ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
สถานการณ์ทางการเมืองในระยะนี้ทวีความเข้มข้นมากขึ้นทุกขณะเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์เปิดเกมรุกทางการเมืองสองเรื่องหลักคือการยื่นเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 และการอนุมัติงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อใช้ในการป้องกันปัญหาอุทกภัย และมีเรื่องสำคัญที่คอยจังหวะอีกหนึ่งเรื่องคือ การออกพระราชบัญญัติปรองดอง
พร้อมๆ กันนั้น รัฐบาลก็ได้มีการเดินเกมการเมืองเพื่อลดแรงเสียดทานจากกลุ่มอำนาจที่รัฐบาลคิดว่าอาจคุกคามกับสถานะทางอำนาจของตนเอง โดยการจัดงานเลี้ยงที่ทำเนียบรัฐบาล การประนีประนอมเอาใจกองทัพ และการประกาศว่าจะไม่แก้กฎหมายอาญามาตรา 112
ขณะเดียวกันก็พยายามกระชับความแนบแน่นกับฐานมวลชนเสื้อแดง เพื่อเตรียมการไว้ใช้งานในช่วงเวลาที่ต้องการโดยการผลักดันมาตรการเยียวยาแก่มวลชนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่อง การจัดงานชุมนุมใหญ่เสื้อแดงที่เขาใหญ่ และการตอกย้ำให้ ส.ส. พรรคเพื่อไทยลงพื้นที่พบปะประชาชนมากขึ้น
อย่างไรก็ตามภายใต้แผนปฏิบัติการทางการเมืองที่ดูเหมือนมีการกำหนดเป็นอย่างดี กลับมีปรากฎการณ์ที่รัฐบาลไม่อาจควบคุมได้เกิดขึ้นหลายประการ
ประการแรก คือผลพวงจากงานเลี้ยงในทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554 ทำให้เสื้อแดงกลุ่มหนึ่งเกิดความไม่พอใจและตั้งคำถามในเชิงการท้าทายต่อทักษิณ ชินวัตรขึ้นมา เพราะเสื้อแดงกลุ่มนี้คิดว่ารัฐบาลที่พวกเขาสนับสนุนจับมือปรองดอง ยอมจำนนต่อฝ่ายอำมาตย์แล้ว
การแสดงออกถึงความไม่พอใจเกิดขึ้นในเว็ปไซด์หลายแห่ง บางแห่งมีการนำภาพและเสียงของทักษิณ ชินวัตร ที่พูดถึงความไม่ดีของอำมาตย์ และภาพของการชุมนุมของเสื้อแดงที่ประท้วงอำมาตย์ขึ้นมาแสดง และเรียกร้องให้ทักษิณ ชินวัตร อธิบายว่าทำไมยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงมีท่าทีปรองดองกับอำมาตย์ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ด้วยความที่เสื้อแดงกลุ่มนี้ตั้งความหวังแบบลมๆแล้งๆว่าสิ่งที่ทักษิณ ชินวัตรทำร่วมกับพวกเขาในการโค่นล้มรัฐบาลเก่าเป็นไปเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงเกิดความรู้สึกว่าตนเองถูกหักหลังขึ้นมา
อันที่จริงความคิดของเสื้อแดงกลุ่มนี้เป็นความคิดที่ไร้เดียงสาทางการเมืองเป็นอย่างยิ่ง เพราะการที่พวกเขาคิดว่าจะใช้ทักษิณ ชินวัตรเป็นเครื่องมือในการโค่นล้มอำมาตย์ เป็นความคิดแบบเพ้อฝันเท่านั้น เพราะคนอย่างทักษิณ ชินวัตร หาได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองเช่นที่พวกเขาคิด ทักษิณ ชินวัตรนั้นเป็นนักการเมืองนายทุนผูกขาดที่มีความคิดแบบเผด็จการซึ่งสามารถใช้ยุทธวิธีทุกอย่างที่เขาเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสถานะ ความมั่งคั่งและอำนาจของตนเอง
การแตกแยกทางความคิดระหว่างเสื้อแดงกลุ่มนี้กับรัฐบาลเพื่อไทย เป็นเงื่อนไขที่อาจจะสร้างความยุ่งยากบางประการต่อแผนการยึดอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จของทักษิณ ชินวัตรในอนาคตได้
