xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปราบดา หยุ่น ปัญญาชนซีไรต์ กับการ “เนรคุ่น” ไล่ล่า ม. 112

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-จากการหมกมุ่นอยู่กับการเรียกร้องให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้ช่วงหลังมานี้ ‘คุ่น-ปราบดา หยุ่น’ นักเขียนซีไรต์ชื่อดัง ดู ‘เสียกิริยา’ ไปมาก จากอาการ ‘วีนแตก’ ใส่คนที่ตั้งคำถาม และวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดของเขา หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าช่วงหลังมานี้ นักเขียนซีไรต์เอาแต่เขียนเฟซบุ๊กเหน็บแนม ประชดประชัน แดกดันผู้คนในสังคมไทยที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดแก้ไขมาตรา 112 จนหลายคนเป็นห่วง และหลายคนรู้สึกผิดหวังในตัวผู้เป็น ‘ไอดอล’ ของพวกเขา

หลังจากที่ ‘ปราบดา หยุ่น’ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเครือ ‘เนชั่น’ หลานชายสุดที่รักของ ‘เทพชัย หย่อง’ ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง “ทีวีไทย” ที่ออกมาเสนอตัว เสนอหน้าเคราๆ และหัวเหม่งๆ ของเขาเป็น ‘แกนนำนักเขียน’ (ส่วนมากเป็นนักเขียนเสื้อแดง ที่ชื่นชมและเทิดทูนในตัว ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อย่างหาที่สุดมิได้) ป่าวประกาศ เรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112

ราวกับว่าทุกวันนี้เขาถูกปิดกั้นเสรีภาพทางการคิด การเขียน และการแสดงออกอย่างหนัก และราวกับว่าทุกวันนี้ประชาชนถูกปิดหูปิดตา ถูกกลั่นแกล้ง เอารัดเอาเปรียบ และถูกกดให้เป็นทาส ถ้าไม่ออกมาเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ประชาชนและ ‘นักเขียน’ อย่างเขาก็จะไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้ในชาตินี้

ทั้งๆ ที่หากฉุกคิดสักนิด หรือโยนอคติทิ้งไป ‘ปราบดา’ ก็จะสามารถสัมผัสได้ถึง ‘เสรีภาพ’ ที่เขาสามารถออกมาแหกปาก ทำเท่ เรียกร้องให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และมันก็เป็นเสรีภาพอย่างมากที่ ‘ปราบดา’ สามารถวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ชื่นชมในตัวคนที่มีแนวคิดและพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จนออกนอกหน้า กระทั่งกระโดดเข้าร่วมกับขบวนการรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 หรือ 'ครก.112' โดยมีพวก ‘นิติราษฎร์’ เป็นแกนนำ

มันเป็นเสรีภาพขนาดไหนที่ ‘ปราบดา’ สามารถทำได้ขนาดนี้ และมีที่อยู่ที่ยืนในประเทศไทย เพราะถ้าเป็นที่อื่น หรือหากประเทศไทยไร้ซึ่งเสรีภาพจริงๆ ‘ปราบดา’ จะไม่มีโอกาสแม้กระทั่ง ‘ไอ’ ให้ใครได้ยิน

แต่ ‘ปราบดาและสาวก’ ของเขาต้องการมากกว่านั้น มากกว่าเสรีภาพที่มีอยู่ในปัจจุบัน มากกว่าเสรีภาพที่เคยมีมาจนทำให้เขาเขียนหนังสือจนได้รางวัลซีไรต์ และมีชื่อเสียงโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นจึงเป็นที่มาของการกระโดดเข้าร่วมขบวนการ ‘นิติราษฎร์’ หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่ากลุ่ม 'นิติเรด' หรือกลุ่ม 'วรเจี๊ยก' ที่มี 'นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์' อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นแกนนำ เสนอให้มีการยกเลิกมาตรา 112 ในความผิดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยยกระดับการเคลื่อนไหวขึ้นเป็น 'คณะรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา112' หรือ 'ครก.112' ซึ่งประกอบด้วยบุคคลจากหลายสาขาอาชีพ รวมถึงนักเขียน และนักเขี่ย กลุ่มของปราบดา โดยเริ่มล่ารายชื่อประชาชนให้ได้กว่า 1 หมื่นชื่อ เพื่อแก้ไขมาตรา 112

