วานนี้ (5 ก.พ.55) นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรมว.พาณิชย์ (เงา) ให้สัมภาษณ์ว่า จากการลงสำรวจสินค้าควบคุม 42 รายการในช่วงที่หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศปรับโครงสร้างราคาพลังงานปรากฎว่า มีราคาสินค้า 3 กลุ่มปรับราคาขึ้นสูงมากประกอบด้วย กลุ่มที่1.อาหารในภาชนะบรรจุปิดสนิท ผงซักฟอก กระเทียม ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง อาหารสัตว์ กลุ่มที่ 2. ที่ขึ้นเฉลี่ย 5 % เช่นข้าวสาร ข้าวโพด น้ำตาลทราย นมผง นมสด แบตตารี่รถยนต์ ยารักษาโรค และกลุ่มที่ 3.ที่ราคายังไม่ปรับขึ้นมากคือ ครีมเทียม นมข้น สำหรับราคาอาหารตามสั่งที่ราคาเฉลี่ย 35 - 40 บาท แต่ถ้าเพิ่มไข่ดาวต้องจ่ายเพิ่มอีก 7 - 10 บาท พบว่ารัฐบาลยังไม่มีมาตรการรองรับในการเข้าไปควบคุม
จากการที่คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ที่ได้เชิญตัวแทนจากกระทรวงพาณิชย์ พลังงานและคมนาคม ซึ่งได้รับข้อมูลว่า ได้มีการปรับราคาแอลพีจีกก.ละ 75 สตางค์ เอ็นจีวี 50 สตางค์ พบว่า รถยนต์ส่วนบุคคล 9 แสนกว่าคัน และรถรับจ้างอีกแสนคันได้รับผลกระทบหลังจากหมดเวลาการชดเชยราคาน้ำมันของรัฐบาล ในอีก 4 เดือนข้างหน้าสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้เตรียมความพร้อม และมีมาตรการลดผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนลอจิสติกส์ได้สะท้อนออกมาแล้วว่าต้นทุนลอจิสติกส์อยู่ที่ 18 % โดยใน 40 % เป็นต้นทุนของพลังงานดังนั้นราคาพลังงานและขนส่งสูงขึ้นนั้น ราคาสินค้าก็จะปรับขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ผลกระทบต่อภาคขนส่งเฉลี่ยจะมีต้นทุนการผลิตทางตรงที่สูงขึ้นประมาณ 3.1 - 4.3 % และจะส่งผลกระทบให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ย5% โดยอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดคืออุตสาหกรรมเหล็กและเครื่องจักรจะมีแนวโน้มสูงขึ้นประมาณ 11.5% ส่วอุตสาหกรรมยาง 7.3 % ที่เหลือเป็นอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม 5.5 % เกษตกรรม ปศุสัตว์อีก 5.5 % คาดว่าแนวโน้มจะเพิ่มค่าครองชีพสูงขึ้นอีกประมาณ 14 % หรือเพิ่มขึ้นเดือนละ 2,200 บาทเป็น 18,600 บาท
ขอเสนอแนะรัฐบาลว่า 1.ประชาชนต้องใช้จ่ายในการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม รัฐบาลจึงต้องมีมาตรการเข้ามาควบคุมราคาสินค้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะหมวดสินค้าควบคุม 42 รายการต้องเข้าไปดูแล 2.รัฐบาลควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการเข้าไปส่งเสริม และลดต้นทุนปัจจัยการผลิต 3.การปรับราคาพลังงานของรัฐบาลต้องมีความชัดเจนว่า จะมีมาตรการลดผลกระทบที่จะตามมาได้อย่างไรทั้งระยะสั้น กลาง ยาว 4.ต้นทุนลอจิสติกส์รัฐต้องมีมาตรการช่วยลดต้นทุน
นายมัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเรียกร้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติให้ได้เพื่อแสดงให้ประชาชนได้เห็นถึงศักยภาพการเป็นผู้นำประเทศไทย 5 ข้อ คือ 1.ขอชี้แจงเรื่องออกพรก.เงินกู้ด้วยตนเองอย่าปล่อยให้คนในรัฐบาลออกมาพูดสร้างความาสับสน 2.ขอให้ชี้แจงเรื่องโครงการรับจำนำข้าวให้ชัดเจน 3.ชี้แจงกระบวนการเร่งรัดปลุกเร้ามวลชนในการแก้ไขกฏหมายต่างๆ 4.ชี้แจงว่าทำไมถึงลดโครงสร้างการใช้ไฟฟ้าฟรีจาก 90 หน่วย เหลือ 50 หน่วย เพราะถือว่าไม่ได้ช่วยประชาชนที่มีรายได้น้อยและ 5. ขอให้ชี้แจงเรื่องการตัดลดงบให้กู้ยืมเรียน เพราะเด็กที่มีรายได้น้อยส่วนใหญ่ต้องใช้เงินจากงบกู้ยืมเรียนทั้งสิ้น การบริหารประเทศครบ 6 เดือนของรัฐบาล ทำให้ราคาไข่ไก่แพงขึ้นกว่าสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีใส่ใจปัญหาปากท้องของประชาชนให้มากขึ้น
อีกด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงกรณีที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต สส. พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาวิจารณ์ว่าการบริหารงานของรัฐบาลว่าทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคแพงขึ้นโดยเฉพาะไข่ไก่มีราคาสูงถึงลูกละแปดบาทนั้น นายพร้อมพงศ์กล่าวว่าจากการลงพื้นที่ตลาดสด แถวมีนบุรี จตุจักร และฝั่งธน พบว่าราคาสินค้ายังอยู่ในเกณฑ์ปกติซึ่งเป็นไปตามกลไกของตลาด โดยที่ประชุมพรรคในวันอังคารนี้จะมอบหมายให้ทีมทำงานด้านเศรษฐกิจลงพื้นที่ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
