วันก่อนเข้าไปอ่านเฟซบุ๊กของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แกโพสต์สารภาพว่า แกบ้าฝรั่ง ... “การศึกษา “เอาแบบอย่าง” ประเทศประชาธิปไตยตะวันตก ซึ่งผมเป็นคนหนึ่งที่ยึดถือส่งเสริมมาโดยตลอด”...
แต่พอมีคนตอบโต้ว่า ฝรั่งก็มีกฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศ
แกบอกว่า
“...ไอเดียที่ว่า ยังต้องมีกฎหมายพิเศษเพื่อคุ้มครองประมุขรัฐในเรื่อง “หมิ่นประมาท” ที่หลายประเทศในภาคพื้นทวีปยุโรป (continental Europe - คือไม่รวมเกาะอังกฤษ) ยังมีอยู่ (ฝรั่งเศส, เยอรมนี,... เนเธอร์แลนด์, เดนมาร์ก ฯลฯ)
จริงๆ ไม่ใช่ไอเดียประชาธิปไตย เป็นไอเดียที่ elitist แอนตี้ประชาธิปไตยด้วยซ้ำ (ทำไมจึงเป็น “ภาคพื้นทวีปยุโรป” มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียทีเดียว แต่อันนี้เป็นเรื่องยาว ต้องไว้ว่ากันโอกาสอื่น)
มันเป็นไอเดียหรือสิ่งที่ “ตกทอด” (relic) มาตั้งแต่ก่อนสมัยประชาธิปไตย...”
.......
ผมว่ามันก็ถูกต้องนะครับ เพราะแสดงว่า ที่ทางกฎหมายของเขาเอง ยังคำนึงถึงรากเหง้าและจารีตประเพณีของเขา กฎหมายของเราก็ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานรากเหง้าและจารีตประเพณีของเรา
ไม่ใช่พออันไหนไม่เหมือนฝรั่งบอกไม่เป็นประชาธิปไตย พอบอกฝรั่งก็มีแบบนี้ มันบอกฝรั่งไม่เป็นประชาธิปไตย
ฟังแล้วก็ขำดีนะครับ
ล่าสุดเห็นแกเอารูปของนักศึกษารุ่นแกถูกแขวนคอที่ต้นมะขามสนามหลวงลงคู่กับรูปของนักศึกษาหญิงที่ถูกกระทำทารุณและเปลือยกายเห็นอวัยวะเพศ มาโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก ผมเห็นแล้วก็เศร้า ญาติของผู้เสียชีวิตเห็นแล้วคงจะเศร้ายิ่งกว่าผม
สมศักดิ์ เจียม เขียนบรรยายข้างรูปว่า “รัฐบาลยืนกรานไม่แตะกฎหมายนี้เด็ดขาด แม้แต่ข้อเสนอของ คอป.แค่ให้กลับไปที่ก่อนเหตุการณ์นี้ (ซึ่งจริงๆ เป็นข้อเสนอที่ไม่เพียงพออย่างยิ่ง) รัฐบาลก็ไม่ยอมพิจารณา รัฐบาลต้องการบอกสังคมว่าอะไร? ว่าเป็นเรื่องโอเคที่สร้างกฎหมายขึ้นมาจากความเหี้ยมโหดเดรัจฉานแบบนี้”
6 ตุลาเป็นความโหดเหี้ยมที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ครับ แต่สมศักดิ์ เจียมนั้นเหี้ยมกว่าครับ เอาเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตมาเพื่อปลุกปั่นตัณหาของตัวเอง
ผมก็งงนะครับ ใครก็ได้กลับไปอ่านทวนกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซิครับว่าจะนำไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลาได้อย่างไร แน่นอนล่ะครับบทบัญญัติโทษที่สูงขึ้นเกิดหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา แต่กฎหมายที่เขียนว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงห้าปี
เนื้อหาของกฎหมายมาตรานี้มีนัยในเชิงปกป้องสิทธิเสรีภาพไม่ใช่เหรอครับ เพราะการกระทำแบบนี้กับบุคคลอื่นก็คือการละเมิดสิทธิเสรีภาพซึ่งไม่ใช่หลักการในระบอบประชาธิปไตย นัยของกฎหมายนี้ยังมุ่งที่การคุ้มครองประมุขของประเทศ ไม่ใช่ “คุ้มครองตัวบุคคล” แต่มุ่ง “คุ้มครองสถาบัน” เป็นหลัก เป็นกฎหมายความมั่นคงไม่ใช่กฎหมายหมิ่นประมาทธรรมดา