โดยล่าสุด ขบวนการนิติราษฎร์ได้รุกคืบสำแดงความ 'เหิมเกริม' ด้วยการเสนอแนวคิดซึ่งถือเป็นการกดดัน 'สถาบันพระมหากษัตริย์' อันเป็นที่รักและเคารพสูงสุดของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าอย่างชัดเจนโดยถึงกับเสนอแนวคิดให้แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยกำหนดให้พระมหากษัตริย์ต้องสาบานตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง ว่าจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ซึ่งส่อเจตนาบีบบังคับ กดดัน และบ่อนทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันอันเป็นที่เทิดทูนของปวงชนชาวไทย

นอกจากแนวคิดปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว ขบวนการนิติราษฎร์ยังเสนอแนวคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเครื่องประเทศด้วยการปฏิรูปสถาบันหลักของชาติครั้งใหญ่ ทั้งกองทัพ ศาล และองค์กรอิสระ โดยกองทัพต้องอยู่ภายใต้อำนาจและคำสั่งของฝ่ายการเมือง ประธานศาลฎีกาและเหล่าตุลาการทั้งหลายต้องอยู่ภายใต้คณะรัฐมนตรีแทนที่จะเป็น ‘พระมหากษัตริย์’ และให้ยกเลิกองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญทั้งหลาย

รวมถึงก่อนหน้านี้ก็มีแนวคิด ‘ห้ามกษัตริย์มีพระราชดำรัสสดต่อสาธารณะ’ จนคนไทยที่จงรักภักดี 'รับไม่ได้' กับการเสนอแนวคิดที่เหิมเกริมและ 'วิปริต' ดังกล่าว

คำถามที่ตามมาจากหลายคนหลายฝ่ายก็คือ ขบวนการนิติเรด-นิติราษฎร์ที่ประกอบด้วยบุคคลจากหลายสาขาอาชีพ รวมถึงพวกนักเขียน และนักเขี่ย กลุ่มของปราบดานี้ ต้องการด่าพระมหากษัตริย์อย่างไม่มีความผิด ใช่หรือไม่ เพราะดูจากแนวคิดและกิจกรรมที่ทำ มันก็ส่อให้เห็นเจตนาว่า ต้องการอย่างนั้นจริงๆ

แล้วอย่างนี้ประชาชนคนไทยที่ ‘จงรักภักดี’ ที่ไหนเขาจะรับได้!

และเมื่อความเหิมเกริมหนักข้อขึ้นทุกวัน และนานวันเข้า ความอดทนอดกลั้นของประชาชนคนไทยผู้ ‘รักในหลวง’ ก็ใกล้ถึงจุดระเบิด เห็นได้จากปรากฏการณ์ ‘กระแสต่อต้าน’ จากผู้คนในสังคมที่เกิดมีขึ้นทุกวัน และนับวันจะยิ่งเข้มข้นและมากขึ้นเรื่อยๆ

และเมื่อ ‘คลิก’ เข้าสู่โลกออนไลน์ ก็จะพบกระแสต่อต้านการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 เกิดขึ้นมากมายและเข้มข้นเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะใน ‘เฟซบุ๊ก’ ที่หลายต่อหลายคนต่างตั้งคำถาม คำด่า คำสาปแช่ง และคำต่างๆ นานาพุ่งเป้ามาที่ ‘ปราบดา หยุ่น’ ผู้นำนักเขียน ในการเรียกร้องให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างไม่มีกาลเทศะ ทั้งๆ ที่มีเรื่องจำเป็น เร่งด่วน และสร้างสรรค์อีกมากมายให้ ‘ปราบดาและสาวก’ ออกมาเรียกร้องกัน แต่ผู้นำทางความคิดอย่าง ‘ปราบดา’ กลับนำพาเหล่าสาวกของเขาออกมาเรียกร้องเอาเป็นเอาตายกับการให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในตอนนี้

