xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ผ่าแผนชั่ว “แยงกี้” “ศตวรรษแปซิฟิก” ปฏิบัติการล้มเจ้า-ฮุบขุมทรัพย์พลังงาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สนธิ ลิ้มทองกุล
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หลายคนอาจเคยสงสัยว่า ขบวนการล้มเจ้าในประเทศไทยเอาเงินเอาทองจากที่ไหนมาใช้ในการขับเคลื่อน

หลายคนอาจเคยตั้งคำถามว่า ทำไมนางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยถึงเห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในการลงโทษอ้ายอีที่มีพฤติกรรมอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

หลายคนอาจเคยตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติที่ในระยะหลังสหรัฐอเมริกาเข้ามาจุ้นจ้านวุ่นวายในภูมิภาคเอเชียมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งล่าสุดในประเทศพม่า

และหลายคนอาจจะต่อจิ๊กซอว์ถึงการก่อกำเนิดของ “กลุ่มนิติราษฎร์” ที่มี “วรเจี๊ยก-นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์” เป็นแกนนำว่า มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรในการแก้ไข ม.112 รวมถึงเชื่อมโยงกับใครหรือไม่

27 มกราคม พ.ศ.2555

เป็นอีกวันหนึ่งที่ประชาชนชาวไทยได้รับรู้ถึงกลเกมอันชั่วร้ายของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาที่กำลังปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ในการรุกคืบเข้ามาในทวีปเอเชียโดยมีที่มีทุนนิยมสามานย์เป็นธงนำโดยมีเป้าหมายเพื่อฮุบขุมทรัพย์พลังงาน ขณะเดียวกันก็จะได้รับรู้ถึงความเชื่อมโยงของเบื้องหน้าเบื้องหลังขบวนการล้มเจ้าในประเทศที่เปิดฉากปฏิบัติการเกมรุกอย่างหนักหน่วง รุนแรงและเหิมเกริมมากขึ้นทุกที ผ่านบทวิเคราะห์ของ “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือ ASTVผู้จัดการและแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ออกมาชำแหละข้อมูลในรายการ “คนเคาะข่าว” ตอน “ขบวนการล้มเจ้า”

ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ดังกล่าวได้รับความสนใจและเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งสื่อต่างชาติ อาทิ แลนด์ ดิสตรอยเออร์ รีพอร์ต ได้นำเนื้อหาไปเผยแพร่ต่อ ซึ่งได้สร้างความสั่นสะเทือนและกระชากหน้ากากแห่งความจอมปลอมได้อย่างหมดเปลือกทีเดียว

**ลอกคราบปฏิบัติการศตวรรษแห่งแปซิฟิก

ประเด็นสำคัญที่นายสนธิกล่าวถึงก็คือ “ความเชื่อมโยงของขบวนการล้มเจ้า” กับ “กลุ่มนิติราษฎร์” และ “กลุ่มทุนนิยมสามานย์” ที่มีสหรัฐอเมริการวมถึงชาติตะวันตกยืนทะมึนอยู่เบื้องหลังภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ใช้ชื่อว่า “ศตวรรษแปซิฟิก”

นายสนธิวิเคราะห์เครือข่าวดังกล่าวเอาไว้ว่า....จากปลายปี 2548 เป็นต้นมา สถาบันกษัตริย์และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถูกกัดกร่อนไปเรื่อยๆ ด้วยวิธีการทั้งใต้ดินและบนดิน โดยไม่สนใจว่าจะใช้วิชาวิชามารหรือวิธีการที่โสมมเพียงใด มาจนกระทั่งถึงเมื่อเร็วๆ นี้ ตัวตนที่แท้จริงของขบวนการล้มเจ้าได้โผล่ออกมาในนามของ"คณะนิติราษฎร์" ที่นำโดยเด็กรุ่นหลัง ซึ่งได้ทุนอานันทมหิดลไปเรียนที่ต่างประเทศ พร้อมทั้งคณะครูบาอาจารย์นักเขียน นักต่อสู้สมัย 14 ตุลาฯ ร้อยกว่าคนลงชื่อกัน
       
