xs
xsm
sm
md
lg

สวรรค์ชั้น7โฟร์ซีซั่นส์อ้างนายกฯพบใครก็ได้ ไม่ทำบัดสี"เอกยุทธ"แฉ!“บิ๊กอสังหาฯ”วิ่งฟลัดเวย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน -ซัดกันเละ ภารกิจ “ปู ว.5” นายกฯรับไปจริง! ลั่นเป็นนายกฯเจอใครก็ได้ ไม่ทำบัดสี “เหลิม”รับนายกฯประชุม 7-9 คน บนชั้น 7 โรงแรมดัง “เอกยุทธ”จี้นายกฯเคลียร์ภารกิจลับ อ้างสังคมออนไลน์ เปิดตัวละครใหม่“เศรษฐา ทวีสิน" นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง หลังนายกฯกลับ ปูด!การข่าววิ่งเต้นซื้อที่ดินทำฟลัดเวย์

เวลา 15.00 น. วานนี้(10 ก.พ.55) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากจังหวัดเชียงใหม่กรณีที่นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจการเงิน เจ้าของเว็ปไซต์ไทยอินไซเดอร์ แถลงข่าวถูกการ์ดคนสนิทพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำร้ายร่างกาย หลังจากพบน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ไม่มีอะไรหรอกคะ รายละเอียด ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงแล้ว ก็เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรจริงๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯไปประชุมอะไรที่นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ไม่ได้ประชุมหรอก ในฐานะนายกฯสามารถเจอกับใครก็ได้ และที่สำคัญไปสถานที่เปิดเผย ไม่ได้เสียหายอะไร เมื่อถามต่อว่า การที่นายเอกยุทธออกมาพูดแบบนี้ ทำให้นายกฯเกิดความเสียหายจะดำเนินการฟ้องร้องหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หันกลับมาตอบก่อนขึ้นรถว่า “ดิฉันเองก็อดทน เชื่อว่าผู้ที่ฟังอยู่จะพิจารณาเอง เราเองเป็นผู้หญิงยืนยันเราไม่ทำอะไรเสียหายหรอกคะ”

** “เฉลิม” หอบหลักฐาน โต้“เอกยุทธ

ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี แถลงถึงเหตุการณ์โดยได้นำเอกสารซึ่งเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมจำนวน 4 แผ่นมาแจกจ่ายกับสื่อด้วย คือ1.เป็นแผนผังบริเวณล็อบบี้ ลานปาริชาติ และถนนโดยรอบของโรงแรม แผ่นที่ 2-3 เป็นภาพลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ 15.33 น.-16.20 น. ซึ่งเป็นภาพบันทึกเหตุการณ์คนร้ายเข้ามาในบริเวณโรงแรมโฟร์ซีซั่น และเวลาที่คนร้ายออกจากโรงแรม ส่วนแผ่นที่ 4.เป็นภาพคนร้าย รวมถึงบันทึกพฤติการณ์โดยย่อของนายเอกยุทธอีกหนึ่งแผ่น

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนไปหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ จึงได้เรียกตำรวจและผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบถาม ก็ได้ข้อเท็จจริงพอสมควร ซึ่งคดีนี้ถึงแม้นายเอกยุทธ ไม่ร้องให้ดำเนินคดี แต่ตำรวจจะสืบสวนสอบสวนหาผู้กระทำผิดให้ได้เพราะเป็นคดีอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่คดีที่สามารถยอมความได้

ภาพเหตุการณ์ นายเอกยุทธ ได้เข้าไปที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น เวลาประมาณ 14.00 น. และไปนั่งที่บริเวณลานปาริชาติซึ่งเป็นพื้นที่ที่โรงแรมจัดไว้ให้นั่งพักสูบบุหรี่ ซึ่งในเวลานั้นคนร้ายเป็นชายได้เข้ามาบริเวณโรงแรมและไปพบกับชายใส่ชุดซาฟารี ซึ่งทั้งสองเดินไปดูนายเอกยุทธ ที่ลานปาริชาติ และในเวลา 16.20 น.นายเอกยุทธ ถูกทำร้าย จากนั้นบอดี้การ์ดของนายเอกยุทธ จำนวน 3 คนได้วิ่งไล่ตามคนร้ายออกไป ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่าคนร้ายคนเดียว แต่การ์ดของนายเอกยุทธ 3 คนแต่ทำไมจึงจับคนร้ายไม่ได้ มันน่าแปลกใจ