เหตุการณ์ที่นอกเหนือความคาดหมายประการที่สองซึ่งมีผลต่อภาพลักษณ์ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือ เหตุการณ์ภารกิจลับของนายกฯหญิงผู้นี้ที่เกิดขึ้นในโรงแรมโฟร์ซีซันส์ การปฏิบัติภารกิจส่วนตัวของยิงลักษณ์ ชินวัตร ในเวลาราชการช่วงบ่ายวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555 ถูกนายเอกยุทธ อัญชันบุตร พบเห็น และนำไปสู่การถูกทำร้ายร่างกายโดยบุคคลที่นายเอกยุทธ อ้างว่ามีความใกล้ชิดกับทักษิณ ชินวัตร
เหตุการณ์ยิ่งลักษณ์ไปโรงแรมดังกล่าวได้ถูกสังคมตั้งคำถามเกี่ยวกับประเด็นจริยธรรมหลายประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรกคือ การใช้เวลาราชการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ส่วนตัวซึ่งเป็นเรื่องที่ดูไม่เหมาะสมนักกับบุคคลที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในการบริหารประเทศเพราะอาจเป็นแบบอย่างให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเอาไปอ้างได้ อันจะส่งผลเสียต่อการบริหารราชการในวงกว้าง
ประเด็นที่สอง ความไม่รู้จักแยกแยะและจัดลำดับความสำคัญของผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม เพราะในวันและเวลาเดียวกันนั้น ตรงกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร แต่นายกรัฐมนตรีกลับให้ความสำคัญและเลือกไปทำเรื่องส่วนตัว มากกว่าเรื่องในหน้าที่อันเป็นเรื่องหลัก ซึ่งขัดแย้งกับจริยธรรมของการเป็นผู้นำประเทศทั่วไป ที่ต้องยึดผลประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ส่วนผลประโยชน์ส่วนตัวต้องเป็นเรื่องรองลงไป หากมีความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ผู้นำที่ดีมีจริยธรรมจะต้องเสียสละประโยชน์ส่วนตัว เพื่อให้ส่วนรวมได้ประโยชน์ แต่การกระทำของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับหลักการดังกล่าว
ประเด็นที่สาม การถูกตั้งคำถามทางศีลธรรม แม้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และบรรดาสมุนบริวาร ทั้งเฉลิม อยู่บำรุง นพดล ปัทมะ และคนอื่นๆอีกหลายคน ได้ออกมาอธิบายแก้ต่างให้กับยิ่งลักษณ์ ว่าการที่ยิ่งลักษณ์ไปโรงแรมนั้นเพื่อพบนักธุรกิจ และมีการประชุมกัน แต่ก็ยิ่งทำให้สังคมสงสัยมากขึ้นไปอีกเพราะสิ่งที่สมุนบริวารของยิ่งลักษณ์ แถลงไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน พูดอธิบายเหตุการณ์ที่ยิ่งลักษณ์ทำคนละอย่างกัน และไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ยิ่งลักษณ์พูดเองอย่างสั้นๆว่า ไม่ได้ไปประชุมที่นั่น ด้วยเหตุนี้จึงเกิดคำถามขึ้นอย่างมากมายว่ายิ่งลักษ์ ไปพบกับใคร และทำอะไร ประกอบกับข่าวที่นายเอกยุทธ อัญชันบุตรแถลงว่าเขาได้เห็นนักธุรกิจคนหนึ่งออกจากโรงแรมนั้นหลังจากยิ่งลักษณ์ออกไปแล้ว 10 นาที ข่าวนี้ยิ่งทำให้ผู้คนในสังคมเกิดความสงสัยหนักมากยิ่งขึ้น เพราะมีการระบุว่านักธุรกิจคนนั้นเคยรู้จักและสนิทสนมกับยิ่งลักษณ์ มาก่อน และที่สำคัญเขามีน้องสาวเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วย ข้อสงสัยต่อพฤติกรรมของยิ่งลักษณ์ ในเชิงความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างชายหญิงกับนักธุรกิจผู้นี้จึงยิ่งมีมากขึ้น