‘กนก รัตน์วงศ์สกุล’ พิธีกรรายการข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Kanok Ratwongsakul วิจารณ์กลุ่มที่สนับสนุนให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า

"ทุกๆ 10 นาที จะมีคนโพสต์ต่อต้านกลุ่มที่จะขอแก้มาตรา 112 ลงที่เฟซบุ๊กนี้ ผมก็ตามอ่านตลอด บางคนลงรูปของอาจารย์นิติฯ ธรรมศาสตร์ ที่เป็นหัวหอกแก้มาตรานี้ ซึ่งผมจะลบออกทุกครั้ง เพราะไม่อยากเห็นหน้าคนกลุ่มนี้บนเฟซบุ๊กผม ถ้าพวกนี้อายุ 30 - 40 กว่าปี ตามที่เสธ.หนั่นไล่ให้ไปอ่านประวัติศาสตร์ ผมสงสัยว่า พ่อแม่เขายังอยู่หรือเปล่า รุ่นพ่อรุ่นแม่น่าจะทันได้เห็น “ในหลวง” ทรงงานมาตลอด ถ้าลูกไม่ใส่ใจในความเป็นกษัตริย์นักพัฒนา มัวแต่ดื้อด้านจะแก้กฎหมายท่าเดียว แล้วพ่อแม่พวกนี้ทำอะไรอยู่ ไม่ห้ามปรามเลยหรือ? หรือวายชนม์ไปหมดแล้ว? ผมขอโทษนะครับ อย่าหาว่าผมก้าวล่วง แต่อยากถามคนกลุ่มนี้จริงๆ ว่า พ่อแม่คุณอบรมสั่งสอนหรือเปล่า?"

ซึ่งทาง ‘ปราบดา หยุ่น’ ผู้นำนักเขียนที่เข้าไปร่วมกับกลุ่มนิติราษฎร์ ก็ออกมาตอบโต้ทันควันโดยโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก TyphoonBooks Thailand ของเขาว่า

"ปกติไม่ชอบพูดเรื่องส่วนตัวเลย แต่บางข่าววันนี้ทำให้อยากบอกว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นคนโชคดีมากๆ คือการมีพ่อกับแม่ที่มอบสิ่งมีค่าที่สุดกับเรามาตลอด นั่นคืออิสระทางความคิดและการใช้ชีวิต สำหรับเรา ความหมายของการอบรมสั่งสอนลูกที่ดีคือแบบนี้ ไม่ใช่แบบที่อบรมให้ไหม้เกรียมไปด้วยการบังคับ และสั่งสอนให้ตกเป็นทาสของขนบงมงาย"

ขณะที่บางรายถึงกับตั้งคำถามว่า ไม่รู้พระมหากษัตริย์ไปทำความเดือดร้อนอะไรให้นักหนา ‘ปราบดา’ จึงตั้งหน้าตั้งตาทำแต่เรื่องนี้ โดยไม่เห็นเขาจะสนใจไยดีหรือพูดถึงความทุกข์ร้อนของประชาชนในเรื่องอื่นและที่อื่นๆ เลย

และเมื่อเจอกับคำถาม คำวิพากษ์วิจารณ์ และคำด่าทอหนักขึ้นทุกวัน ก็ทำให้ ‘ปราบดา’ ผู้เป็น ‘ปัญญาชนซีไรต์’ ถึงกับเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวกราดเกรี้ยวใส่คนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดแก้ไขมาตรา 112 โดยเขาได้โพสต์ข้อความกระแนะกระแหน ประชดประชัน แดกดันคนที่ไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของเขา อย่างเช่นกรณีที่กลายเป็นวิวาทะร้อนในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็คือข้อความที่เขาโพสต์ว่า

“วัดจากคอมเมนต์ของคนที่ด่าคนอื่นว่า “เนรคุณประเทศชาติ” หรือถามคนอื่นว่า “เป็นคนไทยหรือเปล่า” ดูเหมือนบรรดาคนที่กตัญญูและ “เป็นคนไทย” ส่วนใหญ่จะหยาบคาย ก้าวร้าว และรักความรุนแรงมากถึงมากที่สุด เพิ่งเข้าใจว่าคุณสมบัติของความเป็นคนไทยเป็นเช่นนี้เอง” นี่คือถ้อยคำของปราบดา หยุ่น ‘ปัญญาชนซีไรต์’ ที่เขียนโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กของเขา