ไม่มีข้อความตอนไหนที่บอกว่าห้ามวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์เลยครับ และก็มีคนนำเอาพระราชดำรัสของในหลวงเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 มาอ้างอิงให้รับรู้กันอยู่เนืองๆ ว่า พระมหากษัตริย์สามารถวิจารณ์ได้ ถ้าวิจารณ์ไม่ได้พระมหากษัตริย์ไม่ใช่คน ซึ่งเป็นการยืนยันว่า พระองค์เป็นมนุษย์ไม่ใช่สมมติเทพ
กฎหมายมาตรานี้มีมาก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาแล้วครับ เพียงแต่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมให้มีโทษสูงขึ้นโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ข้อเสนอของ คอป.คือให้กลับไปมีโทษเท่ากับตอนที่เกิดเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่ยกเลิกแบบความคิด “สุดโต่ง” แบบสมศักดิ์ เจียม เพื่อจะได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เช่นนั้นหรือ
เพราะทุกวันนี้สมศักดิ์ เจียม ก็วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดเวลาอยู่แล้ว
เอาเถอะสมศักดิ์ เจียมไม่อยากแค่ให้ลดโทษ แต่อยากให้เลิกไปเลย แต่ช่วยถามนิติราษฎร์หน่อยสิว่า ถ้าแค่อยากลดโทษ ทำไมไม่เสนอให้ล้มล้างผลพวงของการรัฐประหารทุกครั้งล่ะ เพราะจะได้เรื่องนี้ไปด้วย ทำไมเสนอให้ล้มล้างผลพวงรัฐประหารแค่ 19 กันยาที่มีทักษิณไม่ต้องติดคุก และได้เงินคืนเพียงคนเดียว
เป้าหมายของสมศักดิ์ เจียม นั้นไม่ได้อยู่แค่มาตรา 112 แต่เขาประกาศชัดเจนว่า ต้องการลดบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์ในสังคมไทยให้เท่ากับคนธรรมดา สมศักดิ์จึงรับไม่ได้กับใครก็ตามที่พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในเชิงบวก ออกมาการวีนแตกแทบทุกครั้งที่ได้ยิน ผมไม่มีเวลาค้นหาแบบคำต่อคำ แต่เขามีความเชื่อว่า การยกย่องเทิดทูนพระมหากษัตริย์พระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์นั้น เป็นการสร้างขึ้นแบบโฆษณาชวนเชื่อกรอกหู โดยมิได้มองพระจริยวัตรในการบำเพ็ญเพื่อประชาชนของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้เลย
ว่ากันว่า สมศักดิ์ เจียม “คลั่ง” มาก ถ้าได้ยินใครพูดยกย่องชมเชยสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเมื่อถึงเวลาข่าวในราชสำนัก เพราะสมศักดิ์ เจียม ประกาศเสมอมาว่าไม่ควรมีข่าวราชสำนักในทีวีไทยทุกช่อง และเป็นผู้ประกาศแข็งขันมาก่อนนิติราษฎร์ด้วยซ้ำว่า พระมหากษัตริย์ไม่ควรมีพระราชดำรัสต่อสาธารณะ
นอกจากนั้น ตอนนี้สมศักดิ์ เจียม กำลังด่ากราดรัฐบาล คนในรัฐบาล แกนนำเสื้อแดง ข้าราชการที่คิดว่าเป็นมือไม้ของรัฐบาลชุดนี้ เช่น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เฉลิม แม้กระทั่งทักษิณที่ประกาศว่าจะไม่แตะต้องมาตรา 112 หรือใครที่เป็นพวกเดียวกันแต่ไปเขียนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์หรือ “ชมเจ้า” ก็จะถูกสมศักดิ์เกรี้ยวกราดใส่ทันที