อย่างไรก็ตามเรื่องเช่นนี้ในสังคมไทยมีสองมาตรฐาน หากเป็นนักการเมืองผู้ชายมีความสัมพันธ์กับผู้หญิง ดูเหมือนสังคมจะไม่ใส่ใจมากนัก ดังช่น ความสัมพันธ์ ระหว่างสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กับ ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีหลักฐานเห็นภาพอย่างชัดเจน คนในสังคมไทยส่วนใหญ่ก็มองว่าเป็นเรื่องที่ปกติ ซึ่งสะท้อนค่านิยมความไม่เท่าเทียมทางเพศของสังคมไทย เรื่องเหล่านี้หากเกิดกับผู้นำประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา เขาถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะผู้นำประเทศต้องแบบอย่างทางศีลธรรมแก่คนทั่วไป อย่างไรก็ตามหากเรื่องเหล่านี้เกิดกับผู้หญิง สังคมไทยก็จะมองผู้หญิงคนนั้นในทางลบ และตำหนิผู้หญิง และหากผู้หญิงคนนั้นบังเอิญเป็นผู้นำประเทศด้วย ความรู้สึกทางลบที่มีต่อผู้หญิงคนนั้นก็เพิ่มขึ้น
เหตุการณ์ที่สามซึ่งนอกเหนือความคาดหมายของรัฐบาลคือ การเกิดระเบิดขึ้นในใจกลางกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2555
การระเบิดครั้งนั้นเป็นฝีมือของคนร้ายชาวอิหร่าน เป็นการระเบิดที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ประเทศตะวันตกหลายประเทศเตือนพลเมืองของตนเองให้ระวังการก่อการร้ายในประเทศไทย และเหตุการณ์ระเบิดในประเทศไทยเกิดขึ้นหลังมีการระเบิดเพื่อทำร้ายนักการฑูตชาวอิสราเอลในประเทศอินเดียเพียงไม่กี่วัน
การระเบิดครั้งนั้นทำร้ายคนไทยบาดเจ็บไปสี่คน แต่ผู้ร้ายที่ทำระเบิดกลับบาดเจ็บสาหัสเพราะโดนระเบิดของตนเองจนขาขาด การระเบิดโดยฝีมือของชาวต่างชาติครั้งนี้ทำให้ประเทศไทยได้กลายเป็นสนามหรือเวทีการประลองกำลังของฝ่ายที่ขัดแย้งกันของการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะระหว่างอิสราเอลและสหรัฐอเมริกา กับฝ่ายชาติอาหรับบางประเทศ
เหตุการณ์ระเบิดยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนด้อยไร้ประสิทธิภาพของการทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นความล้มเหลวของนักการเมืองจอมโอ้อวด ดีแต่ปากอย่างเฉลิม อยู่บำรุงซึ่งควบคุมดูแลงานด้านความมั่นคง งานข่าวกรอง และตำรวจ ทั้งที่หน่วยงานความมั่นคงของประเทศไทยมีอยู่เป็นจำนวนมากจนเจ้าหน้าที่แทบจะเดินชนตาย แต่ประสิทธิภาพในการหาข่าวกลับต่ำต้อยยิ่งนัก เรื่องเหล่านี้ฝ่ายข่าวกรองของชาติตะวันตกได้เคยเตือนรัฐบาลไทยมาแล้ว แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์โดยเฉพาะเฉลิม อยู่บำรุง ทำเป็นอวดดีอวดเก่งไม่ฟังคำเตือนของเขา และยังประกาศว่าไทยไม่มีการก่อการร้าย เมื่อเกิดเหตุการณ์ระเบิดนี้ขึ้นมาทางสถานทูตอเมริกาจึงแถลงข่าวอย่างแข็งกร้าวและไม่ไว้หน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์แม้แต่น้อย
