“เมเจอร์” ยอมปรับลดเวลาฉายหนังโฆษณา หลังโดนวิจารณ์หนัก เผย เหลือแค่ 20-25 นาที จากเดิม 30 นาที เล็งปรับแผนขายโฆษณาตามหนังดัง เพราะเจ้าของสินค้าแห่ซื้อโฆษณาหนังฟอร์มยักษ์
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์การโฆษณาสินค้าและตัวอย่างภาพยนตร์ในโรงหนังที่ค่อนข้างนาน เฉลี่ยที่ประมาณ 30 นาทีต่อเรื่อง โดยระบุว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการปรับเวลาการฉายภาพยนตร์ตัวอย่างและโฆษณาสินค้า ให้มีความเหมาะสมแล้ว เฉลี่ยเวลาโดยรวมไม่เกิน 20-25 นาทีต่อเรื่อง โดยในส่วนของโฆษณาภาพยนตร์ตัวอย่างจะอยู่ที่ประมาณ 6 เรื่อง เรื่องละประมาณ 2 นาที จากเดิมจะฉายที่ประมาณ 9 เรื่อง เรื่องละประมาณ 2-4 นาที ขณะที่โฆษณาสินค้าจะเฉลี่ยที่ประมาณ 6-7 นาที
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะปรับแผนการขายโฆษณาสินค้าในโรงหนัง เป็นแบบขายตามภาพยนตร์ที่เข้าฉาย ด้วยการแบ่งออกเป็นหลายแพ็กเกจ เช่น ภาพยนตร์ต่างประเทศฟอร์มยักษ์ ภาพยนตร์ฟอร์มกลาง และภาพยนตร์ฟอร์มเล็ก เพื่อตอบสนองความต้องการของเจ้าของสินค้า ที่นิยมซื้อโฆษณาตามภาพยนตร์แต่ละเรื่องที่เข้าฉายมากขึ้น ซึ่งการปรับแผนการดำเนินงานดังกล่าวถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า เนื่องจากแพกเกจการขายโฆษณาแบบเดิมคือ ขายตามโลเกชั่นของโรงภาพยนตร์ ก็ยังคงเปิดขายตามปกติ
“การที่เราปรับแผนการขายโฆษณาดังกล่าว ยังถือเป็นการปรับเพื่อรับกระแสหนังฟอร์มยักษ์ที่จะเข้าฉายในปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นสไปเดอร์แมน หรือ เจมส์บอนด์ ซึ่งการปรับแผนการโฆษณาดังกล่าวอาจจะต้องมีการปรับค่าโฆษณาขึ้นอีกประมาณ 10% ถือเป็นการปรับขึ้นตามปกติทุกปีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มของหนังที่เข้าฉายที่ได้รับความนิยม ส่งผลให้หนังแต่ละเรื่องมีรายได้ดีขึ้น และทำรายได้ 200 ล้านบาทได้อย่างสบาย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ยอดการขายโฆษณาเติบโตดีขึ้นที่ 10%”
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทก็ยังเดินหน้าขยายโรงภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีจะมีโรงภาพยนตร์เปิดให้บริการครบ 380 โรงจากปัจจุบันมี 370 โรง และเพิ่มเป็น 430 โรงในสิ้นปี 2555 ซึ่งจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง คาดว่า สิ้นปีจะมีรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ 10-15%
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์การโฆษณาสินค้าและตัวอย่างภาพยนตร์ในโรงหนังที่ค่อนข้างนาน เฉลี่ยที่ประมาณ 30 นาทีต่อเรื่อง โดยระบุว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการปรับเวลาการฉายภาพยนตร์ตัวอย่างและโฆษณาสินค้า ให้มีความเหมาะสมแล้ว เฉลี่ยเวลาโดยรวมไม่เกิน 20-25 นาทีต่อเรื่อง โดยในส่วนของโฆษณาภาพยนตร์ตัวอย่างจะอยู่ที่ประมาณ 6 เรื่อง เรื่องละประมาณ 2 นาที จากเดิมจะฉายที่ประมาณ 9 เรื่อง เรื่องละประมาณ 2-4 นาที ขณะที่โฆษณาสินค้าจะเฉลี่ยที่ประมาณ 6-7 นาที
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะปรับแผนการขายโฆษณาสินค้าในโรงหนัง เป็นแบบขายตามภาพยนตร์ที่เข้าฉาย ด้วยการแบ่งออกเป็นหลายแพ็กเกจ เช่น ภาพยนตร์ต่างประเทศฟอร์มยักษ์ ภาพยนตร์ฟอร์มกลาง และภาพยนตร์ฟอร์มเล็ก เพื่อตอบสนองความต้องการของเจ้าของสินค้า ที่นิยมซื้อโฆษณาตามภาพยนตร์แต่ละเรื่องที่เข้าฉายมากขึ้น ซึ่งการปรับแผนการดำเนินงานดังกล่าวถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า เนื่องจากแพกเกจการขายโฆษณาแบบเดิมคือ ขายตามโลเกชั่นของโรงภาพยนตร์ ก็ยังคงเปิดขายตามปกติ
“การที่เราปรับแผนการขายโฆษณาดังกล่าว ยังถือเป็นการปรับเพื่อรับกระแสหนังฟอร์มยักษ์ที่จะเข้าฉายในปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นสไปเดอร์แมน หรือ เจมส์บอนด์ ซึ่งการปรับแผนการโฆษณาดังกล่าวอาจจะต้องมีการปรับค่าโฆษณาขึ้นอีกประมาณ 10% ถือเป็นการปรับขึ้นตามปกติทุกปีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มของหนังที่เข้าฉายที่ได้รับความนิยม ส่งผลให้หนังแต่ละเรื่องมีรายได้ดีขึ้น และทำรายได้ 200 ล้านบาทได้อย่างสบาย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ยอดการขายโฆษณาเติบโตดีขึ้นที่ 10%”
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทก็ยังเดินหน้าขยายโรงภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปีจะมีโรงภาพยนตร์เปิดให้บริการครบ 380 โรงจากปัจจุบันมี 370 โรง และเพิ่มเป็น 430 โรงในสิ้นปี 2555 ซึ่งจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง คาดว่า สิ้นปีจะมีรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ 10-15%