ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
บางที คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจยังไม่รู้ตัวว่าผู้คนจำนวนมากในสังคมไทยและสังคมโลกคิดและรู้สึกอย่างไรกับเธอ อาจเป็นเพราะว่าบริวารผู้ห้อมล้อมเธอประจบสอพลอ ยกย่องเธอว่าเป็นยอดหญิงที่เปี่ยมไปด้วยปัญญาฉลาดหลักแหลม มีผู้ชื่นชมสนับสนุนเป็นจำนวนมาก และคงปิดกั้นเธอจากข่าวสารที่วิพากษ์วิจารณ์เธอในทางลบออกไปจนหมด เธอจึงตกอยู่ท่ามกลางมายาภาพที่บรรดาผู้ต้องการใช้เธอเป็นเครื่องมือสร้างขึ้นมา แต่บางที่เธออาจเต็มใจอยู่ในโลกแห่งจินตนาการเช่นนี้ก็ได้
สิ่งที่บ่งบอกให้ทราบว่าเธอล่องลอยอยู่ในความฝันคือ การตอบคำถามผู้จัดรายการเสวนาในเวทีประชุมผู้นำระดับโลกที่ดาวอส เธอตอบคำถามพิธีกรด้วยภาษาอังกฤษโดยมีท่วงทำนองการพูดอย่างมั่นใจ และไม่ติดขัด แต่ทว่าสิ่งที่เธอพูดออกมานั้นคงหาผู้ที่เข้าใจได้ยากว่าเธอต้องการสื่อสารเรื่องอะไร เพราะโครงสร้างและคำภาษาอังกฤษที่เธอใช้ผิดทั้งไวยากรณ์และความหมาย เมื่อเธอพูดจบ พิธีกรก็พูดว่า เธอพูดภาษาอังกฤษดีกว่าตัวพิธีกรเสียอีก พูดจบปรากฏว่าผู้ฟังหัวเราะและตบมือ แต่ไม่ทราบว่าเธอตีความคำพูดและการกระทำเหล่านั้นอย่างไร
เป็นไปได้ว่าในขณะนั้นเธออาจรู้สึกตัวลอยด้วยความภาคภูมิใจเพราะตีความว่าสิ่งที่พิธีกรพูดเป็นคำชมเชย และเสียงปรบมือของผู้ฟังเธออาจเข้าใจว่าเป็นการปรบมือชื่นชมให้แก่เธอ แต่สำหรับผู้ที่พอจะมีความรู้ภาษาอังกฤษอยู่บ้าง เมื่อมาฟังและอ่านสิ่งที่เธอพูดวันนั้น การตีความคำพูดของพิธีกรและเสียงปรบมือจากผู้ฟังย่อมแตกต่างออกไปจากสิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์ตีความ
ความหมายแห่งคำพูดของพิธีกรในวันนั้นเป็นไปในเชิงเสียดสีและดูหมิ่นซึ่งทำให้คุณยิ่งลักษณ์กลายเป็นตัวตลกระดับโลก เหตุผลง่ายๆ คือเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่คุณยิ่งลักษณ์จะใช้ภาษาอังกฤษดีกว่าพิธีกรในเวทีระดับโลกเช่นนั้น คนที่ถูกเลือกมาเป็นพิธีกรสำหรับเวทีระดับสากลต้องมีความสามารถสูงมากในการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วและเชียวชาญ ส่วนเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือของคนฟังในเวทีนั้น เป็นการปรบมือให้กับพิธีกรที่สามารถพูดเรื่องตลกให้พวกเขาฟังได้ และเป้าหมายของความตลกก็คือตัวคุณยิ่งลักษณ์นั่นเอง
จนถึงวันนี้คุณยิ่งลักษณ์อาจยังไม่ทราบว่าตนเองกลายเป็นตัวตลกระดับโลกไปแล้ว เพราะเธอคงไม่กล้าเปิดเทปที่ตัวเองพูดและไม่กล้าอ่านในสิ่งที่มีคนถอดเทปออกมา พูดง่ายๆคือเธอปิดกั้นข้อมูลข่าวสารที่ทำให้ตนเองต้องรู้สึกอับอาย แน่นอนว่าทีมงานของเธอคงมีส่วนสำคัญในการกรองข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เป็นด้านลบเกี่ยวกับตัวเธอออกไปจากการรับรู้ของเธอ เพราะเมื่อไรก็ตามที่เธอรับรู้ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้เธออาจหัวใจสลายไปก็ได้ และอาจมีผลต่อสุขภาพด้านจิตใจของเธอด้วย