**เหลิมยอมรับเอง “ปู”ประชุมชั้น 7

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า เท่าที่ตนทราบ นายกรัฐมนตรีเดินทางไปโรงแรมโฟร์ซีซั่น ประมาณ เวลา 14.00 น. ซึ่งได้ขึ้นไปชั้น 7 ของโรงแรม ซึ่งเป็นห้องประชุมขนาดเล็ก และออกจากโรงแรมเวลาประมาณ 15.30 น. ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ไปโรงแรมพร้อมกับทีมรักษาความปลอดภัย ที่ส่วนมากเป็นตำรวจหญิง 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นตำรวจชาย 2-3 คน ซึ่งในนั้นมีตำรวจที่ดูแลมาตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และการที่นายเอกยุทธ ระบุว่า ถูกบอดี้การด์นายกรัฐมนตรีทำร้าย และบอกว่าคนที่ทำร้ายใส่กางเกงยีนส์นั้น ตนว่ามีความขัดแย้งกันอยู่ เพราะการ์ดนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ใส่กางเกงยีสต์

**ตั้ง 4 ข้อ“คนหมั่นไส้-สร้างสถานการณ์”

“ถ้านายเอกยุทธ กรุณาไปแจ้งความ ตำรวจก็จะสืบสวนได้ง่ายขึ้น ซึ่งนายเอกยุทธ น่าจะจำรูปพรรณสัณฐานคนร้ายได้ และเป็นการง่ายที่ตำรวจจะได้สืบสวนสอบสวน และหาภาพสเก็ต ตามหลักของตำรวจ ถ้าจะกล่าวหากันลอย ๆ ว่ารัฐบาลไม่ชอบนายเอกยุทธ ตนว่าไม่มี นายเอกยุทธไม่มีอะไรเลยที่รัฐบาลต้องไม่ชอบ และไม่มีราคาเพียงพอที่รัฐบาลต้องไปทำร้าย เพราะรัฐบาลก็ชนะการเลือกตั้ง นายเอกยุทธ อาจจะอยู่ในห้วงสำนึกเก่า ๆ และจินตนาการไปเอง นายเอกยุทธอย่าไปพูดจาสองแง่ สองง่ามและอย่าไปทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องการเมืองมันไม่ใช่ ถ้ารัฐบาลจะคิดร้ายกับนายเอกยุทธ มันไม่มีเหตุผล” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

ตนวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดได้ข้อสรุปว่า 1.หากเป็นเรื่องการเมือง ตนว่ามันมีเหตุผลน้อยไป เพราะนายเอกยุทธ ไม่ได้มาก่อความรำคาญให้รัฐบาลชุดนี้ และรัฐบาลก็มองว่านายเอกยุทธ ไม่มีศักยภาพที่จะทำอะไรรัฐบาล การเมืองที่จะมาชกต่อยกันได้ มันต้องนั่งโต๊ะเดียวกันแล้วเถียงกัน ชอบพรรคนั้น ไม่ชอบพรรคนี้ ชกต่อยกันได้ 2.เป็นเรื่องเขม่นหมั่นไส้ได้ เพราะบางคน เวลาไปที่ไหนวางมาดเยอะ และก่อให้เกิดความไม่พอใจกับคนที่มาเที่ยว 3.เรื่องจีบผู้หญิงคนเดียวกัน และ4.เป็นการสร้างสถานการณ์

ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาพในกล้องวีดีโอได้บันทึกภาพขณะที่นายเอกยุทธโดนทำร้ายหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เห็นแต่ตอนที่คนร้ายวิ่งออกไปแล้ว ถามต่อว่า ในภาพมีคนที่คล้ายคลึงกับรปภ.นายกฯ บ้างหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ภาพไม่ชัด ไม่มีหรอก ทำแล้วได้อะไร ส่วนที่นายเอกยุทธ อ้างว่า เป็นอดีต รปภ.พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ก็ให้ไปแจ้งความจับเลย แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นตนว่าพ.ต.ท.ทักษิณ โกรธข้ามหลายปีเกินไป