และข้อความใน ‘สเตตัส’ นี้เองที่ทำให้ ‘เตชะ ทับทอง’ หนึ่งในตัวแทนทำดีเพื่อพ่อ ออกมาตอบโต้ทันควันเช่นกัน ว่า

"ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ และบรรพบุรุษผมเป็นคนไทย ผมจึงเป็นคนไทย โดยความภาคภูมิ ผมยึดแนวทางกตัญญูต่อแผ่นดินไทย และสถาบันสูงสุดของไทย ยิ่งชีวิต ผมมีความรักสถาบันสูงสุด อย่างมากที่สุด มากเกินกว่าที่คนอย่างคุณจะเข้าใจ ผมอาจจะเป็นคนไทยส่วนน้อย ตามที่คุณเข้าใจ เพราะผมไม่หยาบคาย ไม่ก้าวร้าว แต่สิ่งที่ผมแน่ใจได้คือ คนไทยส่วนน้อยเช่นผมก็ไม่ได้ชื่นชมคุณแต่อย่างใด โปรดจงอภัยให้กับคนไทยส่วนใหญ่ คนไทยผู้ที่ก้าวร้าว คนไทยที่หยาบคายกับคุณ เพราะเขากำลังตอบโต้กับคนที่เนรคุณแผ่นดิน หยาบคายต่อบรรพบุรุษไทย การดูถูกคุณสมบัติคนไทยส่วนใหญ่ที่กตัญญู ถือเป็นความเขลาของปัญญาชนซีไรต์เช่นคุณ ขอบคุณที่ทำให้คนไทยตาสว่าง และแยกแยะได้ว่า พ่อสอนลูกแล้ว แต่ลูกมันไม่รักดี"

นอกจากนี้ ยังมีกลอนดังโดนใจของ ‘พี่คนดี’ (P.khondee) ที่ฮือฮากันในเฟซบุ๊กตอนนี้ โดยมีชื่อกลอนว่า ‘ถึงคุณ PRAVDA’

“คุณปร๊าฟด้า ด่าคนที่ “กตัญญู”     จะด่ากู หรือด่า คนส่วนใหญ่

กูเดือดร้อน ก็เพราะกู “เป็นคนไทย”   ขอใช้ “กู” ดูหยาบไป ขอโทษที

อันคำว่า “หยาบคาย” อาจหมายว่า    “ไม่รู้กา ละเทศะ” ขณะที่

มีคนร้าย ยุแยง แกล้งราวี        ควรหรือเข้า เป็นภาคี ช่วยชักจูง

ส่วน “ก้าวร้าว” นั้นหรือ คือรุกหนัก     “ไม่รู้จัก ที่ต่ำ หรือที่สูง”

ก้าวร้าวล่วง จ้วงเจ้า เข้าชักจูง     เข้าร่วมฝูง คนร้อยเล่ห์ “เนรคุณ”

อย่ากล่าวหา ว่าเรา “รัก ความรุนแรง”    เราไม่เหมือน พวกแร้ง แดงสถุล

แค่เดือดดาล ไม่ได้พาล ทำร้ายคุณ     ไม่ได้คิด ทำหุ่น คุณไปเผา

มัน “มากถึง มากที่สุด” ยังไงหว่า     เขา “เม้นท์” ด่า ไม่ได้ปา ด้วยไข่เน่า

ก็เข้าใจ คงโดนใส่ อยู่ไม่เบา     แต่อย่าเหมา ว่าเรา “รักความรุนแรง”

“คุณสมบัติ ของความ เป็นคนไทย”    คือมักไม่ ทำอะไร ที่แผลง ๆ

คนรู้ผิด ให้อภัย ไม่ไล่แทง     ถ้าไม่เชื่อ ลองแถลง ว่า “เสียใจ”