ทั้งนี้ สิ่งที่นายสนธิตั้งคำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีคณะนิติราษฎร์ ทำไมถึงมีกระบวนการเช่นนี้ แล้วทำไมถึงไม่มีใครทำอะไรกลุ่มคนเหล่านี้ได้

จากนั้นนายสนธิก็ได้เชื่อมโยงจิ๊กซอว์ทั้งหมดเข้าในด้วยกันว่า ขบวนการล้มเจ้ามีต้นสายปลายเหตุจากกระบวนการในต่างประเทศที่อันธพาลโลกสหรัฐอเมริกาที่ต้องการปล้นความมั่งคั่งของขุมทรัพย์พลังงาน โดยร่วมมือกับคนไทยที่ต้องการจะขายชาติ และต้องการจะล้มชาติ ล้มบ้านล้มเมือง

นายสนธิฉายภาพประวัติศาสตร์ในอดีตที่เชื่อมโยงกับถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันว่า หลังยุคสงครามเย็นที่โลกหมดยุคจากการถูกแบ่งออกเป็น 2 ค่ายคือ ค่ายเสรีที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ กับค่ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีโซเวียตรัสเซียเป็นผู้นำ ได้เกิดแนวความคิดที่สำคัญของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งขึ้นมา ซึ่งโลกรับรู้กันในชื่อ กลุ่มฉันทมติกรุงวอชิงตัน หรือ Washington Consensus

ทั้งนี้ เนื้อหาสำคัญของ Washington Consensus ก็การกำหนดว่า นับจากนี้ไปโลกจะต้องมีกติการ่วมกัน 4 ข้อคือ1. Liberalization หมายความว่าทุกประเทศวันนี้ต้องเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ ครอบคลุมการเปิดเสรีทางการค้า เปิดเสรีทางการบริการ การเงินการลงทุน ซึ่งคนจะได้ประโยชน์คือกลุ่มซึ่งมีทุนสากล และบริษัทระหว่างประเทศ หมายถึงกลุ่มทุนยักษ์ต่างๆ  2.Stabilization โลกจะต้องมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสถียรภาพของราคา และไม่สนใจปัญหาปลีกย่อยอย่างเช่นปัญหาการว่างงาน 3. Privatization คือการแปรรูป การแปรรูปคือการถ่ายโอนการผลิตของภาครัฐ เข้าไปสู่ภาคเอกชน เพราะเขาเชื่อว่าเอกชนนั้นมีความคล่องตัวในการทำงานมากกว่า ข้อที่ 4 ข้อสุดท้าย คือ Deregulation คือการลดการกำกับและการควบคุมของรัฐ ลดการแทรกแซงโดยรัฐ รวมถึงการลดขนาดของรัฐบาล
       
และผลของ Washington Consensus ก็ได้นำไปสู่การก่อกำเนิดขององค์กรสำคัญของโลก 3 องค์กรคือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ธนาคารโลก และองค์การการค้าโลก (World Trade Organization)  ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมา องค์กรเหล่านั้นก็เริ่มกระจายตัวและรุกคืบออกไปตามที่ต่างๆ
       
“2540 เมื่อเศรษฐกิจไทยพังทลาย IMF เข้ามาในประเทศไทย และยื่นเงื่อนไข 4 ข้อนี้ ว่า ถ้าจะได้ตังค์ไปช่วยประเทศไทยขณะนั้นต้องทำตาม คือประการแรก เปิดเสรีทางการเงิน คือให้ธนาคารต่างชาติเข้ามา สามารถทำนู้นทำนี่ได้ อันที่สองคือ เสถียรภาพของราคา อันที่สามคือ การที่เราต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ”นายสนธิอธิบาย

