ASTVผู้จัดการรายวัน – ตลาดหนังเอเชียเฟื่องสุดๆ โรงหนังผุดเป็นดอกเห็ด จีนนำทีมเพิ่ม 3,000 โรง มาเลเซีย 200 โรง ไทยร่วม 100 โรง ฮอลลีวู้ดพร้อมสร้างหนังป้อนตลาดเต็มสูบ “เมเจอร์”สบช่องเตรียมลงทุนต่างประเทศต่อเนื่องจากอินเดีย “เอสเอฟ” อุบโปรเจกต์พันล้าน หวังสร้างปรากฏการณ์ใหม่แก่ธุรกิจโรงภาพยนตร์
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้เอเชียถือเป็นตลาดสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เห็นได้จากจำนวนการเพิ่มของโรงภาพยนตร์ที่เติบโตขึ้นสูงมาก และเติบโตขึ้นในทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ปีนี้จะมีเพิ่มอีกกว่า 3,000 โรง รวมสิ้นปีคาดว่าจะมีโรงภาพยนตร์ถึง 8,000 โรง นอกจากนี้ในมาเลเซีย
ปีนี้จะเพิ่มอีก 200 โรง และไทยอีกประมาณ 100 โรง ส่วนเวียดนามใน3ปีหลังจากนี้จะเพิ่มราว 300 โรง
เฉพาะประเทศจีนประเทศเดียว ภาพยนตร์ทำเงินที่เข้าฉาย สามารถทำรายได้เท่ากับบ็อกซ์ออฟฟิศในฮอลลีวู้ด ดังนั้นเอเชียจึงเป็นตลาดสำคัญของภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดอย่างมากจากนี้ไป ดังนั้นหลังจากนี้มั่นใจว่าทิศทางการผลิตภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดจะต้องดูเทรนด์และตลาดอย่างเอเชียมากขึ้น จะมีภาพยนตร์เข้ามาทำตลาดในเอเชียสูงขึ้น
ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในเอเชียเองก็จะมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
ในส่วนของเมเจอร์ แผนการลงทุนในปีนี้รวมแล้วจะมีการเพิ่มโรงภาพยนตร์อีก 50โรง งบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ทั้งในส่วนของโครงการ IKEA, ซีคอนสแควร์ บางแค และโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัด รวมแล้วสิ้นปีนี้มั่นใจว่า จะมีจำนวนโรงภาพยนตร์ที่ 400 โรง และเป็นโรงระบบดิจิตอล 200 โรง ส่วนที่อินเดียนั้น จากปีก่อนที่เพิ่มจำนวนโรงภาพยนตร์ไป 20โรง ปีนี้จะลงทุนเพิ่มอีกราว 80-100 ล้านบาท
สำหรับการเพิ่มโบวลิ่ง และโรงภาพยนตร์อีก 50 โรง มั่นใจว่าถึงสิ้นปีบริษัทจะมีรายได้เติบโตขึ้นอย่างน้อย 10-15% เช่นเดียวกับตลาด ขณะที่ปีก่อนเติบโตขึ้น 20%
นายวิชา กล่าวต่อว่า จากแนวโน้มตลาดภาพยนตร์ในเอเชียที่เติบโตต่อเนื่อง ขณะนี้ทางบริษัทกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆในเอเชียเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
***เอสเอฟทุ่มพันล้าน ต่อยอดธุรกิจโรงหนัง***
ด้านนายสุวัฒน์ ทองร่มโพธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท เอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ จำกัด กล่าวว่า แผนการลงทุนของกลุ่มเอสเอฟในปีนี้ ได้วางงบลงทุนไว้กว่า 600-800 ล้านบาท สำหรับการขยายโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30-40 โรง ใน 4 แห่ง คือ โรบินสัน สุพรรณบุรี , อุบลราชธานี, มหาสารคาม, สุราษฎร์ธานี และอุดรธานี เริ่มทยอยเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนมี.ค นี้เป็นต้นไป
ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเปิดให้บริการเพิ่ม 2แห่ง จากแผนการลงทุนของปีก่อน คือ เทอมินอล21 และเซ็นทรัล พระราม9 ส่งผลให้ปลายปีนี้ เอสเอฟจะมีจำนวนโรงภาพยนตร์ทั้งสิ้น 300โรง ทั่วประเทศ และเป็นโรงภาพยนตร์ในระบบดิจิตอล 80 โรง
ส่วนรายได้นั้น มองว่าจะมีอัตราการเติบโตขึ้นไม่น้อยกว่า 20% เช่นเดียวกับปีก่อน ที่มีการเติบโต 20%ทำได้ถึง 2,000 ล้านบาท โดยปีนี้นอกจากรายชื่อภาพยนตร์ทำเงินหลายเรื่องแล้ว ยังมี2สาขาใหม่ที่เปิดและรับรู้รายได้ตั้งแต่ต้นปี จึงเชื่อว่าจะทำให้การเติบโตสูงใกล้เคียงกับปีก่อน ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบตามมา เช่น
แผนการปรับเงินเดือนให้พนักงานก็ตาม ทั้งนี้ทางบริษัทยังไม่มีแผนที่จะปรับราคาตั๋วหนังขึ้นแต่อย่างไร โดยจะขอดูสถานการณ์ต่างๆไปก่อน
อย่างไรก็ตามปีนี้ ทางบริษัทยังมีโปรเจกต์การลงทุนพิเศษอีก 1 โครงการ ที่จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่ธุรกิจโรงภาพยนตร์เป็นอย่างมาก คาดว่าภายในไตรมาสหนึ่งนี้ จะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้อย่างเป็นทางการ โดยขณะนี้กล่าวได้เพียงว่า เป็นโปรเจกต์ระดับหลักพันล้านบาทขึ้นไป