เหตุการณ์ประการที่สี่ คือ การตัดสินวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมเกี่ยวกับพระราชกำหนดของรัฐบาลสองฉบับว่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญประกาศว่าคำวินิจฉัยจะเสร็จในปลายเดือนกุมภาพันธ์ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พระราชกำหนดสองฉบับขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ แรงกดดันก็จะทับถมลงไปสู่รัฐบาลมากขึ้น แม้ว่า เฉลิม อยู่บำรุง ออกตัวว่า รัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบเพราะเป็นเรื่องความเห็น แต่การพูดแบบนั้นของเฉลิมเป็นการพูดแบบปัดสวะ และไม่เหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู้บริหารประเทศ
การที่รัฐบาลมีมติออกมาแล้วมตินั้นขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ คำถามคือ รัฐบาลจงใจกระทำการเพื่อขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากรัฐบาลจงใจก็หมายความว่ารัฐบาลมิได้ยึดหลักนิติรัฐ กลายเป็นผู้ทำผิดกฎหมายเสียเอง เมื่อรัฐบาลซึ่งเป็นองค์การที่ต้องรักษาและบังคับใช้กฎหมาย แต่กลับทำในทางตรงข้าม ก็ย่อมไม่มีความชอบธรรมใดมาอ้างในการบริหารประเทศอีกต่อไป และประชาชนก็มีสิทธิขับไล่รัฐบาลที่ละเมิดกฎหมายได้อย่างชอบธรรม
แต่หากรัฐบาลบอกว่าไม่รู้ไม่ได้จงใจ เพราะผู้ชี้แจงคือรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง บอกต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าตนเองรู้เฉพาะเรื่องทางเศรษฐกิจแต่ไม่รู้เรื่องทางการเมือง ก็แสดงว่ารัฐบาลและผู้รับผิดชอบต่อการบริหารเศรษฐกิจของประเทศเป็นกลุ่มที่มีความบกพร่องพิกลพิการทางปัญญาอย่างขนาดหนัก กลุ่มบุคคลเช่นนี้หากปล่อยให้บริหารประเทศต่อไป ก็จะยิ่งสร้างความเสียมากขึ้น ดังนั้นประชาชนก็มีความชอบธรรมในการขับไล่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ออกจากอำนาจรัฐเช่นเดียวกัน
แม้รัฐบาลเพื่อไทยและทักษิณ ชินวัตร จะเปิดเกมรุกทางการเมืองทุกด้านเพื่อนำไปสู่การล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ภายใต้การควบคุมบงการของตนเอง เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์สูงสุดของการปกครองประเทศให้เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มนายทุนผูกขาดและนักเลือกตั้งที่เป็นสมุนบริวาร แต่การดีดลูกคิดรางแก้ว มิได้ง่ายอย่างที่พวกเขาคาดหวัง
ปีศาจทุนนิยมเผด็จการผูดขาดอาจสร้างมายาภาพให้ผู้คนที่โง่เขลาเบาปัญญาลุ่มหลงงมงายกับมันได้จำนวนหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่ง และใช้อำนาจป่าเถื่อนคุกคามผู้คนที่รู้ทันพวกมัน แต่มิอาจทำให้ผู้ที่ตื่นรู้และผู้ที่กล้าหาญทั้งหลายยอมจำนนต่อพวกมัน
ขอให้ประชาชนชาวไทยผู้รักชาติ รักความถูกต้องเป็นธรรม ทั้งมวลเตรียมตัวในทุกด้านเพื่อรับมือกับการปฏิบัติการยึดอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จของปีศาจทุนนิยมผูกขาดที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เพลาข้างหน้านี้