“เอกยุทธ”แถลงผ่านเฟซบุ๊ก จี้รัฐให้คำตอบ ใครชกหน้ากลาง รร.หรู พร้อมโชว์ภาพคนร้ายเห็นหน้าชัด ชี้พิรุธ“เฉลิม-ยิ่งลักษณ์” พูดขัดกัน มีประชุมที่ รร.หรือไม่ พร้อมท้าโชว์ภาพซีซีทีวีชั้น 7 ที่รองนายกฯ อ้างว่านายกฯ ไปประชุม จี้ “ปู”แจงด่วนไปพบใคร หลังโลกออนไลน์ระบุพบ “เศรษฐา ทวีสิน” ถาม โยงซื้อที่ดินฟลัดเวย์-เปลี่ยนดีดีการบินไทย ใช่หรือไม่
เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.วันนี้(10ก.พ.) นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ ได้โพสต์ข้อความในเว็บไซต์ไทยอินไซด์เดอร์ และในหน้าเฟซบุ๊ก ส่วนตัว “Akeyuth Anchanbutr” เป็นแถลงการณ์ถึงรัฐบาล กรณีที่เขาถูกทำร้ายร่างกายที่โรงแรมโฟร์ซีซันส์ เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 8 ก.พ. หลังจากเห็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินออกมาจากโรงแรมดังกล่าวไม่นาน พร้อมกับได้โพสต์ภาพคนร้ายที่ได้จากกล้องวงจรปิดของโรงแรม ประกอบแถลงการณ์ด้วย โดยเนื้อหาของแถลงการณ์ มีดังนี้
“แถลงการณ์ฉบับที่ 1 ถึงรัฐบาล
ตามที่ผมได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ถูกลอบทำร้าย ณ โรงแรงดังกลางกรุง และให้เวลา 1 วัน เพื่อให้รัฐบาลออกมาให้ “คำตอบ”ซึ่งปรากฏว่า มีทั้งคนในรัฐบาลและคนในพรรคเพื่อไทย ออกมาแสดงความคิดเห็นทั้งที่ “น่าฟัง” และ “ไม่น่าฟัง”
ประเด็นที่ 1 ผมอยากให้ตัดเรื่องไร้สาระของนายอุนสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาให้สัมภาษณ์แบบไม่รู้จริง ไร้ฐานข้อมูล แต่ต้องการดังเพื่อเกาะกระแส และทำให้มีชื่อตามหน้าสื่อเท่านั้น
ประเด็นที่ 2 กรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ พร้อมกับโชว์ภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม ทั้งยังไล่เรียงเหตุการณ์เสมือนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเอง แต่ก็ถือว่า ทำหน้าที่ได้สมกับตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ผมขอโต้แย้งข้อมูลในหลายส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิมนำเสนอ ในลักษณะที่พยายามเบี่ยงเบนประเด็น และบิดเบือนความจริง เพราะในการแถลงข่าว ที่สามารถดูได้จากเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ http://thaiinsider.info/news2012b/column/interviews/16658-2012-02-10-05-52-05 ซึ่งมีการถอดถ้อยความครบทุกถ้อยคำ แต่ ร.ต.อ.เฉลิมไม่ได้อ่านคำแถลงให้ชัดเจน กลับปะติดปะต่อเรื่อง ซึ่งท้ายสุดจะทำให้ ร.ต.อ.เฉลิมเสียหายเอง ทั้งยังเสียศักดิ์ศรีภูมิปัญญาระดับ “ด็อกเตอร์” โดยเฉพาะการวิเคราะห์ถึงสาเหตุออกมาเป็น 4 ประเด็น ซึ่งผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
1.กรณีที่ระบุว่า เป็นเรื่องการเมืองนั้น ผมยืนยันว่า ไม่เคยพูดหรือให้ร้ายนายกรัฐมนตรีและทีมรักษาความปลอดภัยของนายกฯ ว่าคือผู้สั่งหรือผู้ทำร้ายผม แต่ผมให้ข้อมูลชัดเจนว่า ผู้ที่ทำร้ายผมคือบุคคลที่รู้จักกับคนติดตามที่ทำงานให้กับคนใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ผมถามนายกฯ เพียงว่า ทำไมถึงเกิดเหตุกับผมหลังจากที่นายกฯ ออกไปจากโรงแรมดังกล่าวเพียง 10 นาที อันเป็นการถามหาความรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของประชาชนผู้เสียภาษี
2.จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดและนำมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนของร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งมีการแจกแจงรายละเอียดถึงการเคลื่อนไหวของ “คนร้าย” ไว้อย่างชัดเจน พร้อมกับมีการนำภาพมาแสดงให้เห็นถึง “รูปพรรณสัณฐาน”ของ“คนร้ายรายนี้” ด้วยว่า เป็นชายรูปร่างสูงสันทัด สูงประมาณ 175 ซม. สวมกางเกงเข้ารูปสีเข้มและเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีม่วง ไว้ผมรองทรงสั้น ฯลฯ ซึ่งถือว่าสาธารณะได้เห็นเป็นครั้งแรก ก็อยากให้ร.ต.อ.เฉลิม ในฐานะที่ดูแลตำรวจ และแสดงภูมิความรู้ที่ “รู้ทุกเรื่องมาโดยตลอด” ก็ควรสั่งการให้ตำรวจจับกุมตัวคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดี เพื่อจะได้พิสูจน์ว่า “ผมจัดฉาก” ตามที่มีความพยายามกล่าวหาหรือไม่ เพราะ ร.ต.อ.เฉลิมระบุเองว่า แม้ว่าผมจะไม่แจ้งความ ตำรวจก็สามารถสืบสวนหาคนทำผิดมาลงโทษได้ เพราะเป็นคดีอาญา ไม่สามารถยอมความกันได้
