xs
xsm
sm
md
lg

แรงจูงใจจากสมัยนิยม : เหตุให้วัยรุ่นเสียสาว

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

“ถ้ารักจริงให้สู่ขอกับพ่อแม่
อย่าวิ่งแร่หลงงามไปตามง่าย
เขาไม่เลี้ยงไล่ขับจะอับอาย
ต้องเป็นหม้ายอยู่กับบ้านประจานตน”

กลอนบทนี้เป็นส่วนหนึ่งจากหนังสือสุภาษิตสอนหญิงของสุนทรภู่กวีเอกของไทย ดังนั้นท่านผู้อ่านที่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้คงจะจำได้เป็นอย่างดี หรือแม้ไม่เคยอ่าน แต่ถ้าเกิดมาและเติบโตขึ้นในครอบครัวที่พ่อแม่เป็นคนรุ่นเก่า หรือที่เรียกว่า หัวโบราณ ก็คงจะได้ยินพ่อแม่สอนลูกสาว โดยยกกลอนบทนี้ขึ้นมาอ้าง

โดยนัยแห่งเนื้อหาของกลอนบทนี้ มุ่งสอนให้สาวไทยรักนวลสงวนตัว ไม่มั่วก่อนวัยอันควร และแม้ถึงวัยที่ควรแก่การแสวงหาคนรัก ครั้นรักใครชอบใครแล้วก็ควรให้พ่อแม่ได้รับรู้ และมีส่วนในการเลือกให้อย่าเลือกเอง เพราะถ้าเลือกได้คนไม่ดี ไม่มีความรับผิดชอบก็อาจถูกทอดทิ้งให้เป็นม่ายอับอายชาวบ้าน และเสียหายมาถึงพ่อแม่และวงศ์ตระกูล

ยังมีกลอนอีกบทหนึ่งซึ่งผู้เขียนจำได้ว่าอ่านจากกระดาษห่อของ ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้ประพันธ์ แต่มีเนื้อหากินใจ ถึงแม้จะเป็นบทกวีที่ไม่ไพเราะเพราะพริ้งเมื่อเปรียบกับของสุนทรภู่ อีกทั้งฉันทลักษณ์ก็ไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากที่สัมผัสซ้ำ กลอนบทนี้ก็คือ

“อันผักหญ้าปลาเคล้าคาวระบาด
ใส่กระจาดล้างน้ำกลิ่นจางหาย
เมื่อสตรีหลงเสียสาวแก่เหล่าชาย
อย่าพึงหมายว่ากลิ่นจะสิ้นคาว
แม้นวันนี้มิรู้อยู่อีกหน่อย
กลิ่นก็ค่อยกระพือให้อื้อฉาว
ถึงใส่น้ำชะล้างไม่สร่างคาว
ขอสาวสาวจงจำคำเตือนเอย”

จากนัยของกลอนบทนี้ ผู้ประพันธ์มุ่งเตือนสติมิให้สตรีหลงคารม และพลาดท่าเสียทีแก่ผู้ชาย ทำให้เสียชื่อเสียง และเมื่อเสียแล้วแก้คืนไม่ได้ ต่างจากผักหญ้าที่ปนเปื้อนกลิ่นคาวปลาแก้ได้ด้วยการล้างน้ำ และยังบอกด้วยว่าถึงแม้จะเป็นสิ่งที่คนสองคนแอบทำ และปกปิดไว้ สักวันหนึ่งเรื่องก็จะถูกเปิดเผยออกมา

กลอนทั้งสองบทนี้เป็นการสอนผู้หญิงไทยในยุคโบราณ แต่ในปัจจุบันคงจะเลือนหายไปจากความทรงจำ หรือจะมีการยึดถืออยู่บ้างก็เป็นส่วนน้อย และคนที่ยึดถือแนวทางนี้ก็จะถูกคนหมู่มากในปัจจุบันมองว่าโบราณ คร่ำครึ ไม่ทันสมัย และนี่เองคือสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้วัยรุ่นไทยเสียสาวก่อนวัยอันควร จะเห็นได้จากผลการสำรวจการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และมีการไปทำแท้งเพิ่มขึ้นทุกวัน และที่เห็นได้ชัดเจนก็คือความนิยมเสียตัวของวัยรุ่นในวันวาเลนไทน์ในทุกปี ทั้งนี้น่าจะเกิดจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้

1. ในยุคก่อนปัญหาเศรษฐกิจไม่บีบคั้นให้พ่อและแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัวให้เพียงพอแก่ความต้องการ พ่อจะเป็นคนทำงานเพื่อหารายได้ ส่วนแม่เป็นแม่บ้านทำงานบ้าน และเลี้ยงดูลูก ดังนั้นจึงมีเวลาและความใกล้ชิดในการอบรมลูก แม่จึงเป็นทั้งแม่ พี่ และเพื่อนของลูกสาวคอยให้คำปรึกษาในทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องของความรักด้วย จึงเป็นโอกาสดีที่จะตักเตือนให้ลูกสาวที่มีอายุย่างเข้าสู่วัยสาว คอยป้องกันมิให้ลูกเดินออกนอกลู่นอกทาง และพลาดท่าเสียทีตกเป็นเหยื่อของกามารมณ์ได้ ประกอบกับในยุคก่อนนิยมต้อนรับแขกที่บ้าน จึงเปิดโอกาสให้ลูกสาวพาเพื่อนชายเข้าบ้าน ทำอาหารเลี้ยงกันเป็นการแสดงฝีมือให้ฝ่ายชายได้เห็นความเป็นแม่บ้านแม่เรือนของลูกสาว ทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้พ่อแม่ได้ศึกษาอุปนิสัยใจคอของเพื่อนลูกสาวด้วย ดังนั้น การที่พ่อแม่แนะนำให้ลูกสาวทำเช่นนี้ น่าจะเป็นการป้องกันการชิงสุกก่อนห่ามได้ในระดับหนึ่ง

2. ในปัจจุบันปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า ทำให้พ่อและแม่ต้องช่วยกันทำงานเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว จึงทำให้แม่ไม่มีเวลาเลี้ยงลูก และอบรมลูกอย่างใกล้ชิด และในบางครอบครัวปล่อยให้เด็กอยู่ในความดูแลของคนรับใช้ สถานเลี้ยงเด็ก และโรงเรียนประจำ ทำให้เด็กขาดความอบอุ่น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแทนที่เด็กจะปรึกษาพ่อแม่ เด็กก็จะไปปรึกษาเพื่อนแทน และแน่นอนว่าเด็กวัยเดียวกัน โตในยุคเดียวกัน และมีสภาพแวดล้อมทางสังคมเหมือนกัน คำตอบที่ให้ก็เหมือนกับคนที่ถาม และนี่เองคือจุดที่ทำให้เด็กวัยรุ่นตกเป็นเหยื่อของความเชื่อในรูปแบบลัทธิวัตถุนิยมจากโลกตะวันตก ที่เลี้ยงดูลูกแบบปล่อยให้มีเสรีภาพในการคิด และทำ ที่เรียกได้ว่าไร้ขอบเขตเมื่อเปรียบกับประเพณีและวัฒนธรรมของโลกตะวันออกในเรื่องเดียวกัน

ดังจะเห็นได้จากแนวคิดจากงานเขียนเรื่อง The Way of the World ของวิลเลียม คอนเกรฟ ที่ว่า It is better for a weman to be Loved and left than never to be loved แปลได้ใจความว่า สำหรับผู้หญิงแล้วมีคนรักและถูกทอดทิ้ง ยังดีกว่าไม่มีคนรักเสียเลย ซึ่งตรงกับสำนวนบทหนึ่งของไทยที่ว่า อกหักดีกว่ารักไม่เป็น นั่นเอง

โดยนัยแห่งแนวคิดนี้ ถ้ามองให้ลึกแล้วจะเห็นว่าสวนทางกับแนวคิดของไทยในยุคก่อนซึ่งยึดมั่นในคำสอนศาสดาและปรัชญาจิตนิยมโดยสิ้นเชิง

จากความแตกต่างแห่งแนวคิดและพฤติกรรมแสดงออกในเรื่องของความรักของเด็กไทยยุคก่อนกับยุคนี้เองที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการยินยอมเสียสาวให้แก่เพื่อนชาย ทั้งๆ ที่ในบางรายไม่มีความรักเป็นเหตุจูงใจ แต่จะมีก็เพียงความต้องการเท่านั้น เพราะถ้ามีความรักเป็นเหตุจูงใจแล้วจะต้องคิดรอบคอบและลึกซึ้ง เป็นต้นว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะเป็นสามีเป็นภรรยา และที่สำคัญเป็นพ่อและแม่ของเด็กที่จะเกิดมาจากการประกอบกิจกรรมทางเพศของคนสองคน และด้วยเหตุนี้เองที่การเสียสาวของวัยรุ่นไทยในวันวาเลนไทน์เพิ่มขึ้นทุกปี

ส่วนประเด็นที่ว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือ ถามผู้คนในสังคมโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีลูกสาวว่าจะย้อนไปสู่อดีตได้หรือไม่ ถ้าตอบว่าได้ก็ไม่ยากที่จะป้องกัน แต่ถ้าตอบว่าไม่ได้ ก็จะต้องถามต่อว่า จะช่วยกันแก้เรื่องนี้อย่างไร

แต่จะแก้ไขด้วยการสอนเพศศึกษาเพื่อมุ่งให้เด็กป้องกันการตั้งครรภ์ดังที่ทำกันอยู่บอกได้คำเดียวว่าคนละประเด็น เพราะการป้องกันมิให้ตั้งครรภ์ก็ไม่ต่างกับการบอกให้คนทำผิด แต่กำชับว่าอย่าทิ้งอะไรไว้เป็นหลักฐานนั่นเอง

อย่าลืมว่าประเด็นที่ควรจะแก้ไขในเรื่องนี้ คือการไม่ให้เด็กไทยมีพฤติกรรมทางเพศก่อนเวลาที่ตนเองมีความพร้อมในการเป็นพ่อและแม่อันเป็นต้นเหตุให้มีการทำแท้งเพราะไม่ต้องการมีลูก แต่ที่แสดงพฤติกรรมต่อกันเพื่อสนองความต้องการมิใช่ความรัก ดังนั้นเด็กที่เกิดมาจึงมิใช่ผลผลิตแห่งความรัก แต่เป็นผลผลิตแห่งความต้องการ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผลพลอยได้ของกามารมณ์ที่ปรัชญาจารวากเรียกว่า by product of sensual enjoyment นั่นเอง

ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่าถ้าจะป้องกันการเสียสาวก่อนวัยอันควร จะต้องใช้คุณธรรมและความรับผิดชอบของพ่อแม่เป็นหลักในการป้องกัน อย่าปล่อยให้ครูสอนเพศศึกษาซึ่งเป็นการชี้โพรงให้กระรอกแก้ปัญหาเรื่องนี้เพียงลำพัง เพราะจะยิ่งทำให้มีการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น เพราะน้อยรายที่จะคิดป้องกันดังที่โพลสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ได้เปิดเผยผลออกมาว่า เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ไม่ป้องกัน และมีการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น