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่นายเอกยุทธไม่ไปแจ้งตำรวจแต่จะแฉทางทวิตเตอร์ เกี่ยวกับข้อมูลเรื่องนี้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า คุณเอกยุทธ อย่าช้า รีบทำซะ คุณจะไปแฉอะไร เพราะคุณถูกทำร้ายแล้วลังเลที่จะแจ้งความตรงนี้มีความผิดปกติ ตนก็รู้จักนายเอกยุทธ หากพูดไปแล้วนายเอกยุทธ จะมาเกลียดตนก็แล้วแต่ เพราะตนต้องทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด ซึ่งมันไม่มีประเด็นเรื่องการเมือง บางครั้งคนเราไปเที่ยวที่ไหนถ้ากร่างมากคนเขาก็เกลียด

เมื่อถามว่า นายเอกยุทธอ้างว่า เขามีข้อมูลว่านายกรัฐมนตรีเข้าไปในโรงแรมแล้วมีผู้ชายอีกคนเข้าไปด้วย ตรงนี้เป็นสาเหตุที่จะทำให้ รปภ.ทำร้ายหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า แล้วใครจะรู้ว่านายเอกยุทธ รู้ ซึ่งหากนายเอกยุทธ นำเรื่องขึ้นเฟสบุ๊คส์ และทำให้นายกรัฐมนตรีเสียหาย นายกรัฐมนตรีก็จะฟ้อง

**เหลิมบอกประชุมชั้น 7 อยู่ 7-9 คน

เมื่อถามว่า ได้ถามนายกฯ หรือไม่ว่าไปกับใคร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ก็ทีมงานนั่นแหล่ะ ซึ่งชั้น 7 เป็นห้องประชุมนายกฯก็ไปประชุม ทั้งนี้ตนไม่ได้ขอกล้องดูบริเวณชั้น 7 เพราะไม่ใช่หน้าที่ของตน แต่หน้าที่คือต้องหาคนร้ายที่ทำร้ายนายเอกยุทธ เมื่อถามต่อว่า นายเอกยุทธ จะสร้างสถานการณ์เพื่ออะไร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนยังไม่ได้บอก ตนยืนยันว่าชั้น 7 เป็นห้องประชุมและมีคนในห้องประชุมอยู่ 7-9 คน และข้างล่างเป็นการประชุมของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งตนพูดไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่ และตนไม่รู้ว่าชั้น 7 เขาประชุมเรื่องอะไร ต้องให้นายกรัฐมนตรีชี้แจง ทั้งนี้ตนได้พูดคุยกับ รปภ.คนดังกล่าว แล้ว ซึ่งเขาก็ไปพบปะเป็นการส่วนตัว

เมื่อถามว่า จากกรณีนี้รองนายกฯ และนายกรัฐมนตรี พร้อมที่ให้สังคมตรวจสอบหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เชิญเลย ฝากบอกนายเอกยุทธ ถ้ามีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ให้เปิดเผยออกมาเลย ไม่ต้องมาเกรงใจ คุณจะกลับไปทำตัวเหมือน 19 ก.ย.49 ส่วนจะทำอย่างไรก็รู้แก่ใจตัวเองดี ขณะนี้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เขาทำงานกันอยู่ นายกฯแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ตนแก้ปัญหายาเสพติด ประชาชนพึ่งพอใจ คุณอย่ามาทำอย่างนี้ คุณต้องไปแจ้งความ หากไม่สังคมก็จะมองว่า คุณทำอะไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสารที่ระบุว่าเป็นภาพคนร้ายนั้น เป็นภาพคนแต่ไม่มีความชัดเจน และเห็นใบหน้าของคนร้ายไม่ชัดเจน ว่าบุคคลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ รปภ.ของนายกรัฐมนตรีหรือไม่