การเป็นผู้นำประเทศไม่จำเป็นต้องมีภาษาอังกฤษดีก็ได้ เพราะแต่ละประเทศย่อมมีภาษาของตนเอง แต่ผู้นำก็ต้องตระหนักในเรื่องนี้และยอมรับสภาพความเป็นจริง โดยไม่พยายามอวดโอ้ในสิ่งที่ตนเองไม่ชำนาญ ดังนั้นเมื่อจำเป็นต้องพูดต่อเวทีนานาชาติก็ควรใช้ภาษาของตนเองเป็นหลักซึ่งจะทำให้การสื่อความหมายได้ตรงตามที่ต้องการ และใช้ล่ามผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาษาเป็นผู้แปลอีกทีหนึ่ง การพยายามทำในสิ่งที่ตนเองมีทักษะไม่ดี ผลลัพธ์คือเสียงหัวเราะเยาะ ดังที่คุณยิ่งลักษณ์ประสบนั่นแหละ
คุณยิ่งลักษณ์ไม่ควรลืมด้วยว่าตนเองไปประชุมในนามประเทศไทย การหัวเราะเยาะของชาวโลกที่มีต่อตัวคุณยิ่งลักษณ์ ย่อมหมายถึงการหัวเราะเยาะคนไทยทั้งประเทศ คนไทยจึงกลายเป็นตัวตลกในระดับสากลอันเป็นผลมาจากการกระทำของคุณยิ่งลักษณ์ไปด้วย แต่เหตุการณ์และความหมายแห่งพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในเวทีนานาชาติครั้งนั้น อาจยังไม่สามารถทำให้คุณยิ่งลักษณ์เข้าใจและตระหนักถึงสภาพความเป็นจริงของตนเองเท่าไรนัก
แต่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2555 ใน “งานสัมมนาถอดรหัสจีดีพีปี 55” ” ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ที่ห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี น่าจะส่งผลให้คุณยิ่งลักษณ์ต้องเกิดความคิดและความรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้างเกี่ยวกับสถานภาพตัวตนของเธอ หากเธอยังมีจิตใจในระดับเดียวกับสามัญชนทั่วไปที่ยังไม่บรรลุธรรมหรือไม่ป่วยเป็นโรคจิตตายด้าน
ข่าวจากเว็บไซต์ผู้จัดการเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2555 ระบุว่า คุณยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องขึ้นกล่าวเปิดงานสัมมนาและปาฐกถาพิเศษบนเวที หัวข้อ “มุมมองเศรษฐกิจปี 55” ในเวลา 10.10 น. แต่เมื่อถึงเวลานายกรัฐมนตรีไม่สามารถขึ้นปาฐกถาได้ เนื่องจากผู้เข้าร่วมงานสัมมนามีจำนวนน้อยมาก โดยส่วนใหญ่เป็นผู้สื่อข่าวสายการเมืองประจำทำเนียบรัฐบาลที่ติดตามภารกิจประจำวันนายกรัฐมนตรี ส่วนผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจมีจำนวนน้อยมาก ขณะที่นักธุรกิจซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของงานและควรเป็นผู้เข้าร่วมงานสัมมนากลับแทบไม่ปรากฏตัวในงาน จนต้องระดมผู้ช่วยผู้สื่อข่าว ช่างภาพ พนักงานแบงค์ และเด็กฝึกงานไปนั่งฟัง ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งนั่งพักอยู่ภายในห้องรับรองของทางโรงแรมมีอาการหงุดหงิดและขุ่นเคือง และพยายามตรวจสอบเป็นระยะว่าผู้เข้าร่วมงานเต็มห้องแล้วหรือยัง ต่อมาในเวลา 10.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงตัดสินใจขึ้นกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษในที่สุด