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญก็คือ การใช้เงินเกินตัว ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าว สหรัฐฯ ตัดสินใจเปลี่ยนหลักประกันของการพิมพ์ธนบัตรจากเดิมที่ใช้ทองคำมาเป็นเงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งส่งผลทำให้สหรัฐฯ สามารถจะพิมพ์เงินขึ้นได้ตลอดเวลา ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ก็เปิดฉากรุกรานประเทศต่างๆ ที่มีน้ำมันอย่างต่อเนื่อง ในตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นซาอุดีอาระเบีย คูเวต อิรัก ฯลฯ แล้วก็เอาบริษัทน้ำมันของตัวเองเข้าไปผูกขาดการผลิตน้ำมัน

แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่น้ำมันในตะวันออกกลางเดินทางมาถึงจุด Peak Oil คือเริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ประกอบกับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2551 ที่มีวิกฤตทางการเงินเกิดขึ้นซึ่งทำให้เศรษฐกิจอเมริกาพังทลาย แล้วลามไปจนถึงสหภาพยุโรป การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์จึงบังเกิดขึ้น นั่นคือการทิ้งตะวันออกกลางและรุกคืบเข้าสู่ทวีเอเชีย

นายสนธิกล่าวต่อว่า เมื่อตัดฉากกลับมาที่เอเชียก็จะพบว่า ขณะนี้ชนชั้นกลางในประเทศต่างๆ กำลังขยายตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในอินเดีย อินโดนีเซีย จีน กลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนที่พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ กลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกผลิตได้ในประเทศจีนหมด
       
“เศรษฐกิจจีนโตปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 20 ปีติดต่อกัน ของจีนนั้นเจริญเติบโตต่ำที่สุด คือ 9 เปอร์เซ็นต์ หรือ 8 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้จีนก็เลยขยายอิทธิพลออกมาในพื้นภูมิภาคนี้ โดยผ่านทะเลจีนตอนใต้ เข้ามาสู่ทางกลุ่มประเทศอาเซียน”
       
ภาพการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในเอเชียที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ การส่งนางฮิลลารี คลินตันตระเวนเดินทางเยือนประเทศต่างๆ  เพื่อสร้างสมดุลแห่งอำนาจในการต่อกรกับจีน รวมถึงล่าสุดที่นางคลินตันเดินทางไปเยือนพม่า ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีนโยบายบอยคอตพม่ามาโดยตลอด เช่นเดียวกับการเข้าไปในเวียดนามเพื่อให้ได้สิทธิในขุมทรัพย์พลังงานในทะเล หรืออินโดนีเซียที่มีทั้งน้ำมันและชนชั้นกลางจำนวนมหาศาล ซึ่งนั่นเป็นการประกาศให้เห็นชัดเจนว่า สหรัฐอเมริกาจะกลับมาที่เอเชีย-แปซิฟิก และจะอยู่ที่นี่อย่างถาวร และจะอยู่อย่างมั่นคง โดนจะมาร่วมกับหุ้นส่วนในประเทศนี้เพื่อทำการค้าขาย หรือถ้าแปลอย่างนักเลงคือ จะเข้ามาปล้นความมั่งคั่งพื้นภูมิภาคนี้

“ยุโรปพังทลายไปแล้ว อเมริกาก็พังทลายไปแล้ว เหลือแห่งเดียวเท่านั้นเองในโลกนี้ คือ พื้นภูมิภาคนี้เท่านั้นเองที่ยังคงความมั่งคั่ง คงความมั่งคั่งเพราะว่า ประชากรที่เป็นชนชั้นกลางกำลังเกิดขึ้น จีนประชากรชนชั้นกลางเกิดขึ้นเป็นร้อยล้านคน ประเทศไทยมีอยู่แล้ว เวียดนามกำลังเกิดขึ้น ฟิลิปปินส์กำลังเกิดขึ้น พม่าอีกหน่อยก็เกิดขึ้น อินเดียก็เริ่มมี อินโดนีเซียเพิ่งจะซื้อเครื่องบินโบอิ้งอเมริกา 100 กว่าลำ เป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท อเมริกาถึงรักอินโดนีเซียมาก”