โดยยังคงเป็นโปรเจกต์ที่มีโครงหลักเป็นธุรกิจโรงภาพยนตร์ในลักษณะของเทคโนโลยีใหม่ของจอภาพยนตร์ รวมถึงเป็นการต่อยอดความเป็นเอ็นเตอร์เทนเม้นท์อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้เอเชียถือเป็นตลาดสำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เห็นได้จากจำนวนการเพิ่มของโรงภาพยนตร์ที่เติบโตขึ้นสูงมาก และเติบโตขึ้นในทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ปีนี้จะมีเพิ่มอีกกว่า 3,000 โรง รวมสิ้นปีคาดว่าจะมีโรงภาพยนตร์ถึง 8,000 โรง นอกจากนี้ในมาเลเซีย
ปีนี้จะเพิ่มอีก 200 โรง และไทยอีกประมาณ 100 โรง ส่วนเวียดนามใน3ปีหลังจากนี้จะเพิ่มราว 300 โรง
เฉพาะประเทศจีนประเทศเดียว ภาพยนตร์ทำเงินที่เข้าฉาย สามารถทำรายได้เท่ากับบ็อกซ์ออฟฟิศในฮอลลีวู้ด ดังนั้นเอเชียจึงเป็นตลาดสำคัญของภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดอย่างมากจากนี้ไป ดังนั้นหลังจากนี้มั่นใจว่าทิศทางการผลิตภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดจะต้องดูเทรนด์และตลาดอย่างเอเชียมากขึ้น จะมีภาพยนตร์เข้ามาทำตลาดในเอเชียสูงขึ้น
ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในเอเชียเองก็จะมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
ในส่วนของเมเจอร์ แผนการลงทุนในปีนี้รวมแล้วจะมีการเพิ่มโรงภาพยนตร์อีก 50โรง งบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ทั้งในส่วนของโครงการ IKEA, ซีคอนสแควร์ บางแค และโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัด รวมแล้วสิ้นปีนี้มั่นใจว่า จะมีจำนวนโรงภาพยนตร์ที่ 400 โรง และเป็นโรงระบบดิจิตอล 200 โรง ส่วนที่อินเดียนั้น จากปีก่อนที่เพิ่มจำนวนโรงภาพยนตร์ไป 20โรง ปีนี้จะลงทุนเพิ่มอีกราว 80-100 ล้านบาท
สำหรับการเพิ่มโบวลิ่ง และโรงภาพยนตร์อีก 50 โรง มั่นใจว่าถึงสิ้นปีบริษัทจะมีรายได้เติบโตขึ้นอย่างน้อย 10-15% เช่นเดียวกับตลาด ขณะที่ปีก่อนเติบโตขึ้น 20%
นายวิชา กล่าวต่อว่า จากแนวโน้มตลาดภาพยนตร์ในเอเชียที่เติบโตต่อเนื่อง ขณะนี้ทางบริษัทกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆในเอเชียเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
***เอสเอฟทุ่มพันล้าน ต่อยอดธุรกิจโรงหนัง***
ด้านนายสุวัฒน์ ทองร่มโพธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท เอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ จำกัด กล่าวว่า แผนการลงทุนของกลุ่มเอสเอฟในปีนี้ ได้วางงบลงทุนไว้กว่า 600-800 ล้านบาท สำหรับการขยายโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30-40 โรง ใน 4 แห่ง คือ โรบินสัน สุพรรณบุรี , อุบลราชธานี, มหาสารคาม, สุราษฎร์ธานี และอุดรธานี เริ่มทยอยเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนมี.ค นี้เป็นต้นไป
ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเปิดให้บริการเพิ่ม 2แห่ง จากแผนการลงทุนของปีก่อน คือ เทอมินอล21 และเซ็นทรัล พระราม9 ส่งผลให้ปลายปีนี้ เอสเอฟจะมีจำนวนโรงภาพยนตร์ทั้งสิ้น 300โรง ทั่วประเทศ และเป็นโรงภาพยนตร์ในระบบดิจิตอล 80 โรง
ส่วนรายได้นั้น มองว่าจะมีอัตราการเติบโตขึ้นไม่น้อยกว่า 20% เช่นเดียวกับปีก่อน ที่มีการเติบโต 20%ทำได้ถึง 2,000 ล้านบาท โดยปีนี้นอกจากรายชื่อภาพยนตร์ทำเงินหลายเรื่องแล้ว ยังมี2สาขาใหม่ที่เปิดและรับรู้รายได้ตั้งแต่ต้นปี จึงเชื่อว่าจะทำให้การเติบโตสูงใกล้เคียงกับปีก่อน ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบตามมา เช่น
แผนการปรับเงินเดือนให้พนักงานก็ตาม ทั้งนี้ทางบริษัทยังไม่มีแผนที่จะปรับราคาตั๋วหนังขึ้นแต่อย่างไร โดยจะขอดูสถานการณ์ต่างๆไปก่อน
อย่างไรก็ตามปีนี้ ทางบริษัทยังมีโปรเจกต์การลงทุนพิเศษอีก 1 โครงการ ที่จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่ธุรกิจโรงภาพยนตร์เป็นอย่างมาก คาดว่าภายในไตรมาสหนึ่งนี้ จะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้อย่างเป็นทางการ โดยขณะนี้กล่าวได้เพียงว่า เป็นโปรเจกต์ระดับหลักพันล้านบาทขึ้นไป
โดยยังคงเป็นโปรเจกต์ที่มีโครงหลักเป็นธุรกิจโรงภาพยนตร์ในลักษณะของเทคโนโลยีใหม่ของจอภาพยนตร์ รวมถึงเป็นการต่อยอดความเป็นเอ็นเตอร์เทนเม้นท์อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น