xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เปิดห้องพิเศษรับ “แปะเจี๊ยะ” “สุชาติ ธาดาธำรงเวช” WHO ARE YOU?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-  “มีคนถามผมเรื่อย ๆ เรื่อง ‘แปะเจี๊ยะ’ ซึ่งผมเปลี่ยนเป็น ‘เงินบริจาค’ แล้ว ฉะนั้นถ้าสถานศึกษาแห่งไหน บอกว่างบประมาณที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จัดให้ไม่พอจะรับเงินบริจาคก็ประกาศให้โปร่งใส อาจจัดห้องเรียนในส่วนเพิ่มเติมไป แต่เด็กก็ต้องมีความสามารถพอสมควร ถ้าไม่มีความสามารถเลย ก็คงไม่ไหว เพราะฉะนั้นเด็กก็ต้องมีความสามารถพอสมควร มีห้องเรียนเฉพาะอีกห้อง และต้องเอาเงินบริจาคมากระจายให้ทั่วโรงเรียน  เรื่องนี้ผมขอฝากกับผู้อำนวยการโรงเรียน ต่อไปจะไม่มี ‘แปะเจี๊ยะ’  มีแต่ ‘เงินบริจาค’ สมัยดึกดำบรรพ์ในยุคกรีก การศึกษาจัดโดยการบริจาคเงินของคนพอมีฐานะ มีฉะนั้นแล้ว ทุกคนต้องจ้างครูเก่ง ๆ ไปสอนลูกตัวเองในบ้าน ซึ่งมีอยู่คนเดียวมันก็เป็นไปไม่ได้”

                นั่นเป็นถ้อยแถลงตอนหนึ่งของ ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวระหว่างมอบนโยบายการรับนักเรียนปีการศึกษา 2555 ให้ แก่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ และผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูงผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และแน่นอนว่า ทันทีที่แพร่สะพัดออกไปก็กลายเป็นกระแส ทอล์กออฟเดอะทาวน์ ทันที

                ทั้งนี้ หากนึกย้อนหลังไปเมื่อ 6 เดือน ก่อนการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งนั้น นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ขณะดำรงตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ ก็ได้ทำให้สังคมตื่นตระหนกมาแล้วกับ “แนวคิดเอาสิ่งที่เคยทำแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ใต้ดินขึ้นมาบนดิน” จนเกิดการตีความว่าจะทำให้ “แปะเจี๊ยะ” ซึ่งเป็นเรื่องใต้ดินมาอยู่บนดินอย่างถูกต้อง กระทั่งกลายเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์จนเจ้าตัวต้องออกมาแก้ต่างเป็นพัลวันอยู่หลายช่วง เวลา

                มาถึงยุคสมัย ศ.ดร.สุชาติ คนจากพรรคเดียวกัน เลยได้รับการปลูกฝังจนมี...รากเหง้าความคิดที่ไม่ผิดแผกจากกัน ต่างกันที่ “ศ.ดร.สุชาติ” อาจเป็นรากเก่าที่หยั่งลึกกว่า “นายวรวัจน์” ทำให้ถ้อยนโยบายที่สื่อไปยัง ผอ.โรงเรียนนั้นจึงเต็มไปด้วยความมั่นใจว่า การทำให้แป๊ะเจี๊ยะกลายเป็นการบริจาค โดยไฟเขียวให้โรงเรียนสามารถประกาศรับบริจาคให้โปร่งใสและเพิ่มโควตานัก เรียนบริจาคขึ้นมาเป็นเรื่อง...ถูกต้อง?