“การที่นางฮิลลารี คลินตันไปเยือนฮานอยแล้วให้สัมภาษณ์ว่า ทะเลจีนใต้ เป็นทะเลสากล ใครจะไปใครจะมาก็ได้ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งมีสิทธิที่จะใช้ทะเลสากลเป็นทะเลของตัวเอง นั่นคือเป้าหมายที่อเมริกาชนกับจีนเต็มตัว โดยมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่แหล่งพลังงาน หนึ่งในนั้นคือปัญหาหมู่เกาะสแปรตลีย์ที่มีน้ำมันอยู่มากและหลายประเทศก็อ้างสิทธิเหนือดินแดนแห่งนี้ ทั้งจีน ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน มาเลเซีย เช่นเดียวกับปัญหาระหว่างไทยกับเขมรเหนือดินแดนปราสาทพระวิหารซึ่งสหรัฐฯ รู้ดีว่า จะมีผลต่อการลากเส้นดินแดนในอ่าวไทยที่มีขุมทรัพย์พลังงานมหาศาล”

**ลอกคราบกลยุทธ์ปล้นชาติ และปฏิบัติการล้มเจ้า
     
   นายสนธิให้ข้อมูลต่อว่า สำหรับวิธีการที่สหรัฐฯ รุกคืบและแทรกแซงประเทศต่างๆ นั้น ทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนผ่าน 1.องค์กรในการกำหนดนโยบายหรือที่เรียกว่า   Think Tank หนึ่งในนั้นคือ Brooking Institute,American Enterprises, Council of Foreign Affair(CFA) 2.องค์กรที่ทำหน้าที่ฝึกอบรมและให้ทุนสนับสนุน รวมทั้งขับเคลื่อนแผนการปฏิบัติการไปในตัว ซึ่งองค์กรที่สำคัญก็คือ องค์กรบริจาคเงินเพื่อประชาธิปไตย(National Endowment for Democracy) หรือ NED
       
ทั้งนี้ NED เป็นองค์กรที่รัฐสภาอเมริกาให้การสนับสนุนทางด้านเงินทอง โดยมีงบประมาณปีละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทุกปี หรือคิดเป็นเงินไทยราว 3,000 กว่าล้านบาท

สำหรับภารกิจสำคัญของ NED คือ ส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ และทุกประเทศที่มีการล้มล้างรัฐบาล แล้วเปลี่ยนรัฐบาลขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นยูเครน เบลารุส รัสเซีย อียิปต์ ตูนิเซีย ลิเบีย NED มีส่วนเกี่ยวข้องในการฝึกอบรมและจ่ายเงินจ่ายทอง

นอกจากนั้นยังมีอีก 2 มูลนิธิที่เกี่ยวข้องคือมูลนิธิร็อกกี้ เฟลเลอร์ และมูลนิธิฟอร์ด รวมทั้งมีองค์กรนิรโทษกรรมสากล(Amnasty International) องค์กรพิทักษ์ปกป้องสิทธิมนุษยชน(Human Rights Watch) มีหน้าที่ตีปี๊ปคอยกระพือข่าว       
        
      และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (CFR : Council on Foreign Relation (ดูแผนภูมิประกอบ) ซึ่งในความจริงแล้วควรจะเป็นสภาของประชาชน แต่กลับกลายเป็นว่า สมาชิกที่มีบทบาทสูงที่สุดในสภานี้ประกอบด้วยกลุ่มการเงิน เช่น โกลด์แมน แซคส์, มอร์แกน สแตนลีย์ ซิตี้กรุ๊ป หรือกลุ่มพลังงาน เช่น เชฟรอน เอ็กซอน หรือกลุ่มเทคโนโลยี เช่น เดลล์ คอมพิวเตอร์ ไอบีเอ็ม หรือกลุ่มอาหารและยา เช่น มอนซานโต้ ไฟเซอร์ เมิร์ก ชาร์ป แอนด์ โดห์ม หรือกลุ่มขายอาวุธสงคราม

และด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองที่ทำให้ กลุ่มทุนเหล่านี้เข้าไปครอบงำการเคลื่อนไหวขององค์กรเครือข่ายที่ได้รับทุนในประเทศต่างๆ ตามทิศทางที่ตนเองต้องการโดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายความเข้มแข็งอันเป็นรากฐานของสังคมและประเทศชาติ

