“เฉลิม” รับใบสั่งหอบหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิด โฟรซีซั่นส์ แจง เหตุ “เอกยุทธ” ถูกชกหน้า ยืนยันไม่ใช่ รปภ.นายกฯ พร้อมตั้งข้อสังเกต 4 ข้อ “คนหมั่นไส้-สร้างสถานการณ์” ท้าแจ้งความ ไม่ใช่ใช้จินตนาการเพราะไม่มีราคาพอที่รัฐบาลจะส่งคนไปทำร้าย
วันนี้ (10 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี แถลงถึงเหตุการณ์ที่ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ถูกทำร้ายที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยได้นำเอกสารซึ่งเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมจำนวน 4 แผ่นมาแจกจ่ายกับสื่อด้วย คือ 1.เป็นแผนผังบริเวณล็อบบี้ ลานปาริชาติ และถนนโดยรอบของโรงแรม แผ่นที่ 2-3 เป็นภาพลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ 15.33-16.20 น.ซึ่งเป็นภาพบันทึกเหตุการณ์คนร้ายเข้ามาในบริเวณโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ และเวลาที่คนร้ายออกจากโรงแรม ส่วนแผ่นที่ 4.เป็นภาพคนร้าย รวมถึงบันทึกพฤติการณ์โดยย่อของนายเอกยุทธอีกหนึ่งแผ่น
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนไปหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ จึงได้เรียกตำรวจและผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบถาม ก็ได้ข้อเท็จจริงพอสมควร ซึ่งคดีนี้ถึงแม้ นายเอกยุทธ ไม่ร้องให้ดำเนินคดี แต่ตำรวจจะสืบสวนสอบสวนหาผู้กระทำผิดให้ได้เพราะเป็นคดีอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่คดีที่สามารถยอมความได้
รองนายกฯ กล่าวชี้แจงต่อว่า ภาพเหตุการณ์ นายเอกยุทธ ได้เข้าไปที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เวลาประมาณ 14.00 น.และไปนั่งที่บริเวณลานปาริชาติ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่โรงแรมจัดไว้ให้นั่งพักสูบบุหรี่ ซึ่งในเวลานั้นคนร้ายเป็นชายได้เข้ามาบริเวณโรงแรมและไปพบกับชายใส่ชุดซาฟารี ซึ่งทั้งสองเดินไปดูนายเอกยุทธ ที่ลานปาริชาติ และในเวลา 16.20 น.นายเอกยุทธ ถูกทำร้าย จากนั้นบอดี้การ์ดของ นายเอกยุทธ จำนวน 3 คน ได้วิ่งไล่ตามคนร้ายออกไป ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่าคนร้ายคนเดียว แต่การ์ดของนายเอกยุทธ 3 คน แต่ทำไมจึงจับคนร้ายไม่ได้ มันน่าแปลกใจ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า เท่าที่ตนทราบ นายกรัฐมนตรีเดินทางไปโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ประมาณ เวลา 14.00 น.ซึ่งได้ขึ้นไปชั้น 7 ของโรงแรม ซึ่งเป็นห้องประชุมขนาดเล็ก และออกจากโรงแรมเวลาประมาณ 15.30 น.ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ไปโรงแรมพร้อมกับทีมรักษาความปลอดภัย ที่ส่วนมากเป็นตำรวจหญิง 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นตำรวจชาย 2-3 คน ซึ่งในนั้นมีตำรวจที่ดูแลมาตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และการที่ นายเอกยุทธ ระบุว่า ถูกบอดี้การด์นายกรัฐมนตรีทำร้าย และบอกว่าคนที่ทำร้ายใส่กางเกงยีนส์นั้น ตนว่ามีความขัดแย้งกันอยู่ เพราะการ์ดนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ใส่กางเกงยีนส์
“ถ้า นายเอกยุทธ กรุณาไปแจ้งความ ตำรวจก็จะสืบสวนได้ง่ายขึ้น ซึ่งนายเอกยุทธ น่าจะจำรูปพรรณสัณฐานคนร้ายได้ และเป็นการง่ายที่ตำรวจจะได้สืบสวนสอบสวน และหาภาพสเก็ต ตามหลักของตำรวจ ถ้าจะกล่าวหากันลอยๆ ว่า รัฐบาลไม่ชอบนายเอกยุทธ ตนว่าไม่มี นายเอกยุทธไม่มีอะไรเลยที่รัฐบาลต้องไม่ชอบ และไม่มีราคาเพียงพอที่รัฐบาลต้องไปทำร้าย เพราะรัฐบาลก็ชนะการเลือกตั้ง นายเอกยุทธ อาจจะอยู่ในห้วงสำนึกเก่า ๆ และจินตนาการไปเอง นายเอกยุทธอย่าไปพูดจาสองแง่ สองง่ามและอย่าไปทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องการเมืองมันไม่ใช่ ถ้ารัฐบาลจะคิดร้ายกับนายเอกยุทธ มันไม่มีเหตุผล” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดได้ข้อสรุปว่า 1.หากเป็นเรื่องการเมือง ตนว่ามันมีเหตุผลน้อยไป เพราะนายเอกยุทธ ไม่ได้มาก่อความรำคาญให้รัฐบาลชุดนี้ และรัฐบาลก็มองว่านายเอกยุทธ ไม่มีศักยภาพที่จะทำอะไรรัฐบาล การเมืองที่จะมาชกต่อยกันได้ มันต้องนั่งโต๊ะเดียวกันแล้วเถียงกัน ชอบพรรคนั้น ไม่ชอบพรรคนี้ ชกต่อยกันได้ 2.เป็นเรื่องเขม่นหมั่นไส้ได้ เพราะบางคน เวลาไปที่ไหนวางมาดเยอะ และก่อให้เกิดความไม่พอใจกับคนที่มาเที่ยว 3.เรื่องจีบผู้หญิงคนเดียวกัน และ 4.เป็นการสร้างสถานการณ์
ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาพในกล้องวีดีโอได้บันทึกภาพขณะที่นายเอกยุทธโดนทำร้ายหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เห็นแต่ตอนที่คนร้ายวิ่งออกไปแล้ว ถามต่อว่า ในภาพมีคนที่คล้ายคลึงกับรปภ.นายกฯ บ้างหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ภาพไม่ชัด ไม่มีหรอก ทำแล้วได้อะไร ส่วนที่นายเอกยุทธ อ้างว่า เป็นอดีต รปภ.พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ก็ให้ไปแจ้งความจับเลย แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นตนว่าพ.ต.ท.ทักษิณ โกรธข้ามหลายปีเกินไป
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่ นายเอกยุทธ ไม่ไปแจ้งตำรวจแต่จะแฉทางทวิตเตอร์ เกี่ยวกับข้อมูลเรื่องนี้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า คุณเอกยุทธ อย่าช้า รีบทำซะ คุณจะไปแฉอะไร เพราะคุณถูกทำร้ายแล้วลังเลที่จะแจ้งความตรงนี้มีความผิดปกติ ตนก็รู้จักนายเอกยุทธ หากพูดไปแล้วนายเอกยุทธ จะมาเกลียดตนก็แล้วแต่ เพราะตนต้องทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด ซึ่งมันไม่มีประเด็นเรื่องการเมือง บางครั้งคนเราไปเที่ยวที่ไหนถ้ากร่างมากคนเขาก็เกลียด
เมื่อถามว่า นายเอกยุทธ อ้างว่า เขามีข้อมูลว่านายกรัฐมนตรีเข้าไปในโรงแรมแล้วมีผู้ชายอีกคนเข้าไปด้วย ตรงนี้เป็นสาเหตุที่จะทำให้ รปภ.ทำร้ายหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า แล้วใครจะรู้ว่านายเอกยุทธ รู้ ซึ่งหาก นายเอกยุทธ นำเรื่องขึ้นเฟซบุ๊ก และทำให้นายกรัฐมนตรีเสียหาย นายกรัฐมนตรีก็จะฟ้อง
เมื่อถามว่า ได้ถามนายกฯ หรือไม่ว่าไปกับใคร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ก็ทีมงานนั่นแหละ ซึ่งชั้น 7 เป็นห้องประชุมนายกฯก็ไปประชุม ทั้งนี้ตนไม่ได้ขอกล้องดูบริเวณชั้น 7 เพราะไม่ใช่หน้าที่ของตน แต่หน้าที่คือ ต้องหาคนร้ายที่ทำร้ายนายเอกยุทธ เมื่อถามต่อว่า นายเอกยุทธ จะสร้างสถานการณ์เพื่ออะไร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนยังไม่ได้บอก ตนยืนยันว่าชั้น 7 เป็นห้องประชุมและมีคนในห้องประชุมอยู่ 7-9 คน และข้างล่างเป็นการประชุมของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งตนพูดไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่ และตนไม่รู้ว่าชั้น 7 เขาประชุมเรื่องอะไร ต้องให้นายกรัฐมนตรีชี้แจง ทั้งนี้ตนได้พูดคุยกับ รปภ.คนดังกล่าว แล้ว ซึ่งเขาก็ไปพบปะเป็นการส่วนตัว
เมื่อถามว่า จากกรณีนี้รองนายกฯ และนายกรัฐมนตรี พร้อมที่ให้สังคมตรวจสอบหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เชิญเลย ฝากบอกนายเอกยุทธ ถ้ามีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ให้เปิดเผยออกมาเลย ไม่ต้องมาเกรงใจ คุณจะกลับไปทำตัวเหมือน 19 ก.ย.49 ส่วนจะทำอย่างไรก็รู้แก่ใจตัวเองดี ขณะนี้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เขาทำงานกันอยู่ นายกฯแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ตนแก้ปัญหายาเสพติด ประชาชนพึ่งพอใจ คุณอย่ามาทำอย่างนี้ คุณต้องไปแจ้งความ หากไม่สังคมก็จะมองว่า คุณทำอะไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสารที่ระบุว่าเป็นภาพคนร้ายนั้น เป็นภาพคนแต่ไม่มีความชัดเจน และเห็นใบหน้าของคนร้ายไม่ชัดเจน ว่า บุคคลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ รปภ.ของนายกรัฐมนตรีหรือไม่