                จึงไม่ต้องประหลาดใจไปว่า ณ ขณะที่อดีต รมว.ศึกษาธิการ หลายคนในยุคก่อน ๆ อาทิ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสะอ้าน หรือ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ จะพยายามหากลยุทธ์สารพันมาตัดวงจร “แปะเจี๊ยะ” ที่มาทุกเทศกาลรับนักเรียนให้หมดไป แต่ ศ.ดร.สุชาติ กลับมองว่า เมื่อโรงเรียนนั้นได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลไม่เพียงพอ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่ เป็นความจริงของโลกที่ต้องยอมรับ? ก็ให้โรงเรียนที่ต้องการการสนับสนุนประกาศรับบริจาคกันชัด ๆ เสียสิ้นเรื่องสิ้นราว เป็นการแสดงถึงความโปร่งใส ที่ตั้งมั่นบนคุณธรรมและคุณงามความดีของ ศ.ดร.สุชาติ ชัดเจน ?

อย่างไรก็ตาม นับแต่เปิดประเด็นมาก็ต้องมานั่งอธิบายความเป็นรายวันไป โดย รมว.ศึกษาธิการพลิกลิ้นไปมาเป็นพัลวันด้วยการแก้ตัวว่า แนวคิดอันแสนเลิศเลอที่กลั่นออกมาจากหัวสมองของคนที่เป็นทั้งศาสตราจารย์และดอกเตอร์นั้น มิได้หมายความว่าจะให้โรงเรียนรับบริจาคเพื่อแลกที่เรียน ให้รับบริจาคได้ แต่ต้องดูศักยภาพของเด็กด้วย โดยเปิดโอกาสให้โรงเรียนได้ใช้ดุลยพินิจของตัวเอง!! และให้เด็กโควตาบริจาคได้เรียนในห้องเรียนปกติเหมือนเพื่อน ๆ มิใช่จัดห้องเรียนเฉพาะอย่างที่ใครเข้าใจ

แต่นั่นดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหยุดยั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขรมขึ้นมาจากผู้คนในแวดวงการศึกษาได้

นักวิชาการฝีปากกล้าอย่าง รศ.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความคิดเห็นตรงไปตรงมา ว่า “แนวทางนี้จะทำให้การรับนักเรียนกลายเป็นสีเทา ทั้งยังเป็นเพียงการเปลี่ยนสารคำว่าแปะเจี๊ยะให้ดูดีขึ้นแต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงจะไม่มีวันโปร่งใส  เพราะโดยธรรมชาติของระบบเช่นนี้ไม่เคยเกิดความโปร่งใสได้  สุดท้ายก็จะเกิดการวิ่งเต้นฝากเด็ก มีการเรียกรับเงินเพื่อแลกที่เรียน  เงินที่เรียกมาจากผู้ปกครองก็คงไม่เข้าโรงเรียนเกิดความไม่ตรงไปตรงมาตรวจสอบยากด้วย  เกิดขบวนการนายหน้าวิ่งฝากเด็ก รวมทั้งเป็นการเปิดช่องให้ผู้มีอำนาจการเมืองหรือการเงินแทรกแซงการรับนักเรียนได้ เกิดความเหลื่อมล้ำ กลายเป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนไม่ใช่แบ่งปันซึ่งอาจส่งผลให้เด็กทั่วไป รู้สึกในด้านไม่ดีต่อเด็กกลุ่มนี้ด้วย ทั้ง ๆ ที่ รัฐบาลนี้ พูดเรื่อง 2 มาตรฐาน พูดเรื่องความเหลื่อมล้ำ มาตลอด ทำอย่างนี้ก็เท่ากับกลืนน้ำลายเสียเอง”

เช่นเดียวกับ นายอำนวย สุนทรโชติ ประธานชมรมค่านิยมเพื่อสร้างชาติ นักเคลื่อนไหวตัวยงเรื่องสิทธิเด็กก็ต่อต้านกับนโยบายรับนักเรียนโควตาบริจาคนี้ พร้อมประกาศเดินหน้าฟ้อง ศ.ดร.สุชาติ และนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) ต่อศาลปกครองและขอให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้การรับนักเรียนครั้งนี้ไม่ให้เป็นไปตามนโยบาย รมว.ศึกษาธิการ แถมขู่ด้วยว่าโรงเรียนใดทำตามนโยบายจะฟ้องเป็นรายโรงทีเดียว
 