“ในเมืองไทยก็ส่งมาที่ซ้ายอกหัก เอ็นจีโอบางกลุ่ม งานเคลื่อนไหวต่างๆ งานประชุม งานสัมมนา งานทำลายสถาบัน แม้กระทั่งคณะนิติราษฎร์ คนบางคนในคณะนิติราษฎร์ รับเงินจากตรงนี้ ตรงนี้ เพื่อมาดำเนินความเคลื่อนไหว เพราะว่า ไอ้ตรงนี้ไง ไอ้ CFR ตรงนี้ และบทความชิ้นหนึ่งที่เขียนโดย CFR ซึ่งใช้ชื่อว่า “Reform not Revolution for Thailand : ปฏิรูป ไม่ใช่ปฏิวัติในประเทศไทย” ระบุชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์ไทยคืออุปสรรคในการปฏิรูปประเทศ ก็ในเมื่อมันเป็นความคิดของคนพวกนี้ เวลาคนพวกนี้ให้เงินต่อมาเรื่อย มาถึงตรงนี้ มันจะไม่ผ่องถ่ายความคิดตรงนี้ มาถึงคนพวกนี้หรือ”       
       
นายสนธิกล่าวขยายด้วยว่า ที่ผ่านมา NED บริจาคเงินผ่านเอ็นจีโอไทยเกือบล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 30 ล้านบาท ซึ่งหนึ่งในองค์กรที่รับเงินจาก NED ที่คนไทยรู้จักกันดีก็คือ “เว็บไซต์ประชาไทย” โดยงบประมาณราว 70-80% ของเงินที่เว็บไซต์นี้ใช้มาจากงบประมาณของ NED

  “ถ้าเข้าไปดูเว็บไซต์ของ NED จะระบุชัดเลยว่าให้เงินใครบ้าง สำหรับ Thailand มีอยู่ก้อนให้ไป 500,000 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 15 ล้านบาท เอาไปให้จัดสัมมนากับผู้นำท้องถิ่นเพื่อให้เข้าใจบทบาท ส.ส.มากขึ้น”       
       
“นอกจากนั้น เงินก้อนนี้ก็มีอิทธิพลกับสื่อ เช่น CNN, The Economist เขียนเรื่องด่าประเทศไทยตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นของทักษิณ ชินวัตร เป็นของเสื้อแดงแล้วจะชม แต่พวกนี้หมดอำนาจเมื่อไหร่จะด่าประเทศไทยตลอดเวลา ถึงขั้นวิพากษ์วิจารณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อย่างตรงไปตรงมา และเลวทรามต่ำช้าที่สุด The Economist CNN หลายๆ ข่าว เช่น นายแดน ริเวอร์ ซึ่งเคยอยู่เมืองไทย เป็นผู้สื่อข่าวเมืองไทย มีภรรยาเป็นคนเสื้อแดง เป็นการรายงานข่าวเข้าข้าง ไม่ตรงข้อเท็จจริง”

“พอมาตรงนี้เงินพวกนี้ไปกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาล กลุ่มซ้ายอกหัก ซึ่งมีนักวิชาการเอ็นจีโอบางกลุ่ม เว็บไซต์ประชาไท งานใต้ดินเคลื่อนไหวล้มสถาบันกษัตริย์ อ้างเสรีภาพ จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ บ่อนทำลายให้ยกเลิกมาตรา 112 นี่ได้รับการสนับสนุนจากฝรั่ง มาถึงตรงนี้ เอาเงินมาสนับสนุนกลุ่มทุนสามานย์ แก้รัฐธรรมนูญ ทำลายการตรวจสอบ ยึดอำนาจ ยึดศาล ยึดทหาร ซื้อทหาร ยึดการเมือง นักวิชาการ ส่งเสริมค่านิยมโลกและทุนไร้พรมแดน”นายสนธิอธิบาย

