ASTVผู้จัดการรายวัน – มั่นคงปรับแผนลงทุนรับมือน้ำท่วมหันพัฒนาทาวน์เฮาส์ คอนโดฯเพิ่ม ทุ่ม 1,000 ล้านบาท ซื้อที่ดินในเมืองรองรับการลงทุนปี 56 พร้อมเพิ่มสต๊อกบ้านพร้อมอยู่เป็น 80% ยอมรับแผนใหม่กระทบกำไรขั้นต้นลด 2% แต่หนุนยอดขายโต 40%
นางสาวชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการเงิน-บัญชี บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับแผนการลงทุนพัฒนาโครงการจากเดิมเน้นโครงการบ้านเดี่ยวแถบชานเมือง หันมาพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมในเมืองเพิ่มมากขึ้น เพื่อความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยปีนี้ตั้งงบประมาณในการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาในปี 2556 และในอนาคตสูงถึง 1,000 ล้านบาท จากปีที่แล้วใช้งบซื้อที่ดินเพียง 600 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทจะพัฒนาบ้านพร้อมอยู่เพิ่มขึ้นเป็น 80% จากจำนวนสิ้นค้าทั้งหมด เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค จากที่ใน 2554 บ้านพร้อมอยู่มีสัดส่วน 70% รวมถึงการจัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อเร่งการโอนบ้าน จากสต็อกบ้านที่ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 500-600 ยูนิต มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถขายได้ประมาณ 80% ของจำนวนสต๊อกทั้งหมด ทั้งนี้ การเพิ่มพอร์ตบ้านพร้อมอยู่ดังกล่าว เชื่อว่าจะทำให้ปี 2555 บริษัทจะมียอดขายที่ 3,000 ล้านบาท และมีรายได้สูงกว่าปี 2554 ประมาณ 40% หรือ 2,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (backlog) จำนวน 1,200 ล้านบาท โดยจะรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด
นางชุติมา กล่าวต่อว่า แม้ว่าการปรับแผนการลงทุนจะช่วยให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น แต่ยอมรับว่าจะกระทบต่อการทำกำไร โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นปีในปีนี้จะลดลงเหลือ 38% จากปีก่อนอยู่ที่ 40% และอาจทำให้อัตรากำไรสุทธิลดลงเหลือ 16-17% จากปี 2554 อยู่ที่ 17-18% ส่วนแผนพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้มีจำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการชวนชื่น รัตนาธิเบศร์ มูลค่า 400 ล้านบาท, โครงการชวนชื่น จรัญสนิทวงศ์ 3 มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท และในช่วงปลายปี 55 จะเปิดโครงการทาวน์เฮาส์และโฮมออฟฟิศ ย่านวิภาวดี มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ในขณะที่โครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 17 โครงการ มูลค่าคงเหลือ 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนเสริมในการสร้างยอดขายปีนี้
สำหรับโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ ย่านถนนเพชรเกษม จะเริ่มกลับมาก่อสร้างในปีนี้ หลังจากที่เลื่อนการก่อสร้างในปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลกระทบจากน้ำท่วม โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปี 2556 ส่วนปรับขึ้นราคาบ้านตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้น บริษัทยังไม่มีนโยบายปรับขึ้นราคาบ้านในขณะนี้ โดยจะรอความชัดเจนของนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท/วัน ซึ่งหากรัฐบาลปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% พร้อมกันก็จะช่วยชะเชยต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวได้ แต่หากราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้นมากก็อาจจำเป็นต้องปรับราคาขึ้นตาม
ส่วนผลประกอบการในปี 2554 ยอมรับว่ารายได้และยอดขายลดลงจากเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ เนื่องจากผลกระทบจากน้ำท่วม โดยรายได้ลดลงเหลือเพียง 1,700 พันล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ส่วนยอดขายอยู่ที่ 2,080 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 2,800 ล้านบาท หรือลดลง 20-30% โดยเฉพาะในไตรมาส 4/54 ที่ยอดขายตกลงอย่างชัดเจนเหลือเพียง 200 ล้านบาท จากปกติที่เป็นช่วงที่มียอดขายสูงสุดประมาณ 800-900 ล้านบาท
"ผลกระทบจากน้ำท่วมทำให้ผลการดำเนินงานในปี 54 ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ เราคงต้องจัดแผนให้กลับมาเป็นที่รู้จักและเติบโตได้ในปีนี้ โดยเฉพาะการมิกซ์สินค้าให้ยืดหยุ่นมากขึ้น และลดความเสี่ยงจากปัญหาที่เกิดขึ้นได้" นางสาวชุติมา กล่าว
นางสาวชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการเงิน-บัญชี บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับแผนการลงทุนพัฒนาโครงการจากเดิมเน้นโครงการบ้านเดี่ยวแถบชานเมือง หันมาพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียมในเมืองเพิ่มมากขึ้น เพื่อความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยปีนี้ตั้งงบประมาณในการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาในปี 2556 และในอนาคตสูงถึง 1,000 ล้านบาท จากปีที่แล้วใช้งบซื้อที่ดินเพียง 600 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทจะพัฒนาบ้านพร้อมอยู่เพิ่มขึ้นเป็น 80% จากจำนวนสิ้นค้าทั้งหมด เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค จากที่ใน 2554 บ้านพร้อมอยู่มีสัดส่วน 70% รวมถึงการจัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อเร่งการโอนบ้าน จากสต็อกบ้านที่ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 500-600 ยูนิต มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถขายได้ประมาณ 80% ของจำนวนสต๊อกทั้งหมด ทั้งนี้ การเพิ่มพอร์ตบ้านพร้อมอยู่ดังกล่าว เชื่อว่าจะทำให้ปี 2555 บริษัทจะมียอดขายที่ 3,000 ล้านบาท และมีรายได้สูงกว่าปี 2554 ประมาณ 40% หรือ 2,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (backlog) จำนวน 1,200 ล้านบาท โดยจะรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด
นางชุติมา กล่าวต่อว่า แม้ว่าการปรับแผนการลงทุนจะช่วยให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น แต่ยอมรับว่าจะกระทบต่อการทำกำไร โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นปีในปีนี้จะลดลงเหลือ 38% จากปีก่อนอยู่ที่ 40% และอาจทำให้อัตรากำไรสุทธิลดลงเหลือ 16-17% จากปี 2554 อยู่ที่ 17-18% ส่วนแผนพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้มีจำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการชวนชื่น รัตนาธิเบศร์ มูลค่า 400 ล้านบาท, โครงการชวนชื่น จรัญสนิทวงศ์ 3 มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท และในช่วงปลายปี 55 จะเปิดโครงการทาวน์เฮาส์และโฮมออฟฟิศ ย่านวิภาวดี มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ในขณะที่โครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 17 โครงการ มูลค่าคงเหลือ 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนเสริมในการสร้างยอดขายปีนี้
สำหรับโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ ย่านถนนเพชรเกษม จะเริ่มกลับมาก่อสร้างในปีนี้ หลังจากที่เลื่อนการก่อสร้างในปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลกระทบจากน้ำท่วม โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปี 2556 ส่วนปรับขึ้นราคาบ้านตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้น บริษัทยังไม่มีนโยบายปรับขึ้นราคาบ้านในขณะนี้ โดยจะรอความชัดเจนของนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท/วัน ซึ่งหากรัฐบาลปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% พร้อมกันก็จะช่วยชะเชยต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวได้ แต่หากราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้นมากก็อาจจำเป็นต้องปรับราคาขึ้นตาม
ส่วนผลประกอบการในปี 2554 ยอมรับว่ารายได้และยอดขายลดลงจากเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ เนื่องจากผลกระทบจากน้ำท่วม โดยรายได้ลดลงเหลือเพียง 1,700 พันล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ส่วนยอดขายอยู่ที่ 2,080 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 2,800 ล้านบาท หรือลดลง 20-30% โดยเฉพาะในไตรมาส 4/54 ที่ยอดขายตกลงอย่างชัดเจนเหลือเพียง 200 ล้านบาท จากปกติที่เป็นช่วงที่มียอดขายสูงสุดประมาณ 800-900 ล้านบาท
"ผลกระทบจากน้ำท่วมทำให้ผลการดำเนินงานในปี 54 ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ เราคงต้องจัดแผนให้กลับมาเป็นที่รู้จักและเติบโตได้ในปีนี้ โดยเฉพาะการมิกซ์สินค้าให้ยืดหยุ่นมากขึ้น และลดความเสี่ยงจากปัญหาที่เกิดขึ้นได้" นางสาวชุติมา กล่าว