมอยู่เป็นเท่าใด
ยอมรับว่าปีนี้จึงเป็นปีที่ยากลำบากของรัฐในการบริหารจัดการด้านพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยภายนอกควบคุมไม่ได้ และที่ผ่านมา รัฐมีการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและภาษีสรรพสามิต ดังนั้น การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันและภาษีสรรพสามิตอีกครั้งต้องทยอยจัดเก็บ เพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชน โดยย้ำว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันและเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อจะได้มีเงินไปอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้มและแก๊สโซฮอล์
"กระแสข่าวว่าเอสโซ่จะขายธุรกิจปั๊มน้ำมันในไทยนั้น มองว่าบริษัทต่างชาติหากทำธุรกิจแล้วไม่มีผลกำไร ก็จะขายธุรกิจไป แล้วนำเงินไปลงทุนที่อื่นแทน ซึ่งรัฐควรต้องเข้ามาดูแลให้มีการแข่งขันเป็นไปตามกลไกตลาด ไม่ให้ใครได้เปรียบ"นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ซีอีโอ) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางราคาน้ำมันโลก โดยประเมินว่าราคาน้ำมันดิบอาจแตะ 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุส แนะรัฐบาลดูจังหวะเก็บกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและภาษีดีเซลแบบทยอยจัดเก็บไม่ให้กระทบต่อประชาชนมากเกินไป
นายประเสริฐ ยอมรับว่าปีนี้ราคาน้ำมันจะอยู่ในเกณฑ์สูง ยิ่งหากเกิดปัญหาอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุส ก็จะทำให้ราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้นถึง ระดับ 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่จะเป็นระยะสั้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่านานาชาติคงจะไม่ปล่อยให้ช่องฮอร์มุสถูกปิด และในส่วนของประเทศไทยราคาน้ำมัน ก็คงปรับขึ้นอีก ซึ่งในส่วนของภาครัฐที่ขณะนี้กำลังจะมีการจัดเก็บภาษีดีเซลและทยอยจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ก็เห็นด้วยที่จำเป็นต้องจัดเก็บ แต่เมื่อราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นเช่นนี้ ก็ควรจะทยอยจัดเก็บในอัตราที่ไม่กระทบต่อประชาชนมากเกินไป โดยทยอยเก็บให้เหมาะสมกลมกลืนกับราคาตลาดโลกและไม่กระทบเศรษฐกิจ
“การยกเว้นภาษีดีเซลที่ผ่านมาทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้เป็นแสนล้านบาท ในขณะที่รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้เงินในการพัฒนาประเทศ ส่วนกองทุนน้ำมันก็มีภาระขาดทุน ดังนั้น การจัดเก็บ เพื่อแก้ปัญหาจึงมีความจำเป็นทั้งสองตัว แต่ก็ควรดูจังหวะเวลาให้เหมาะสม”
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ซีอีโอ ปตท. คนปัจจุบัน กล่าวว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นในรอบ 9 เดือน เป็นเพราะปัญหาอิหร่านที่ขู่ปิดช่องแคบฮอร์มุสและหยุดส่งน้ำมันให้ฝรั่งเศส-อังกฤษ แต่คาดว่าจะเป็นปัญหาจิตวิทยาระยะสั้น หลังจากนั้นราคาก็คงจะปรับลดลงมา โดยคาดว่าราคาจะยังไม่สูงถึงการประเมินสถานการณ์ราคาในเกณฑ์สูงที่ 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังมีแนวคิดจะให้ ปตท.ลดค่าการตลาดลงมานั้น ก็คงจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะค่าการตลาดขณะนี้ต่ำมาก หากลดลงอีก ก็จะกระทบต่อตลาดน้ำมันโดยรวม ปั๊มน้ำมันคงทยอยปิดอีกมาก
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า หากราคาน้ำมันโลกขยับขึ้นเป็น 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือปรับขึ้นอีกประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก็จะมีผลทำให้ราคาน้ำมันของไทยปรับขึ้นอีกประมาณ 16 บาทต่อลิตร เช่น เบนซิน 91 ราคาจะมากกว่า 56 บาทต่อลิตร และดีเซลจะอยู่ที่ประมาณ 47 บาทต่อลิตร โดยหากราคาปรับขึ้นจริงก็จะทำให้ราคาน้ำมันของไทยปรับขึ้นสูงสุดหลังจากที่ดีเซลทำนิวไฮเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2551 ที่ 43.04 บาทต่อลิตร (ช่วงราคาน้ำมันดิบตลาดโลกนิวไฮ ที่ 147 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) และเบนซิน 91 ราคาของไทยสูงสุดที่ 43.74 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554