นายสนธิขยายความเพิ่มเติมกรณี CFR เขียนบทความระบุว่า พระมหากษัตริย์ไทยคืออุปสรรคในการปฏิรูปประเทศว่า เรื่องดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นปรัชญาที่อยู่ฝากตรงข้ามกับลัทธิทุนนิยมสามานย์

“ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทำให้พวกนี้กลัว มันกลัวตรงไหน มันกลัวตรงที่ว่า ถ้าประเทศไทยมีเศรษฐกิจพอเพียง แล้วประเทศไทยรอด ในขณะซึ่งประเทศเพื่อนบ้านไม่รอด มันจะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านมาเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง แล้วก็ใช้นโยบายเศรษฐกิจพอเพียง จะทำให้ไอ้พวกทุนบ้าทุนบอนี้จะมาสูบความมั่งคั่งจากประเทศไทย หรือประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้อีกต่อไป พระองค์ท่านศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเป็นอะไรที่แก้โรคหมกมุ่นในกิเลสของทุนนิยม ได้”
       
นายสนธิกล่าวต่อว่า ปัญหาสำคัญก็คือ การทำลายประเทศไทยเดินไปตามเส้นทางที่ต้องการยาก เนื่องจากประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นศูนย์รวมจิตใจ โดยพสกนิกรของประเทศมากกว่า 90เปอร์เซ็นต์เทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ดังนั้น กุญแจสำคัญของกลุ่มคนพวกนี้ก็คือ ต้องทำลายฐานที่มั่นที่สำคัญที่สุดที่อยู่ในจิตใจของประชาชนคนไทย นั่นก็คือต้องหาทางที่จะสั่นคลอนและทำให้สถาบันกษัตริย์ล่มสลาย และไม่มีอะไรดีเท่ากับการเริ่มด้วยมาตรา 112

“ที่ผมพูดมานี้ ทักษิณคือตัวละครตัวหนึ่ง หมดทักษิณก็มีตัวละครอีกตัวขึ้นมาแทน เพราะอะไร เพราะสันดานนักการเมืองเหมือนกันหมด เล่นการเมืองเพื่อตัวเองไม่ได้เล่นการเมืองเพื่อชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นที่น่าสนใจ พวกแกนนำเสื้อแดง เช่น นายสุนัย จุลพงศธร นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และ อ.ธเนศร์ เจริญเมือง อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3 คนนี้เคยไปที่อเมริกาแล้วพบพวกนี้มาแล้วที่วอชิงตัน ดี.ซี. เหมือนกับไปรับนโยบาย แล้วไปคุยโม้เจอคนนู้นเจอคนนี้เรียบร้อยแล้ว จริงๆ ไปรับงานเขามา อาจจะไม่รู้ตัวซะด้วยซ้ำ พวกนี้สมัยก่อน ถ่ายรูปเสื้อแดงยืนอยู่ชิคาโก คนไทยที่ชิคาโกกลุ่มพวกนี้ก็โง่จริงๆ ไม่รู้เลยว่าเป็นเครื่องมือให้อเมริกาเข้ามาล้มพระเจ้าอยู่หัวตัวเอง มีหมอโง่ๆ บางคนอยู่ชิคาโก น่าเสียดาย แล้วมาโม้ว่า ตัวเองไปพบมาแล้วคนนู้นคนนี้ ภูมิใจว่าฝรั่งให้เกียรติ แต่หารู้ไม่ว่า นี่คือเกมที่ฝรั่งวางไว้”

“ประเทศไทยจะอยู่ได้ จากนี้ไปด้วย 2 อย่างเท่านั้นเอง อย่างแรก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เราต้องปกป้องสถาบันกษัตริย์เยี่ยงชีวิต ถ้าจะต้องออกมาสู้แล้วต้องตายเพื่อในหลวง ต้องยอมที่จะตายกันทุกคน เพราะพระองค์ท่านเป็นมากกว่าคำว่า ในหลวง เพราะมีพระองค์ท่าน ฝรั่งถึงยึดประเทศไทยไม่ได้”       
     