แต่สมศักดิ์ เจียม เป็นพวกมีตรรกะประหลาด เพราะเหตุและผลขึ้นอยู่กับรสนิยมของแกเป็นหลัก วันหนึ่งกล่าวหาว่า ผมชอบเขียนวิจารณ์นักวิชาการเพราะอยากเป็นนักวิชาการ ทั้งที่ผมเป็นสื่อมวลชนมีเกียรติและศักดิ์ศรีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านักวิชาการ ถ้าเอาตรรกะของสมศักดิ์ เจียม มาใช้ การที่เขาชอบเขียนเรื่องเจ้าแสดงว่าสมศักดิ์อยากเป็น “เจ้า” เช่นนั้นหรือ
ข้อเสนอของสมศักดิ์หลายเรื่องสอดคล้องกับนิติราษฎร์อย่างไม่ต้องสงสัย ราวกับว่าสมศักดิ์เป็นคนจัดตั้งของแก๊งไอติมแห่งคณะนิติศาสตร์แก๊งนี้
ตอนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลานั้น นักศึกษาถูกฝ่ายซ้ายจัดครอบงำด้วยลัทธิเหมาอิสต์ ถ้าจะว่าไปแล้วอาจารย์นิติศาสตร์แก๊งนี้ก็น่าจะถูกครอบงำด้วยลัทธิสมศักดิ์อิสต์ ถ้าใครไปชำระ “ประวัติศาสตร์” โดยไม่มองแค่โศกนาฏกรรมกลางเมืองครั้งนั้น หรือปล่อยให้สมศักดิ์ เจียม โทษเจ้าเพียงอย่างเดียว ผมคิดว่าบางคนคงต้องโทษความอ่อนหัด “สุดโต่ง” ของตัวเองมากกว่าการนำศพของเพื่อนที่เสียชีวิตมาหากินอย่างคนอารมณ์ค้างจนถึงทุกวันนี้
เหตุการณ์ตอนนี้กำลังจะเหมือนกับเหตุการณ์ 6 ตุลาครับเพียงแต่ตอนนั้น เหมาอิสต์เข้ามาครอบงำนักศึกษาหวังจุดชนวนไปสู่ความรุนแรง เพื่อปลุกปั่นว่า “ตายสิบเกิดแสน” ไปสู่แนวทางปฏิวัติวัฒนธรรมของแก๊ง 4 คน (四人帮) เพียงแต่วันนี้สมศักดิ์อิสต์กำลังครอบงำอาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษาที่อยากเป็นวีรชน และมวลชนเสื้อแดง “สุดโต่ง” กลุ่มหนึ่งที่ไม่ต่างกับพวกเรดการ์ดด้วยท่วงทำนองเดียวกัน และมีคนพยายามปลุกปั่นจุดไฟในใจคนให้ประชาชนลุกขึ้นมาเผชิญหน้าฆ่าฟันกัน
วันก่อนท่องคัมภีร์เหมา วันนี้ท่องคัมภีร์ประชาธิปไตยตะวันตก
และรอเพียงว่าใครจะเป็นเหยื่อของสมศักดิ์อิสต์เหมือนนักศึกษาในอดีตที่เป็นเหยื่อของเหมาอิสต์ และหวังว่าจะไม่พลาดพลั้งเป็นฝ่ายแพ้เหมือนครั้งโน้นเพราะลำพองว่ามีมวลชนแดงอยู่ในมือ
แต่พอมีคนตอบโต้ว่า ฝรั่งก็มีกฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศ
แกบอกว่า
“...ไอเดียที่ว่า ยังต้องมีกฎหมายพิเศษเพื่อคุ้มครองประมุขรัฐในเรื่อง “หมิ่นประมาท” ที่หลายประเทศในภาคพื้นทวีปยุโรป (continental Europe - คือไม่รวมเกาะอังกฤษ) ยังมีอยู่ (ฝรั่งเศส, เยอรมนี,... เนเธอร์แลนด์, เดนมาร์ก ฯลฯ)
จริงๆ ไม่ใช่ไอเดียประชาธิปไตย เป็นไอเดียที่ elitist แอนตี้ประชาธิปไตยด้วยซ้ำ (ทำไมจึงเป็น “ภาคพื้นทวีปยุโรป” มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียทีเดียว แต่อันนี้เป็นเรื่องยาว ต้องไว้ว่ากันโอกาสอื่น)
มันเป็นไอเดียหรือสิ่งที่ “ตกทอด” (relic) มาตั้งแต่ก่อนสมัยประชาธิปไตย...”
.......