**“เอกยุทธ” อ้างมีคนพบ “เศรษฐา ทวีสิน”

เวลา 18.42 น. นายเอกยุทธ แถลงการณ์ผ่านทางเว็ปไซด์อินไซด์เดอร์ ประเด็นที่ร.ต.อ.เฉลิม แถลงถือว่า ทำหน้าที่ได้สมกับตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามตนขอโต้แย้งข้อมูลในหลายส่วนที่ร.ต.อ.เฉลิมนำเสนอ ในลักษณะที่พยายามเบี่ยงเบนประเด็น และบิดเบือนความจริง เพราะในการแถลงข่าว ที่สามารถดูได้จากเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ซึ่งมีการถอดถ้อยความครบทุกถ้อยคำ แต่ร.ต.อ.เฉลิมไม่ได้อ่านคำแถลงให้ชัดเจน กลับปะติดปะต่อเรื่อง ซึ่งท้ายสุดจะทำให้ร.ต.อ.เฉลิมเสียหายเอง ทั้งยังเสียศักดิ์ศรีภูมิปัญญาระดับด็อกเตอร์โดยเฉพาะการวิเคราะห์ถึงสาเหตุออกมาเป็น 4 ประเด็น ซึ่งผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง

ประเด็นที่ 1 กรณีที่ระบุว่า เป็นเรื่องการเมืองนั้นยืนยันว่า ไม่เคยพูดหรือให้ร้ายนายกรัฐมนตรีและทีมรักษาความปลอดภัยของนายกฯ ว่าคือผู้สั่งหรือผู้ทำร้ายตน แต่ตนให้ข้อมูลชัดเจนว่า ผู้ที่ทำร้ายตนคือบุคคลที่รู้จักกับคนติดตามที่ทำงานให้กับคนใกล้ชิดของพ.ต.ท.ทักษิณ แต่ตนถามนายกฯเพียงว่า ทำไมถึงเกิดเหตุกับตนหลังจากที่นายกฯออกไปจากโรงแรมดังกล่าวเพียง 10 นาที อันเป็นการถามหาความรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของประชาชนผู้เสียภาษี

ประเด็นที่ 2จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดและนำมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนของร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งมีการแจกแจงรายละเอียดถึงการเคลื่อนไหวของคนร้ายไว้อย่างชัดเจน พร้อมกับมีการนำภาพมาแสดงให้เห็นถึงรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายรายนี้ด้วยว่า เป็นชายรูปร่างสูงสันทัด สูงประมาณ 175 ซม. สวมกางเกงเข้ารูปสีเข้มและเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีม่วง ไว้ผมรองทรงสั้น ฯลฯ ซึ่งถือว่าสาธารณะได้เห็นเป็นครั้งแรก ก็อยากให้ร.ต.อ.เฉลิม ในฐานะที่ดูแลตำรวจ และแสดงภูมิความรู้ที่ “รู้ทุกเรื่องมาโดยตลอด” ก็ควรสั่งการให้ตำรวจจับกุมตัวคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดี เพื่อจะได้พิสูจน์ว่า ตนจัดฉาก ตามที่มีความพยายามกล่าวหาหรือไม่ เพราะร.ต.อ.เฉลิมระบุเองว่า แม้ว่าตนจะไม่แจ้งความ ตำรวจก็สามารถสืบสวนหาคนทำผิดมาลงโทษได้ เพราะเป็นคดีอาญา ไม่สามารถยอมความกันได้ ทั้งนี้ตนก็อยากฝากรูปให้ร.ต.อ.เฉลิมได้ตรวจสอบและจัดการหาคนร้ายรายนี้มาลงโทษให้ได้ เพราะภาพถ่าย ที่ตนมีเป็นหลักฐานนั้น สามารถเห็นทั้งด้านหน้าและด้านหลังของคนร้าย ที่คงไม่ยากสำหรับผู้รอบรู้อย่างร.ต.อ.เฉลิม

ประเด็นที่ 3 กรณีที่ระบุว่า เป็นการเขม่นหมั่นไส้จากคนที่มาเที่ยว หรือมีการแย่งจีบผู้หญิงคนเดียวกันนั้น อยากเรียนว่า