มันเดือดร้อน อย่างไร ต้องเรียกร้อง          อยากจะให้ ไตร่ตรอง ลองคิดใหม่

เราร่วมดอง เป็นพี่น้อง เพื่อนผองไทย      ขอให้เปลี่ยน “ความเข้าใจ” ได้ไหมคุณ

อย่างไรก็ตาม นับจากวันแรก ที่ปราบดาและสาวกออกมาปล่อยของผ่าน “จดหมายเปิดผนึกถึงเพื่อนนักเขียนไทยทั่วประเทศ เรื่อง: ขอเชิญร่วมลงชื่อในการเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และยุติการใช้ข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพปิดกั้นการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นทางการเมือง” ความเคลื่อนไหวของ ‘ปราบดาและสาวก’ ก็ยังดำเนินไปด้วยความมุ่งมั่น ‘เอาเป็นเอาตาย’ ไม่สนใจกระแสสังคม และข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นถึงความเหมาะสม รวมถึงประเด็นที่พวกเขาหยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุผล เพราะแม้กระทั่งการเปิด ‘แถ-ลง’ ข่าว พร้อมกับบันทึกคลิปวิดีโอของการแถลงข่าวเพื่อนำเสนอผ่านอินเทอร์เน็ต ‘ปราบดาและสาวก’ ก็ยังตอกย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไข มาตรา 112 เหมือนเดิม

“พวกเรามิใช่กลุ่มก้อนที่ต้องการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือระดมแนวร่วมเชิงอุดมการณ์ พวกเราปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัวและไม่มีเจตนาแอบแฝงใดๆ นอกเหนือไปจากการเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็น และความเป็นธรรม อันเป็นปัจจัยสำคัญขั้นพื้นฐานที่ประชาชนในสังคมประชาธิปไตยพึงได้รับ และเป็นหัวใจของการทำงานเขียน ซึ่งผูกพันเกี่ยวข้องกับพวกเราและนักเขียนผู้ร่วมลงชื่อทั้งหมดโดยตรง”

ให้ตายเถอะ! นั่นคือเหตุผลที่ ‘ปราบดาและสาวก’ สำแดงเอาไว้ในแถลงการณ์อย่างเป็นทางการที่ปรากฏให้เห็นชัดทั้งหน้าและเสียง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้สังคมได้เข้าใจอีกเช่นเคยว่า การแก้ไขมาตรา 112 จะทำให้พวกเขามีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และความเป็นธรรม อันเป็นปัจจัยสำคัญขั้นพื้นฐานที่ประชาชนในสังคมประชาธิปไตยพึงได้รับและเป็นหัวใจของการทำงานเขียนนั้นหมายความว่าอย่างไร

ใช่หมายความว่า ‘ปราบดาและสาวก’ ต้องการให้แก้กฎหมายมาตรานี้เพื่อทำให้สามารถวิพากษ์วิจารณ์ถึงขนาดที่เรียกว่า ‘ด่า’ สถาบันได้โดยไม่มีความผิด ใช่หรือไม่ หรือการแก้มาตรา 112 จะเป็นประโยชน์ต่องานเขียนของ ‘ปราบดาและสาวก’ อย่างไร

‘ปราบดาและสาวก’ ไม่เคยตอบคำถามเหล่านี้ชัดเจน เพียงแต่พร่ำบ่น “งึมงำๆ” ว่า “มาตรานี้มีปัญหาและต้องแก้ไข” จนผู้คนอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมพวกเขาถึงอยากแก้มาตรานี้กันนักกันหนา !

มันจะทำให้พวกเขาก้าวขึ้นไปสู่ความมี ‘เสรีภาพ’ ในการทำงานเขียนถึงขีดจุดสุดยอดได้อย่างไร !?