“จากการที่พรรคได้รับการร้องเรียนในเรื่องดังกล่าวมา ดังนั้นในการประชุมพรรควันที่ 7 ก.พ. จะนำข้อมูลที่ได้จากการลงตามตลาดต่างๆ เสนอต่อนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ และฝ่ายบริหารที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการแก้ไขต่อไป”
จากการที่คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ที่ได้เชิญตัวแทนจากกระทรวงพาณิชย์ พลังงานและคมนาคม ซึ่งได้รับข้อมูลว่า ได้มีการปรับราคาแอลพีจีกก.ละ 75 สตางค์ เอ็นจีวี 50 สตางค์ พบว่า รถยนต์ส่วนบุคคล 9 แสนกว่าคัน และรถรับจ้างอีกแสนคันได้รับผลกระทบหลังจากหมดเวลาการชดเชยราคาน้ำมันของรัฐบาล ในอีก 4 เดือนข้างหน้าสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้เตรียมความพร้อม และมีมาตรการลดผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนลอจิสติกส์ได้สะท้อนออกมาแล้วว่าต้นทุนลอจิสติกส์อยู่ที่ 18 % โดยใน 40 % เป็นต้นทุนของพลังงานดังนั้นราคาพลังงานและขนส่งสูงขึ้นนั้น ราคาสินค้าก็จะปรับขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ผลกระทบต่อภาคขนส่งเฉลี่ยจะมีต้นทุนการผลิตทางตรงที่สูงขึ้นประมาณ 3.1 - 4.3 % และจะส่งผลกระทบให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ย5% โดยอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดคืออุตสาหกรรมเหล็กและเครื่องจักรจะมีแนวโน้มสูงขึ้นประมาณ 11.5% ส่วอุตสาหกรรมยาง 7.3 % ที่เหลือเป็นอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม 5.5 % เกษตกรรม ปศุสัตว์อีก 5.5 % คาดว่าแนวโน้มจะเพิ่มค่าครองชีพสูงขึ้นอีกประมาณ 14 % หรือเพิ่มขึ้นเดือนละ 2,200 บาทเป็น 18,600 บาท
ขอเสนอแนะรัฐบาลว่า 1.ประชาชนต้องใช้จ่ายในการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม รัฐบาลจึงต้องมีมาตรการเข้ามาควบคุมราคาสินค้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะหมวดสินค้าควบคุม 42 รายการต้องเข้าไปดูแล 2.รัฐบาลควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการเข้าไปส่งเสริม และลดต้นทุนปัจจัยการผลิต 3.การปรับราคาพลังงานของรัฐบาลต้องมีความชัดเจนว่า จะมีมาตรการลดผลกระทบที่จะตามมาได้อย่างไรทั้งระยะสั้น กลาง ยาว 4.ต้นทุนลอจิสติกส์รัฐต้องมีมาตรการช่วยลดต้นทุน
นายมัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเรียกร้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติให้ได้เพื่อแสดงให้ประชาชนได้เห็นถึงศักยภาพการเป็นผู้นำประเทศไทย 5 ข้อ คือ 1.ขอชี้แจงเรื่องออกพรก.เงินกู้ด้วยตนเองอย่าปล่อยให้คนในรัฐบาลออกมาพูดสร้างความาสับสน 2.ขอให้ชี้แจงเรื่องโครงการรับจำนำข้าวให้ชัดเจน 3.ชี้แจงกระบวนการเร่งรัดปลุกเร้ามวลชนในการแก้ไขกฏหมายต่างๆ 4.ชี้แจงว่าทำไมถึงลดโครงสร้างการใช้ไฟฟ้าฟรีจาก 90 หน่วย เหลือ 50 หน่วย เพราะถือว่าไม่ได้ช่วยประชาชนที่มีรายได้น้อยและ 5. ขอให้ชี้แจงเรื่องการตัดลดงบให้กู้ยืมเรียน เพราะเด็กที่มีรายได้น้อยส่วนใหญ่ต้องใช้เงินจากงบกู้ยืมเรียนทั้งสิ้น การบริหารประเทศครบ 6 เดือนของรัฐบาล ทำให้ราคาไข่ไก่แพงขึ้นกว่าสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีใส่ใจปัญหาปากท้องของประชาชนให้มากขึ้น
อีกด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงกรณีที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต สส. พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาวิจารณ์ว่าการบริหารงานของรัฐบาลว่าทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคแพงขึ้นโดยเฉพาะไข่ไก่มีราคาสูงถึงลูกละแปดบาทนั้น นายพร้อมพงศ์กล่าวว่าจากการลงพื้นที่ตลาดสด แถวมีนบุรี จตุจักร และฝั่งธน พบว่าราคาสินค้ายังอยู่ในเกณฑ์ปกติซึ่งเป็นไปตามกลไกของตลาด โดยที่ประชุมพรรคในวันอังคารนี้จะมอบหมายให้ทีมทำงานด้านเศรษฐกิจลงพื้นที่ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
“จากการที่พรรคได้รับการร้องเรียนในเรื่องดังกล่าวมา ดังนั้นในการประชุมพรรควันที่ 7 ก.พ. จะนำข้อมูลที่ได้จากการลงตามตลาดต่างๆ เสนอต่อนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ และฝ่ายบริหารที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการแก้ไขต่อไป”