ผมว่ามันก็ถูกต้องนะครับ เพราะแสดงว่า ที่ทางกฎหมายของเขาเอง ยังคำนึงถึงรากเหง้าและจารีตประเพณีของเขา กฎหมายของเราก็ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานรากเหง้าและจารีตประเพณีของเรา
ไม่ใช่พออันไหนไม่เหมือนฝรั่งบอกไม่เป็นประชาธิปไตย พอบอกฝรั่งก็มีแบบนี้ มันบอกฝรั่งไม่เป็นประชาธิปไตย
ฟังแล้วก็ขำดีนะครับ
ล่าสุดเห็นแกเอารูปของนักศึกษารุ่นแกถูกแขวนคอที่ต้นมะขามสนามหลวงลงคู่กับรูปของนักศึกษาหญิงที่ถูกกระทำทารุณและเปลือยกายเห็นอวัยวะเพศ มาโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก ผมเห็นแล้วก็เศร้า ญาติของผู้เสียชีวิตเห็นแล้วคงจะเศร้ายิ่งกว่าผม
สมศักดิ์ เจียม เขียนบรรยายข้างรูปว่า “รัฐบาลยืนกรานไม่แตะกฎหมายนี้เด็ดขาด แม้แต่ข้อเสนอของ คอป.แค่ให้กลับไปที่ก่อนเหตุการณ์นี้ (ซึ่งจริงๆ เป็นข้อเสนอที่ไม่เพียงพออย่างยิ่ง) รัฐบาลก็ไม่ยอมพิจารณา รัฐบาลต้องการบอกสังคมว่าอะไร? ว่าเป็นเรื่องโอเคที่สร้างกฎหมายขึ้นมาจากความเหี้ยมโหดเดรัจฉานแบบนี้”
6 ตุลาเป็นความโหดเหี้ยมที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ครับ แต่สมศักดิ์ เจียมนั้นเหี้ยมกว่าครับ เอาเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตมาเพื่อปลุกปั่นตัณหาของตัวเอง
ผมก็งงนะครับ ใครก็ได้กลับไปอ่านทวนกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซิครับว่าจะนำไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลาได้อย่างไร แน่นอนล่ะครับบทบัญญัติโทษที่สูงขึ้นเกิดหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา แต่กฎหมายที่เขียนว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงห้าปี
เนื้อหาของกฎหมายมาตรานี้มีนัยในเชิงปกป้องสิทธิเสรีภาพไม่ใช่เหรอครับ เพราะการกระทำแบบนี้กับบุคคลอื่นก็คือการละเมิดสิทธิเสรีภาพซึ่งไม่ใช่หลักการในระบอบประชาธิปไตย นัยของกฎหมายนี้ยังมุ่งที่การคุ้มครองประมุขของประเทศ ไม่ใช่ “คุ้มครองตัวบุคคล” แต่มุ่ง “คุ้มครองสถาบัน” เป็นหลัก เป็นกฎหมายความมั่นคงไม่ใช่กฎหมายหมิ่นประมาทธรรมดา
ไม่มีข้อความตอนไหนที่บอกว่าห้ามวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์เลยครับ และก็มีคนนำเอาพระราชดำรัสของในหลวงเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 มาอ้างอิงให้รับรู้กันอยู่เนืองๆ ว่า พระมหากษัตริย์สามารถวิจารณ์ได้ ถ้าวิจารณ์ไม่ได้พระมหากษัตริย์ไม่ใช่คน ซึ่งเป็นการยืนยันว่า พระองค์เป็นมนุษย์ไม่ใช่สมมติเทพ
กฎหมายมาตรานี้มีมาก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาแล้วครับ เพียงแต่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมให้มีโทษสูงขึ้นโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ข้อเสนอของ คอป.คือให้กลับไปมีโทษเท่ากับตอนที่เกิดเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่ยกเลิกแบบความคิด “สุดโต่ง” แบบสมศักดิ์ เจียม เพื่อจะได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เช่นนั้นหรือ
เพราะทุกวันนี้สมศักดิ์ เจียม ก็วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดเวลาอยู่แล้ว
เอาเถอะสมศักดิ์ เจียมไม่อยากแค่ให้ลดโทษ แต่อยากให้เลิกไปเลย แต่ช่วยถามนิติราษฎร์หน่อยสิว่า ถ้าแค่อยากลดโทษ ทำไมไม่เสนอให้ล้มล้างผลพวงของการรัฐประหารทุกครั้งล่ะ เพราะจะได้เรื่องนี้ไปด้วย ทำไมเสนอให้ล้มล้างผลพวงรัฐประหารแค่ 19 กันยาที่มีทักษิณไม่ต้องติดคุก และได้เงินคืนเพียงคนเดียว