“เพราะทั้งผมและร.ต.อ.เฉลิม ก็มีวุฒิภาวะมากพอ และได้พบปะพูดคุยกันทั้งทางลับและทางแจ้ง คงไม่มีใครเสียสติ หรือด้อยปัญญาที่จะทำเรื่องบัดสีต่อสาธารณะ และถ้ามีจริง เรื่องแบบนี้คงเกิดขึ้นกับตนมานานแล้ว เพราะนิสัยส่วนตัว สังคมรับรู้ดีว่าเป็นพวกสุขนิยม ไม่ใช่เป็นนักการเมือง ไม่ใช่บุคคลสาธารณะ ไม่เคยปิดบัง ไม่ได้มีพฤติกรรมหลบๆ ซ่อนๆ ที่ชอบนัดพบใครในที่ลับตา จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่ร.ต.อ.เฉลิมนำภาพถ่ายส่วนตัวของผมมาเผยแพร่ต่อ สาธารณะ ซึ่งแม้จะเป็นการละเมิดสิทธิ แต่ผมก็ไม่ถือสาในการทำงานที่ฉาบฉวย เพราะถ้าเป็นการนำภาพขณะผมถูกทำร้ายมาเผยแพร่ ย่อมจะเป็นการดี และเป็นการพิสูจน์ภูมิปัญญาของร.ต.อ.เฉลิมได้เป็นอย่างดี” นายเอกยุทธ กล่าว

นายเอกยุทธ กล่าวว่า หากร.ต.อ.เฉลิมสามารถเข้าไปดูภาพจากกล้องวงจรปิดในโรงแรมได้ ก็ควรนำภาพจากกล้องวงจรปิดในชั้น 7 ที่ร.ต.อ.เฉลิมเป็นผู้กล่าวเองว่า นายกฯเดินขึ้นไปห้องประชุมเล็กชั้น 7 เพื่อจะได้ตอบสังคมให้เคลียร์ว่า นายกฯไปทำอะไร เพราะนายกฯเองกลับให้สัมภาษณ์สื่อในภายหลังว่า ไม่ได้ไปประชุม แต่จะไปเจอกับใครก็ได้ ที่สำคัญไปในสถานที่เปิดเผย ไม่ได้เสียหาย ก็ยิ่งทำให้สังคมสับสนหนักยิ่งขึ้น เพราะร.ต.อ.เฉลิมพูดอย่าง แต่นายกฯพูดอีกอย่าง แต่สรุปแล้ว ทั้งร.ต.อ.เฉลิมและนายกฯควรตอบให้สังคมหายข้อสงสัย หรือนำภาพถ่ายที่ปรากฏในชั้น 7 มาเปิดเผยต่อสาธารณะเลยดีกว่า ว่าไปพบกับใคร โดยเฉพาะเวลานี้ในโลกสังคมออนไลน์ มีการตั้งข้อสังเกตไปไกลแล้วว่า หลังนายกฯเดินทางกลับ มีผู้พบเห็นนายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ปรากฏกายในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย จึงเป็นเรื่องที่นายกฯต้องชี้แจงต่อสาธารณะให้คลายความสงสัย ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนใดแอบแฝงหรือไม่ เพราะนายกฯคือบุคคลสาธารณะ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือ นักธุรกิจชื่อดัง

“สำหรับกรณีที่นายกฯไปทำภารกิจลับ ว.5 ทั้งที่เป็นช่วงเวลาราชการ ซึ่งจะไปพบใคร นักธุรกิจคนใด ก็เป็นเรื่องที่นายกฯต้องชี้แจงให้สังคมหายสงสัย ส่วนจะกล้าตอบ หรือไม่กล้าตอบ ก็เป็นเรื่องที่นายกฯควรใช้วิจารณญาณของตนเอง เพราะมีข่าวว่า “ใครบางคน” พยายามวิ่งเต้นซื้อที่ดินทำฟลัดเวย์ และต้องการเปลี่ยนตัวดีดีการบินไทย สำหรับผม ถือเป็นการทำหน้าที่ในฐานะประชาชนธรรมดา ที่คงต้องหาทางปกป้องตัวเองและต่อสู้เพื่อความถูกต้องต่อไป” นายเอกยุทธ กล่าว

**เปิดภารกิจก่อนหลัง ปู ว.5

สำหรับภารกิจของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา ในเวปไซค์ WWW.THAIGOVE.GO.TH ระบุว่า เวลา 08.30 เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีผู้เป็นเจ้าภาพหลักในแต่ละนโยบาย ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนั้นหลังเสร็จสิ้นการประชุม เวลา 12.30 น.นายกฯได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาล เป็นการส่วนตัวโดยไม่ให้มีการแจ้งว่าเดินทางไปที่ไหน โดยนายกฯออกจากทำเนียบฯใช้ทางด่วนยมราช ลงทางด่วนพระราม 6 เลี้ยวซ้ายยังตลาด อตก.จตุจักร ทั้งนี้เป็นที่รู้กันของนักข่าวประจำทำเนียบ ที่ติดตามนายกรัฐมนตรีว่า ภารกิจ ว.5 ของนายกรัฐมนตรี คือ “ภารกิจลับ”