ส่วนในมุมมองของผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ นางจำนงค์  แจ่มจันทรวงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวิทยา ยอมรับว่า “เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก แม้ทางศธ.จะเปิดทางให้ ก็ไม่ใช้เรื่องง่ายที่จะดำเนินการได้ตามใจ เพราะยังต้องดูหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการรับนักเรียนของสถานศึกษาด้วยว่ามีหลักเกณฑ์อย่างไร ซึ่งในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยากมาก ต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและจุดประสงค์ที่แท้จริงของ รมว.ศึกษาธิการ เกรงว่าหากเร่งดำเนินการไปตามนั้น อาจจะเกิดปัญหาทั้งเรื่องความไม่เป็นธรรมและการทุจริตคอรัปชั่นได้”

 สอดรับกับ นางสุมนรัตน์ อัศตรกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์  ที่ระบุว่า เรื่องนี้ต้องไปศึกษารายละเอียดก่อน และมองว่าการบริจาคเงินเพื่อห้องเรียนพิเศษนั้น ต่างกับห้องเรียนพิเศษที่เปิดตาม สพฐ.กำหนด เช่น ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ผู้ปกครองต้องจ่ายเงินแต่ไม่เกินเพดานที่ สพฐ.กำหนดไว้ที่ 20,000 บาท แต่หากเรียนโปรแกรมอื่น ๆ ที่เพิ่มเติมโรงเรียนก็ไม่ได้บังคับต้องจ่ายทุกคน แต่เรียกว่าเป็นการระดมทรัพยากร ซึ่งไม่น่าจะเป็นการรับแป๊ะเจี๊ยะแล้วเปิดห้องเรียนพิเศษ

ล่าสุดแม้แต่ เลขาธิการ กพฐ. จากเดิมที่คาดว่านโยบายของ รมว.ศึกษาธิการนั้นอาจจะเข้าสู่หลักเกณฑ์ของการเปิดห้องเรียนพิเศษ ของ สพฐ.ได้ ตอนนี้ก็เริ่มเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเสียแล้ว เนื่องจากไม่รู้นโยบาย รมว.ศึกษาธิการจะเดินไปทิศใด เพราะที่ผ่านมาหลักเกณฑ์รับนักเรียนรวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ คลอดมาตั้งแต่ก่อน ศ.ดร.สุชาติ จะมานั่งครองเก้าอี้แล้ว แต่ถ้าจะมาเปิดให้บริจาคเพื่อเข้าเรียนก็ไม่แน่ใจต้องออกหลักเกณฑ์อะไรใหม่ ด้วยหรือไม่

งานนี้สร้างความสับสนกับผู้ปฏิบัติจนถึงต้องขอเข้าพบเพื่อคลายข้องใจ ชนิดต้องเคลียร์กันแบบตัวต่อตัวที่เดียว

...ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า แค่เปิดฉากมอบนโยบายการรับนักเรียน ยังไม่ต้องดูยาวดูไกลอะไรมากไปกว่านี้ก็ทำลายความน่าเชื่อถือของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะ ศ.ดร.สุชาติ กำลังทำให้เห็นว่า คำว่า “แปะเจี๊ยะ+บริจาค” มีผลลัพธ์เท่ากับ “โปร่งใส” ซึ่งเป็นสมการการศึกษาที่สั่นคลอนต่อคุณธรรมและจริยธรรมเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้น คงต้องให้ ศ.ดร.สุชาติที่เน้นย้ำตั้งแต่ก้าวรับตำแหน่งว่ายึดมั่นเรื่องของการทำความดี การทำสิ่งที่ถูกต้อง และการขจัดปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ให้ลองตั้งสตินึกทบทวนดี ๆ เสียอีกนิดว่า แป๊ะเจี๊ยะอันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกสีเทานั้น สมควรแล้วหรือที่จะนำมาขัดสีใหม่กลายเป็น สีขาว และวิธีการเช่นนี้หรือที่จะนำมาใช่เพื่อให้เด็กไทยได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม เพราะแค่จะก้าวเข้า...ก็ต้องมีเงินมานำทางเสียแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น