เป้าหมายของสมศักดิ์ เจียม นั้นไม่ได้อยู่แค่มาตรา 112 แต่เขาประกาศชัดเจนว่า ต้องการลดบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์ในสังคมไทยให้เท่ากับคนธรรมดา สมศักดิ์จึงรับไม่ได้กับใครก็ตามที่พูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในเชิงบวก ออกมาการวีนแตกแทบทุกครั้งที่ได้ยิน ผมไม่มีเวลาค้นหาแบบคำต่อคำ แต่เขามีความเชื่อว่า การยกย่องเทิดทูนพระมหากษัตริย์พระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์นั้น เป็นการสร้างขึ้นแบบโฆษณาชวนเชื่อกรอกหู โดยมิได้มองพระจริยวัตรในการบำเพ็ญเพื่อประชาชนของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้เลย
ว่ากันว่า สมศักดิ์ เจียม “คลั่ง” มาก ถ้าได้ยินใครพูดยกย่องชมเชยสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเมื่อถึงเวลาข่าวในราชสำนัก เพราะสมศักดิ์ เจียม ประกาศเสมอมาว่าไม่ควรมีข่าวราชสำนักในทีวีไทยทุกช่อง และเป็นผู้ประกาศแข็งขันมาก่อนนิติราษฎร์ด้วยซ้ำว่า พระมหากษัตริย์ไม่ควรมีพระราชดำรัสต่อสาธารณะ
นอกจากนั้น ตอนนี้สมศักดิ์ เจียม กำลังด่ากราดรัฐบาล คนในรัฐบาล แกนนำเสื้อแดง ข้าราชการที่คิดว่าเป็นมือไม้ของรัฐบาลชุดนี้ เช่น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เฉลิม แม้กระทั่งทักษิณที่ประกาศว่าจะไม่แตะต้องมาตรา 112 หรือใครที่เป็นพวกเดียวกันแต่ไปเขียนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์หรือ “ชมเจ้า” ก็จะถูกสมศักดิ์เกรี้ยวกราดใส่ทันที
แต่สมศักดิ์ เจียม เป็นพวกมีตรรกะประหลาด เพราะเหตุและผลขึ้นอยู่กับรสนิยมของแกเป็นหลัก วันหนึ่งกล่าวหาว่า ผมชอบเขียนวิจารณ์นักวิชาการเพราะอยากเป็นนักวิชาการ ทั้งที่ผมเป็นสื่อมวลชนมีเกียรติและศักดิ์ศรีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านักวิชาการ ถ้าเอาตรรกะของสมศักดิ์ เจียม มาใช้ การที่เขาชอบเขียนเรื่องเจ้าแสดงว่าสมศักดิ์อยากเป็น “เจ้า” เช่นนั้นหรือ
ข้อเสนอของสมศักดิ์หลายเรื่องสอดคล้องกับนิติราษฎร์อย่างไม่ต้องสงสัย ราวกับว่าสมศักดิ์เป็นคนจัดตั้งของแก๊งไอติมแห่งคณะนิติศาสตร์แก๊งนี้
ตอนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลานั้น นักศึกษาถูกฝ่ายซ้ายจัดครอบงำด้วยลัทธิเหมาอิสต์ ถ้าจะว่าไปแล้วอาจารย์นิติศาสตร์แก๊งนี้ก็น่าจะถูกครอบงำด้วยลัทธิสมศักดิ์อิสต์ ถ้าใครไปชำระ “ประวัติศาสตร์” โดยไม่มองแค่โศกนาฏกรรมกลางเมืองครั้งนั้น หรือปล่อยให้สมศักดิ์ เจียม โทษเจ้าเพียงอย่างเดียว ผมคิดว่าบางคนคงต้องโทษความอ่อนหัด “สุดโต่ง” ของตัวเองมากกว่าการนำศพของเพื่อนที่เสียชีวิตมาหากินอย่างคนอารมณ์ค้างจนถึงทุกวันนี้
เหตุการณ์ตอนนี้กำลังจะเหมือนกับเหตุการณ์ 6 ตุลาครับเพียงแต่ตอนนั้น เหมาอิสต์เข้ามาครอบงำนักศึกษาหวังจุดชนวนไปสู่ความรุนแรง เพื่อปลุกปั่นว่า “ตายสิบเกิดแสน” ไปสู่แนวทางปฏิวัติวัฒนธรรมของแก๊ง 4 คน (四人帮) เพียงแต่วันนี้สมศักดิ์อิสต์กำลังครอบงำอาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษาที่อยากเป็นวีรชน และมวลชนเสื้อแดง “สุดโต่ง” กลุ่มหนึ่งที่ไม่ต่างกับพวกเรดการ์ดด้วยท่วงทำนองเดียวกัน และมีคนพยายามปลุกปั่นจุดไฟในใจคนให้ประชาชนลุกขึ้นมาเผชิญหน้าฆ่าฟันกัน
วันก่อนท่องคัมภีร์เหมา วันนี้ท่องคัมภีร์ประชาธิปไตยตะวันตก
และรอเพียงว่าใครจะเป็นเหยื่อของสมศักดิ์อิสต์เหมือนนักศึกษาในอดีตที่เป็นเหยื่อของเหมาอิสต์ และหวังว่าจะไม่พลาดพลั้งเป็นฝ่ายแพ้เหมือนครั้งโน้นเพราะลำพองว่ามีมวลชนแดงอยู่ในมือ