ASTVผู้จัดการรายวัน – “เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์” กระตุ้นภาครัฐวางแผนป้องกันน้ำท่วมให้ดี พร้อมอุ้มคนชนชั้นล่าง-กลาง หลังพบถูกกระทบมากสุด ด้านธุรกิจไม่สะดุดแม้ต้องปิด 12 สาขา ยอดขายตั๋วเดือน ต.ค.-พ.ย.ยังพุ่ง 20% เตรียมงบ 1,000 ล้านบาท ลุยปีหน้า 50 โรง
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อุทกภัยครั้งใหญ่ในไทยครั้งนี้ส่งผลกระทบกับชนชั้นกลางและล่างมากที่สุด ดังนั้นต้องการให้รัฐบาลวางแผนการป้องกันปัญหาน้ำท่วมให้ดี ขณะที่ภาคเอกชนปีนี้มองว่าได้รับผลกระทบไม่มากนักเมื่อเทียบกับประชาชนทั่วไป
เพราะภาคเอกชนยังมีความช่วยเหลือในด้านของเงินชดเชยต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างกับวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดเมื่อช่วงปี 2540 ที่เป็นวิกฤติค่าเงินบาทนั้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากสุดคือชนชั้นบนยอดปิรามิด
โดยธุรกิจของเมเจอร์ฯเองนั้น แม้ช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาต้องปิดให้บริการไปถึง 12 สาขา จากทั้งหมด 56 สาขาหรือ 375 โรง ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ล่าสุดกลับมาเปิดได้แล้ว 3 สาขา ส่วนที่เหลืออีก 9 สาขารอน้ำลดลงมากกว่านี้เพื่อเข้าไปปรับปรุงเพื่อเปิดบริการต่อไป
แม้มีหลายโรงหนังของเราต้องปิดบริการไป แต่เรายังมีโรงหนังอีกหลายสาขาที่เปิดบริการอยู่และมีคนดูหนังมากเพราะมีหนังฟอร์มใหญ่ทำเงินเข้าฉายมาก อย่างไรก็ตามหนังฟอร์มยักษ์อีก 4 เรื่องจะเข้าเดือนธันวาคมนี้จะส่งผลให้รายได้เติบโตตามเป้าหมายได้
ภาพรวมยอดขายตั๋วในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. ที่ผ่านมา บริษัทยังมียอดขายตั๋วเติบโต 20% เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว เพราะมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่สร้างรายได้ให้เป็นที่น่าพอใจเช่น เรื่อง 30 โสดออนเซล ขณะนี้ทำมีรายได้ 30 ล้านบาทแล้ว หรือเรื่อง 30 กำลังแจ๋ว ทำรายได้ 50 ล้านบาทแล้ว ทั้งนี้หากไม่มีสถานการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้นคาดว่าเรื่อง 30 กำลังแจ๋วน่าจะมีรายได้เกิน 100
ล้านบาท เช่นเดียวกับยอดขายตั๋วที่น่าจะเติบโตสูงถึง 40-50%
นายวิชายังกล่าวถึงแผนปี 2555 ด้วยว่า ในปีหน้าบริษัทฯเตรียมงบประมาณ 800-1,000 ล้านบาท เพื่อเปิดสาขาใหม่ 40-50 โรง เป็นการลงทุนที่สูงกว่าปีนี้ที่ใช้งบลงทุนไปเพียง 500-600 ล้านบาท เนื่องจากปีหน้าจะมีโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้น เช่น ที่โครงการเมกะบางนา นอกจากนี้ยังมีโรงหนังที่จะเข้าไปเปิดร่วมกับเทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์อีกด้วยหลายแห่ง
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อุทกภัยครั้งใหญ่ในไทยครั้งนี้ส่งผลกระทบกับชนชั้นกลางและล่างมากที่สุด ดังนั้นต้องการให้รัฐบาลวางแผนการป้องกันปัญหาน้ำท่วมให้ดี ขณะที่ภาคเอกชนปีนี้มองว่าได้รับผลกระทบไม่มากนักเมื่อเทียบกับประชาชนทั่วไป
เพราะภาคเอกชนยังมีความช่วยเหลือในด้านของเงินชดเชยต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างกับวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดเมื่อช่วงปี 2540 ที่เป็นวิกฤติค่าเงินบาทนั้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากสุดคือชนชั้นบนยอดปิรามิด
โดยธุรกิจของเมเจอร์ฯเองนั้น แม้ช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาต้องปิดให้บริการไปถึง 12 สาขา จากทั้งหมด 56 สาขาหรือ 375 โรง ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ล่าสุดกลับมาเปิดได้แล้ว 3 สาขา ส่วนที่เหลืออีก 9 สาขารอน้ำลดลงมากกว่านี้เพื่อเข้าไปปรับปรุงเพื่อเปิดบริการต่อไป
แม้มีหลายโรงหนังของเราต้องปิดบริการไป แต่เรายังมีโรงหนังอีกหลายสาขาที่เปิดบริการอยู่และมีคนดูหนังมากเพราะมีหนังฟอร์มใหญ่ทำเงินเข้าฉายมาก อย่างไรก็ตามหนังฟอร์มยักษ์อีก 4 เรื่องจะเข้าเดือนธันวาคมนี้จะส่งผลให้รายได้เติบโตตามเป้าหมายได้
ภาพรวมยอดขายตั๋วในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. ที่ผ่านมา บริษัทยังมียอดขายตั๋วเติบโต 20% เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว เพราะมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่สร้างรายได้ให้เป็นที่น่าพอใจเช่น เรื่อง 30 โสดออนเซล ขณะนี้ทำมีรายได้ 30 ล้านบาทแล้ว หรือเรื่อง 30 กำลังแจ๋ว ทำรายได้ 50 ล้านบาทแล้ว ทั้งนี้หากไม่มีสถานการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้นคาดว่าเรื่อง 30 กำลังแจ๋วน่าจะมีรายได้เกิน 100
ล้านบาท เช่นเดียวกับยอดขายตั๋วที่น่าจะเติบโตสูงถึง 40-50%
นายวิชายังกล่าวถึงแผนปี 2555 ด้วยว่า ในปีหน้าบริษัทฯเตรียมงบประมาณ 800-1,000 ล้านบาท เพื่อเปิดสาขาใหม่ 40-50 โรง เป็นการลงทุนที่สูงกว่าปีนี้ที่ใช้งบลงทุนไปเพียง 500-600 ล้านบาท เนื่องจากปีหน้าจะมีโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้น เช่น ที่โครงการเมกะบางนา นอกจากนี้ยังมีโรงหนังที่จะเข้าไปเปิดร่วมกับเทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์อีกด้วยหลายแห่ง