  “อย่างที่สองเราต้องรักชาติ ถามว่า ในวิกฤตบ้านเมืองแบบนี้ เราจะอยู่ตัวรอดได้ไง เราต้องอยู่รอดด้วยการรักชาติให้มากขึ้น และเมื่อถึงเวลาที่ต้องแสดงออก อย่าให้รีรอ ชาติไม่มีสี ประชาชนของชาติ เมื่อมีความสุขความเจริญก้าวหน้า ชาติเจริญ เราได้เปรียบทุกๆ ชาติ เพราะเรามีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะเอาพระเจ้าอยู่หัวฯเราไปเปรียบกับกษัตริย์คนอื่นไม่ได้ จะไปเปรียบกับจักรพรรดิญี่ปุ่นไม่ได้ คนละรูปแบบ คนละเงื่อนไข เพราะฉะนั้น พระเจ้าอยู่หัวฯ ต้องอยู่ประเทศไทยถึงจะรอด และพวกเราต้องรักชาติ ความรักชาติมันเกิดขึ้น ใครก็ตามที่จะเข้ามาประเทศ มารังแกประเทศไทยไม่ได้”นายสนธิสรุปทิ้งท้าย                             

ทั้งนี้ ฉับพลันทันทีที่บทวิเคราะห์ของนายสนธิเผยแพร่ออกไปปรากฏว่ามีสื่อต่างชาติให้ความสนใจและนำไปขยายความต่อ หนึ่งในนั้นก็คือ “แลนด์ ดิสตรอยเออร์ รีพอร์ต”
     
สำหรับข้อมูลที่น่าสนใจซึ่ง “แลนด์ ดิสตรอยเออร์ รีพอร์ต” นำเสนอมีหลายประเด็นด้วยกัน

ประเด็นแรกคือ-พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยตั้งแต่ปี 2001 จนกระทั่งถูกรัฐประหารเมื่อปี 2006 เคยเป็นอดีตที่ปรึกษาให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ Carlyle Group ของอเมริกา และส่งรายงานถึง CFR ในนครนิวยอร์กก่อนจะถูกปฏิวัติเพียง 1 วัน ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ทักษิณ พยายามผลักดันสนธิสัญญาเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐฯ แม้จะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาก็ตาม และเมื่อเดือนเมษายนปี 2011แกนนำกลุ่มเสื้อแดงก็ได้เดินทางไปยังสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (USABC) ซึ่งมีส่วนสนับสนุนสนธิสัญญาเขตการค้าเสรีเมื่อปี 2004 ด้วย

ทั้งนี้ สภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน ประกอบด้วย บริษัทใหญ่ๆ เช่น 3M, Bechtel, Boeing, Cargill, Citigroup, General Electric, IBM, Monsanto และล่าสุดยังรวมถึง Goldman Sachs และ JR Morgan, Lockheed Martin, Raytheon, Chevron, Exxon, BP, Glaxo Smith Kline, Merck, Northrop Grumman, Syngenta และ Philip Morris ซึ่งถ้าจะว่ากันแล้ว กลุ่มบริษัทเหล่านี้ดูจะมีความเชื่อมโยงกับคำว่า สังหารหมู่, ทุจริตคอร์รัปชัน, สงคราม และความทุกข์ทรมานของมนุษย์ มากกว่านโยบาย “ประชาธิปไตย” และ “สังคมเปิด” ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สัญญาว่าจะสร้างให้เกิดมีขึ้นในประเทศไทย

ที่สำคัญคือ หลังการปฏิวัติปี 2006 เป็นต้นมา นักการเงินจากบริษัทล็อบบี้ยิสต์อเมริกันจำนวนมากอาสาเป็นปากเสียงให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่น เคนเนธ เอเดลแมน จากบริษัทโฆษณา Edelman, เจมส์ เบก จาก Baker Botts (CFR), โรเบิร์ต แบล็กวิลล์ จาก Barbour Griffith & Rogers (CFR), Kobre&Kim และล่าสุด โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) นอกจากนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงยังได้รับแรงเชียร์จากเอ็นจีโอที่สหรัฐฯ หนุนหลังอยู่ เช่น ประชาไท เป็นต้น