ทั้งนี้ผมก็อยากฝากรูปให้ ร.ต.อ.เฉลิมได้ตรวจสอบและจัดการหา “คนร้ายรายนี้” มาลงโทษให้ได้ เพราะ “ภาพถ่าย” ที่ผมมีเป็นหลักฐานนั้น สามารถเห็นทั้งด้านหน้าและด้านหลังของคนร้าย ที่คงไม่ยากสำหรับผู้รอบรู้อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม
3.กรณีที่ระบุว่า เป็นการเขม่นหมั่นไส้จากคนที่มาเที่ยว หรือมีการแย่งจีบผู้หญิงคนเดียวกันนั้น อยากเรียนว่า ทั้งผมและ ร.ต.อ.เฉลิม ก็มีวุฒิภาวะมากพอ และได้พบปะพูดคุยกันทั้งทางลับและทางแจ้ง คงไม่มีใครเสียสติ หรือด้อยปัญญาที่จะทำเรื่องบัดสีต่อสาธารณะ และถ้ามีจริง เรื่องแบบนี้คงเกิดขึ้นกับผมมานานแล้ว เพราะนิสัยส่วนตัวผม สังคมรับรู้ดีว่าเป็นพวกสุขนิยม ไม่ใช่เป็นนักการเมือง ไม่ใช่บุคคลสาธารณะ ไม่เคยปิดบัง ไม่ได้มีพฤติกรรมหลบๆ ซ่อนๆ ที่ชอบนัดพบใครในที่ลับตา จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่ ร.ต.อ.เฉลิมนำภาพถ่ายส่วนตัวของผมมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งแม้จะเป็นการละเมิดสิทธิ แต่ผมก็ไม่ถือสาในการทำงานที่ฉาบฉวย เพราะถ้าเป็นการนำภาพขณะผมถูกทำร้ายมาเผยแพร่ ย่อมจะเป็นการดี และเป็นการพิสูจน์ภูมิปัญญาของ ร.ต.อ.เฉลิมได้เป็นอย่างดี
หาก ร.ต.อ.เฉลิมสามารถเข้าไปดูภาพจากกล้องวงจรปิดในโรงแรมได้ ก็ควรนำภาพจากกล้องวงจรปิดในชั้น 7 ที่ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นผู้กล่าวเองว่า นายกฯ เดินขึ้นไปห้องประชุมเล็กชั้น 7 เพื่อจะได้ตอบสังคมให้เคลียร์ว่า นายกฯ ไปทำอะไร เพราะนายกฯ เองกลับให้สัมภาษณ์สื่อในภายหลังว่า “ไม่ได้ไปประชุม แต่จะไปเจอกับใครก็ได้ ที่สำคัญไปในสถานที่เปิดเผย ไม่ได้เสียหาย” ก็ยิ่งทำให้สังคมสับสนหนักยิ่งขึ้น เพราะ ร.ต.อ.เฉลิมพูดอย่าง แต่นายกฯ พูดอีกอย่าง แต่สรุปแล้ว ทั้ง ร.ต.อ.เฉลิมและนายกฯควรตอบให้สังคมหายข้อสงสัย หรือนำภาพถ่ายที่ปรากฏในชั้น 7 มาเปิดเผยต่อสาธารณะเลยดีกว่า ว่าไปพบกับใคร โดยเฉพาะเวลานี้ในโลกสังคมออนไลน์ มีการตั้งข้อสังเกตไปไกลแล้วว่า หลังนายกฯ เดินทางกลับ มีผู้พบเห็นนายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ปรากฏกายในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย จึงเป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องชี้แจงต่อสาธารณะให้คลายความสงสัย ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนใดแอบแฝงหรือไม่ เพราะนายกฯ คือ “บุคคลสาธารณะ” ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือ “นักธุรกิจชื่อดัง”
อยากย้ำอีกครั้งว่า ประเด็นที่ผมตั้งข้อสงสัยคือ เหตุลอบทำร้ายที่เกิดขึ้นกับผม ซึ่งมุ่งหวังจะเอาให้ถึงแก่ชีวิตนั้น เกิดขึ้นภายหลังจากที่นายกฯเดินทางออกจากโรงแรมดังกล่าวไปประมาณ 10 นาที ก็เกิดเหตุกับผม ทำให้ผม ในฐานะประชาชนผู้เสียภาษี ต้องการทราบว่า “ใคร” คือคนที่ทำร้ายผม มีสาเหตุอะไร และ “ใคร” คือผู้สั่งการ
สำหรับกรณีที่นายกฯ ไปทำภารกิจลับ ว.5 ทั้งที่เป็นช่วงเวลาราชการ ซึ่งจะไปพบใคร นักธุรกิจคนใด ก็เป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องชี้แจงให้สังคมหายสงสัย ส่วนจะกล้าตอบ หรือไม่กล้าตอบ ก็เป็นเรื่องที่นายกฯ ควรใช้วิจารณญาณของตนเอง เพราะมีข่าวว่า “ใครบางคน” พยายามวิ่งเต้นซื้อที่ดินทำฟลัดเวย์ และต้องการเปลี่ยนตัวดีดีการบินไทย
สำหรับผม ถือเป็นการทำหน้าที่ในฐานะประชาชนธรรมดา ที่คงต้องหาทางปกป้องตัวเองและต่อสู้เพื่อความถูกต้องต่อไป
เอกยุทธ อัญชันบุตร
10 ก.พ.2555”