ผมอ่านข่าวนี้แล้วเกิดความรู้สึกอเนจอนาถใจ ระคนสงสารเวทนานายกหญิงผู้นี้ยิ่งนัก ปรากฎการณ์ในวันนั้นสะท้อนภาพความคิดรู้สึกของผู้คนในวงการธุรกิจที่มีต่อตัวเธออย่างชัดแจ้ง ว่าพวกเขาไม่ยอมรับเธอ จึงแสดงพฤติกรรมโดยการไม่ไปเข้าร่วมรับฟังการปาฐกถาของเธอ ทั้งที่โดยปกติหากคนระดับนายกรัฐมนตรีให้เกียรติไปพูดในที่ใด ก็จะมีผู้สนใจเข้ารับฟังเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลผู้มีความเกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือประเด็นที่นายกรัฐมนตรีพูด
ครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกที่เธอประสบกับความเป็นจริงอันเจ็บปวดด้วยตนเองและคงสร้างความบอบช้ำทางจิตใจแก่เธอไม่น้อย ในเวลาต่อมาเมื่อนักข่าวถาม เธอจึงตอบด้วยอาการน้ำตาคลอเบ้า การเผชิญกับความจริงในวันนั้นแตกต่างจากสิ่งที่เธอเคยประสบในอดีต ตลอดหกเดือนที่ผ่านมาสิ่งที่เธอเผชิญหน้าโดยตรงอย่างหนักๆก็มีแต่คำถามอันแหลมคมของนักข่าวบางคน แต่ก็ไม่สาหัสสากรรจ์เท่าไรนัก เพราะหากตอบไม่ได้ก็พยายามหาทางเลี่ยงออกไป อีกทั้งในกลุ่มนักข่าวสายทำเนียบ ก็มีนักข่าวบางคนที่ถามในเชิงช่วยเหลือเธอด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนักข่าวแล้วการวิพากษ์วิจารณ์ที่เธออาจได้ยินบ้างก็มาจากพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งก็เป็นเรื่องไม่หนักหนาสาหัสประการใด เพราะสามารถคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าฝ่ายค้านต้องวิจารณ์แน่ๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พอจะรับมือได้
สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องเกี่ยวกับสติปัญญาอันจำกัดของนายกรัฐมนตรี แม้จะมีอย่างหนาหูและเป็นที่ทราบกันดีอยู่ในสังคม แต่เสียงเหล่านั้นคงเข้าไปไม่ถึงประสาทการรับฟังหรือการมองเห็นของเธอ เพราะเธอทั้งปิดกั้นตนเองและมีสมุน บริวารของพี่ชายคอยปิดกั้นให้
โลกแห่งความเป็นจริงของคุณยิ่งลักษณ์จึงเป็นอีกโลกหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยความสวยงามและน่ารื่นรมย์ เป็นโลกที่ห้อมล้อมด้วยข้อมูลข่าวสารในทางที่ชื่นชมตัวเธอ ถ้อยคำอันหวานหูถูกส่งไปโดยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อย่างต่อเนื่อง ดังครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมกราคม 2555 ซึ่งสรุปความได้ว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีบุคลิกภาพทั้งสวย รวย เก่ง อยู่ในตัวครบ ฝรั่งบอกว่าหายาก แต่ทุกอย่างอยู่ในตัวของคุณยิ่งลักษณ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่ไม่ใส่ร้ายป้ายสีใคร เป็นคนประนีประนอม ปรองดอง สมานฉันท์ สอดคล้องกับสังคมไทย จึงได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะไปที่ไหน สิ่งที่เห็นคือมีคนมาต้อนรับอย่างมืดฟ้ามัวดิน คนด่าคุณยิ่งลักษณ์ในสื่อโซเชียลมีเดียเต็มที่แค่ 2 แสนคน แต่มีคนชื่นชอบมากถึง 20 ล้านคน”
