“ยิ่งลักษณ์” โวตัวเลขนักท่องเที่ยว ปี 54 ขยายตัวมากกว่าปี 53 ร้อยละ 20 ทำรายได้ 7.3 แสนล้าน เชื่อ อนาคตธุรกิจท่องเที่ยวแข่งขันสูง จึงต้องมีการวางยุทธศาสตร์ ร่วมกัน เตรียมเสนอตัวไทยเป็นเจ้าภาพ WEF เพื่อดึงนักธุรกิจใช้เงิน
วันนี้ (30 ม.ค.) ที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “นโยบายรัฐบาล ต่อการท่องเที่ยวไทย ในอนาคต” และกล่าวเปิดงานเสวนา “มุมมองการท่องเที่ยวไทย ในอนาคต” จัดโดยสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (สสทท.) โดยมีสาระสำคัญดังนี้ การท่องเที่ยวที่ผ่านมาเริ่มมีผลกระทบตั้งแต่การปิดสนามบิน จนมาถึงวันนี้ตนขอชื่นชมและให้กำลังใจ เพราะทุกท่านได้ฝันฝ่าอุปสรรค รวมถึงผลกระทบจากน้ำท่วมที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราดูตัวเลขการท่องเที่ยว ปี 2554 มีนักเที่ยวเข้ามาสูงถึง 19.1 ล้านคน ซึ่งขยายตัวมากกว่าปี 2553 ประมาณกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ และทำรายได้ให้กับการท่องเที่ยวประมาณ 730,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดีที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการขยายตัวนี้ต้องได้รับความมั่นใจและการฟื้นฟู และเป็นหน้าที่ของ สสทท.และรัฐบาล รวมถึงคนไทยทั้งประเทศต้องร่วมฟื้นฟูประเทศ เพราะธุรกิจการท่องเที่ยวเป็นเรื่องสำคัญสร้างรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งสะท้อนเอกลักษณ์ วัฒนธรรม และสิ่งที่ดีงานของประเทศไทย
นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ธุรกิจการท่องเที่ยวเป็นต้นกำเนิดธุรกิจต่างๆ ที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่จะเห็นในอนาคตคือธุรกิจการท่องเที่ยวจะมีการแข่งขันที่สูง เพราะว่าการท่องเที่ยวจะเกิดขึ้นมากมาย สิ่งที่อยากเห็น คือ เราต้องมาร่วมกันกำหนดกลยุทธ์และวางแผนทิศทางข้างหน้ารวมกัน ซึ่งอนาคตข้างหน้าต้องวางยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวที่ชัดเจน เพื่อที่เราจะเตรียมตัวในเรื่องของการต่อสู้สภาวะต่างๆ สร้างความมั่นใจกลับคืนมาให้กับประเทศไทย และการเตรียมตัวเปิดประตูสู่อาเซียน
นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวถึงการไปเยือนประเทศอินเดียอย่างเป็นทางการ ซึ่งตนยกตัวอย่างสำหรับการท่องเที่ยว ว่า หากประชากรอินเดีย มี 1,200 ล้านคน ขอกำลังซื้อจากคนชั้นกลาง 120 ล้านคน ขอคนรวย 12 ล้านคน หากกลุ่มเหล่านี้มาเมืองไทยจะเกิดอะไรขึ้น เพราะคนอินเดียชอบมาประเทศไทยและมาจัดงานแต่งงาน แต่หากเราเจาะตลาดการแข่งขัน โดยมีการต่อยอดจากงานแต่งงานไป ส่วนการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ที่เป็นการประชุมรวมภาครัฐบาล ผู้นำและเอกชนร่วมกัน ซึ่งเป็นการประชุมที่มีมากว่า 40 ปี ตนจึงมองถึงธุรกิจการประชุม เพราะการประชุมดาวอสมีผู้นำประเทศมา 1 ท่านแต่มีผู้ติดตามมากมาย โรงแรมเต็มหมดทั้งเมือง ตรงนี้ก็เป็นธุรกิจได้ ซึ่งเราจะมีการจัดให้ประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพการประชุม WEF ครั้งที่ 2 ในระหว่างวันที่ 30 พ.ค.-1 มิ.ย.ตนก็จะอยากจะเห็นภาพที่เมืองเต็มไปด้วยผู้นำและนักธุรกิจที่มาจับจ่ายใช้สอย
นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะใช้เวทีของรัฐบาลเจรจาเพื่อเสริมการท่องเที่ยวทั้งในรูปแบบการจัดประชุมสัมมนา และการเปิดเจรจาประเทศใหญ่ๆ เพื่อเสริมการท่องเที่ยวของไทยและประเทศอื่นๆ ตนขอยืนยันว่า จะปรับปรุง พัฒนาการท่องเที่ยวให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกทั้งเรื่องของภาครัฐ เอกชน ซึ่งเราจะต้องเตรียมตัวว่าในอีก 4 ปีข้างหน้าทิศทางของธุรกิจท่องเที่ยวจะเปิดสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ซึ่งจะมีการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพราะประเทศเพื่อนบ้านจะเดินทางมาหาเราได้ง่ายขึ้น ซึ่งเราต้องดูว่าจุดเด่นของประเทศไทยอยู่ตรงไหน คือ มีวัฒนธรรมเอกลักษณ์ที่ดีซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่เราเริ่มทำ และการเชื่อมต่อไปสู่ประตูอาเซียน ซึ่งจะเป็นมิติหนึ่งที่จะลงไปสู่การสัมมนาภาคธุรกิจในอีก 4 ปีข้างหน้า และรัฐบาลพร้อมแสดงให้เห็นถึงจุดเด่นและจุดขายของประเทศไทย ตนฝาก สสทท.ในการเชื่อมต่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพในวงการท่องเที่ยว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ประเทศมีของดีเยอะ ตนมีโอกาสให้นโยบายกับทางผู้ว่าราชการจังหวัด และได้วางแผนทำยุทธศาสตร์ร่วมกัน ซึ่งทางจังหวัดก็ต้องหาจุดเด่นของจังหวัดว่ามีอะไรบ้าง และจะร่วมกันพัฒนาเส้นทางคมนาคม เพื่อให้การท่องเที่ยวในประเทศไทยดีขึ้น และเราต้องร่วมมือกันสร้างความมั่นใจให้กับประเทศให้ได้ สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศ เรามีนโยบายสนับสนุน การสร้างรายได้ลงไปในระดับชุมชน รวมถึงการส่งเสริมชุมชนในแต่ละที่ให้การพัฒนาชุมชน และกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชนด้วยหรือเรื่องของเงิน เอสเอ็มแอล สาธารณูปโภคให้เป็นที่สะดวกของนักท่องเที่ยว สิ่งต่างๆ เหล่านี้รัฐบาลจะทำเสริมให้กับชุมชน