ด้วยเหตุดังกล่าว จงอย่าแปลกใจถ้าหากสังคมจะตั้งคำถามกลับไปที่ ‘ปราบดาและสาวก’ บ้างว่า ในช่วงที่บ้านเมืองเกิดวิกฤต คนเสื้อแดงก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมือง ‘ปราบดาและสาวก’ เคยคิดใช้เสรีภาพในการเขียนของตนเองที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมทำจดหมายเปิดผนึกเพื่อเรียกร้องทวงถามความยุติธรรมให้กับสังคมบ้างหรือไม่

ถามว่า ‘ปราบดาและสาวก’ เคยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองต่อการ ‘ทุจริตคอร์รัปชัน’ ของนักการเมืองบ้างหรือไม่ และเคยเรียกร้องหรือมีจดหมายเปิดผนึกเพื่อแก้ไขบทลงโทษนักการเมืองชั่วๆ ให้หนักขึ้นกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ รวมถึงการกระทำอะไรที่ ‘ปกป้องสถาบัน’ ดังที่อ้างเอาไว้ในจดหมายเปิดผนึกถึงความจำเป็นที่จำต้องแก้มาตรา
112 ว่า “เป็นการนำเสนอแนวทางที่จะสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับสถาบันกษัตริย์ในระยะยาว” บ้างหรือไม่

ก็แล้วทำไมวันดีคืนดีในช่วงที่คนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยกำลังจะกลับมาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ‘ปราบดาและสาวก’ ถึงกล้าที่จะลุกขึ้นมาเพื่อขอแก้ไขกฎหมายมาตรานี้ ถ้า‘ปราบดาและสาวก’ ไม่ได้มีความคิดที่ดำเนินไปในท่วงทำนองเดียวกัน

หรือไม่รู้ว่ามันจะเป็นท่วงทำนองเดียวกันกับที่ว่ากันว่า มีผู้ชายหัวโล้นคนหนึ่งนั่งอยู่บนเที่ยวบินที่กำลังจะไป ‘ดูไบ’ โดยไม่รู้เหมือนกันว่า ‘ชายหัวโล้น’ ไปพบใครหลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง

คำถามที่หลายคนอยากรู้ ก็คือ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น ผู้เป็นบิดาของ ‘ปราบดา หยุ่น’ ได้พูดคุยกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนผู้มีหัวคิดก้าวหน้า เรียนจบเมืองนอกเมืองนา และถูกอบรมสั่งสอนให้เป็นผู้มี ‘อิสระทางความคิดและการใช้ชีวิต’ บ้างหรือไม่ หรือพูดแล้วเตือนแล้วแต่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนผู้มี ‘อิสระทางความคิดและการใช้ชีวิต’ ไม่ฟัง... หรือว่า อย่างไร ?

หรือกระทั่งสื่อในเครือเนชั่นเอง ทั้งเนชั่นสุดสัปดาห์ กรุงเทพธุรกิจ คมชัดลึก The Nation ต่างก็หุบปากสนิท ตั้งแต่วันแรกที่ ‘ปราบดา หยุ่น’ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ ลุกขึ้นมารวบรวมสาวกของเขาเรียกร้องให้แก้ไขมาตรา 112 บทความหรือรายงานพิเศษหลายชิ้นมิบังอาจแตะต้อง วิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถาม หรือแม้กระทั่งโจมตีการออกมาเรียกร้องของ ‘ปราบดา หยุ่น’ ถ้าจะมีก็แบบเลียบๆ เคียงๆ โดยพยายามหลีกเลี่ยงให้ห่างจากนักเขียนผู้มีนามสกุลว่า ‘หยุ่น’ ให้มากที่สุด

ไม่ต้องพูดถึงคอลัมน์ ‘กาแฟดำ’ หน้า 2 หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และรายการข่าวอันเข้มข้นเร้าใจใน ‘TPBS’ ที่มี ‘เทพชัย หย่อง’ ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ ‘ทีวีไทย’ ก็ไร้ซึ่งวี่แววของนักเขียนชื่อดังนาม ‘ปราบดา’ มาสร้างสีสันในประเด็น 112 อันโด่งดังนี้

แต่ก็เอาเถอะ คงไม่มีใครแปลกใจกับการทำหน้าที่ ‘สื่อ’ ในเครือเนชั่นต่อกรณีดังกล่าว ตรงกันข้ามหลายคนกลับเห็นใจคนทำงานที่ต้องอึดอัดมากกว่า แค่น่าเสียดายที่ไม่มีใครเขียนถึง ‘ปราบดา หยุ่น’ กับกรณีการออกมาเรียกร้องให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของคุณ ‘คุ่น’ เค้า ก็เท่านั้นเอง

กำลังโหลดความคิดเห็น