เวลา 13.30 น.คนสนิทนายกฯ อ้างว่า นายกฯให้เจ้าหน้าที่แจ้งผู้สื่อข่าวที่จะไปรอสัมภาษณ์ว่า จะเข้ารัฐสภาในเวลา 16.00 น. ขณะที่แหล่งข่าวอ้างว่า นายกฯได้ใช้เวลาช่วงที่ขอส่วนตัวไปทำเสริมสวย

จนกระทั้งในเวลา 16.00 น.นายกฯได้เดินทางเข้ารัฐสภา เซ็นชื่อ ก่อนที่จะกลับมาประชุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กอ.รมน.ที่ทำเนียบรัฐบาล จนถึงช่วงค่ำ

**จับผิด ปู-เหลิม พูดขัดแย้งกัน

ทั้งนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า ที่ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า ในห้องประชุมอยู่ 7-9 คน และข้างล่างเป็นการประชุมของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งผมพูดไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่ และผมไม่รู้ว่าชั้น 7 เขาประชุมเรื่องอะไร กับคำพูดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ระบุว่า “ไม่ได้ประชุมหรอก ในฐานะนายกฯสามารถเจอกับใครก็ได้ และที่สำคัญไปสถานทีเปิดเผย ไม่ได้เสียหายอะไร”
โดยทั้ง 2 คำพูดขัดแย้งกันชัดเจน โดยร.ต.อ.เฉลิมยอมรับว่ามีการประชุม แต่นายกฯอ้างว่า ไมได้ประชุม

**ผบ.ตร.ไม่เชื่อ รปภ.ปูต่อย“เอก”

พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. กล่าวว่า เรื่องนี้ พล.ต.ต.กฤษฎิ์ เปียแก้ว รรท.ผบก.น. 5 กำลังดูแลอยู่ ตนได้คุยกันแล้ว ซึ่งในส่วนของตำรวจเองก็ต้องการให้นายเอกยุทธมาแจ้งความเพื่อให้เป็นคดีด้วย เพราะตำรวจจะได้หาหลักฐานอื่น ๆ อีกเช่น ผลตรวจบาดแผลที่ถูกทำร้าย

ส่วนได้พูดคุยกับทีม รปภ.นายกรัฐมนตรีหรือไม่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุย แต่ตนเชื่อว่าไม่น่าเกี่ยวข้องกับทีมรปภ. นายกรัฐมนตรี เพราะนายกฯเองก็เป็นผู้หญิง คงไม่ทำอะไรที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม แม้นายเอกยุทธจะไม่แจ้งความ แต่ตำรวจเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ

พ.ต.ท.อัครวัฒน์ พุ่มไพศาลชัย รอง ผกก.สส. สน.ลุมพินี เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนอยู่ว่าใครเป็นคนร้าย โดยเบื้องต้นได้ทำการสอบปากคำพยานผู้เห็นเหตุการณ์ไปแล้วประมาณ 3-4 ปาก ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและพนักงานของโรงแรม รวมทั้งพนักงานที่ร้านกาแฟ ถึงรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย

ส่วนขณะเกิดเหตุนั้นกล้องวงจรปิดไม่สามารถจับภาพคนร้ายได้ เนื่องจากบริเวณจุดเกิดเหตุไม่มีกล้องวงจรปิด ส่วนภาพจากกล้องภายในโรงแรมก็เป็นเพียงแค่ผู้ต้องสงสัยเท่านั้น ซึ่งจะต้องรอทางนายเอกยุทธ์ผู้เสียหายมาทำการชี้ตัวยืนยัน เพราะว่านายเอกยุทธ์ทราบดีว่าใครเป็นคนร้าย แต่ว่านายเอกยุทธ์ ไม่ประสงค์จะแจ้งความดำเนินคดี และไม่ยอมให้เบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด ซึ่งถ้าหากนายเอกยุทธ์ไม่แจ้งความและไม่ยอมให้เบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็คงจะทำอะไรไม่ได้มากนัก
กำลังโหลดความคิดเห็น