ประเด็นถัดมาที่ แลนด์ ดิสตรอยเออร์ รีพอร์ต นำเสนอคือ หลังคำกล่าวของนายสนธิถูกเผยแพร่ออกไป เว็บไซต์ประชาไท ซึ่งรับทุนสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ออกมาตอบโต้ทันที โดยระบุว่า เงินจำนวนหลายล้านบาทต่อปี ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มอบผ่าน NED นั้น “ไม่มีอิทธิพลใดๆ ต่อข่าวที่นำเสนอ” ทั้งที่บทบาทของ NED ในการบ่อนทำลายและโค่นล้มรัฐบาลอาหรับตลอดปี 2011 ที่ผ่านมานั้นเป็นที่ทราบกันดี ยังไม่รวมถ้อยแถลงยอมรับที่เผยแพร่ลงหนังสือพิมพ์ นิวยอร์ก ไทม์ส ในหัวข้อ “องค์กรสหรัฐฯสนับสนุนการปฏิวัติในโลกอาหรับ” ซึ่งมีใจความว่า….

“กลุ่มและบุคคลต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการปฏิวัติและปฏิรูปทั่วภูมิภาคอาหรับ เช่น ขบวนการเยาวชน 6 เมษายนในอียิปต์, สถาบันสิทธิมนุษยชนในบาห์เรน รวมถึงนักเคลื่อนไหวรากหญ้าอย่าง เอ็นซาร์ กอดี ผู้นำเยาวชนในเยเมน ล้วนได้รับการฝึกฝนและสนับสนุนเงินทุนจากองค์กรของสหรัฐฯ เช่น สถาบันรีพับลิกันนานาชาติ, สถาบันประชาธิปไตยแห่งชาติ และ ฟรีดอม เฮาส์ ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนไม่แสวงหาผลกำไรในวอชิงตัน”

“สถาบันรีพับลิกันและประชาธิปไตยมีสายสัมพันธ์ห่างๆ กับพรรครีพับลิกัน และเดโมแครต องค์กรทั้งสองก่อตั้งและได้รับเงินสนับสนุนจากองค์กรบริจาคเงินเพื่อ ประชาธิปไตย (NED) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1983 เพื่อสนับสนุนประชาธิปไตยในประเทศกำลังพัฒนา NED ได้รับงบประมาณราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปีจากสภาคองเกรส ในขณะที่ ฟรีดอม เฮาส์ ได้รับทุนสนับสนุนส่วนใหญ่จากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ”

ทั้งนี้ แลนด์ ดิสตรอยเออร์ รีพอร์ต รายงานด้วยว่า ความหน้าไหว้หลังหลอกของ NED ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะเมื่อปี 1993 โนม ชอมสกี นักภาษาศาสตร์และนักเคลื่อนไหวชื่อก้องของสหรัฐฯ ก็เคยวิจารณ์การรณรงค์ประชาธิปไตยของ NED ในนิคารากัว ว่า “นี่คือสิ่งที่คาดเดาได้จากการรณรงค์ประชาธิปไตยแบบ 2 ขั้ว มันคือความพยายามยัดเยียดสิ่งที่คุณเรียกว่าประชาธิปไตย ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเพียงการปกครองโดยกลุ่มคนร่ำรวยและมีอำนาจ โดยปราศจากม็อบมาคอยรบกวน และยังอยู่ในกรอบของการเลือกตั้งเท่านั้น”

นอกจากนี้ ในการเสวนาเรื่อง “Activating Human Rights & Peace” ณ มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น ครอสส์ ของออสเตรเลีย ยังกล่าวถึงบทบาทของ NED ว่า “ทำหน้าที่หลายอย่างที่แต่เดิมเป็นภารกิจของ ซีไอเอ”
       
….นี่คือความจริงที่คนไทย สังคมไทยและทุกคนควรรู้ถึงปฏิบัติการอันชั่วร้ายของสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อ “ศตวรรษแห่งแปซิฟิก” ที่มีเป้าหมายเพื่อฮุบขุมทรัพย์พลังงานและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย


กำลังโหลดความคิดเห็น