นั่นคือโลกความเป็นจริงในการรับรู้ของคุณยิ่งลักษณ์ อันเกิดจากบรรดาสมุนบริวาร สาวกของพี่ชายร่วมกันสร้างขึ้นมาเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจอันบอบบางของเธอ และส่งผลให้การรับรู้ความเป็นจริงด้านอื่นเกี่ยวกับตัวตนของเธอจึงมีอยู่จำกัด เธอไม่ทราบแม้เพียงแต่น้อยว่า ผู้คนในสังคมจำนวนมหาศาลในหลากหลายกลุ่มอาชีพไม่ยอมรับสติปัญญาและภาวะผู้นำของเธอ บางกลุ่มถึงกับรู้สึกขัดเคือง ชิงชัง และสมเพชเวทนาตัวเธอ รวมทั้งรู้สึกอับอายที่มีเธอเป็นผู้นำประเทศ อารมณ์ความรู้สึกดังกล่าวของผู้คนเมื่อถึงจังหวะเวลาและโอกาสก็แสดงออกมาในรูปของพฤติกรรมและการกระทำทางสังคม ดังที่นักธุรกิจแสดงออกมาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในวันที่ 1 ก.พ. 2555 ที่ผ่านมา
กระแสอารมณ์ของการไม่ยอมรับในตัวคุณยิ่งลักษณ์ นับวันจะแพร่ขยายลุกลามออกไปในทุกกลุ่มอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย และทุกภูมิภาค เพราะยิ่งวันเวลาผ่านไป คุณยิ่งลักษณ์ก็ยิ่งพิสูจน์ให้ผู้คนในสังคมไทยและสังคมโลกเห็นแล้วว่า เธอไร้ความสามารถและบารมีอย่างสิ้นเชิงในการนำพาบริหารประเทศ สิ่งที่เธอเป็นคือ เธอได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความอับอายของสตรีไทยทั่วไปผู้มีปัญญาและความสามารถ และเหตุการณ์ที่ดาวอสทำให้เธอยกระดับกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความอับอายของคนทั้งประเทศ ผู้คนบางกลุ่มจึงกำหนดสถานภาพของเธอให้เป็นเพียง “พริตตี้อ่านโพย” เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดานักธุรกิจผู้มีความรู้ความสามารถจะปฏิเสธการเข้าไปรับฟังการปาฐกถาของเธอ หวังว่าบทเรียนที่เธอได้จากวันที่ 1ก.พ.2555 คงทำให้เธอเกิดความตระหนักและสำนึกถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับตนเองมากขึ้น เธอคงได้เรียนรู้ความเป็นจริงในอีกด้านหนึ่งซึ่งเธอไม่เคยรับรู้มาก่อน และบางทีเธออาจยอมรับสภาพความเป็นจริง ไม่ฝืนอยู่ในตำแหน่งผู้นำรัฐบาลเพื่อพี่ชายอีกต่อไป และตัดสินใจในทางที่เป็นคุณแก่ประเทศ
แต่หากเธอยังยืนกรานอยู่ในโลกแห่งความฝันของเธอต่อไป ผมคิดว่าก็คงเป็นหน้าที่ของคนไทยกลุ่มต่างๆ ที่ต้องช่วยเปิดประสาทการรับรู้ของเธอให้มากและบ่อยขึ้น เพื่อทำให้เธอตื่นจากความฝัน ออกจากโลกแห่งจินตนาการ และยอมรับกับสภาพความเป็นจริงว่า ที่แท้เธอนั้นคือปัญหาของประเทศไม่น้อยพี่ชายของเธอ