ผ่าประเด็นร้อน
ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับผลต่อเนื่องมาจากการประชุมผู้นำเศรษฐกิจที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ หรือเปล่าไม่อาจทราบได้ หลังจากที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นตัวแทนประเทศไทยนำคณะไปปาฐกถาให้บรรดาการการเมืองและนักธุรกิจชั้นนำของโลกที่อัดแน่นกันอยู่ที่นั่นได้รับฟังวิสัยทัศน์ นัยว่าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน หลังจากเกิดวิกฤตน้ำท่วมเมื่อปีที่แล้ว
แต่กลายเป็นว่าภาพที่ออกมาน่าจะออกมาเป็นตรงกันข้าม โดยเฉพาะเมื่อได้ฟังสำเนียง และรูปประโยคภาษาอังกฤษของเธอแล้วได้ยินเสียงจากคนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านภาษาแล้วบอกได้คำเดียวว่าต้อง “ตะลึง” ว่า “โอ พระเจ้าจอร์จ” นี่หรือผู้นำของไทย ที่เคยไปเล่าเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา แม้ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่เป็นประเทศเจ้าของภาษาอย่างอังกฤษ แต่ก็คือว่าพูดภาษาเดียวกัน แม้สำเนียงจะต่างกันบ้างก็ตาม กลายเป็นว่าภาษาที่สื่อออกมานั้นทำให้หลายคนฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เป็นเพราะพูดเร็วรัว แต่ความหมายก็คือพูดไม่รู้เรื่อง แปลเป็นไทย หรือแปลเป็นอังกฤษแล้วไม่รู้เรื่อง
กลายเป็นเรื่องสร้างความตลกขบขันบนเวทีโลก จนนำมาสู่การค่อนขอดว่าเธอไปแสดงแฟชั่น ไม่ใช่ไปแสดงวิชัน
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตามความเป็นจริงทั้งจากอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันก็ต้องยอมรับกันว่า ไม่น่าจะผิดความคาดหมาย เพราะเธอเป็น “ของปลอม” ที่ถูกปั่นราคามาตั้งแต่ต้น และคนที่ปั่นก็คือ ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย ที่ “สร้างมายาภาพ” เอาไว้ดิบดีทำให้มีผลต่อเนื่องมาจนถึงคนในครอบครัว และผลักดันขึ้นสู่อำนาจมาอย่างต่อเนื่อง
ที่ผ่านมาด้วยวาทะทองคำ อย่าง “หญ้าแพรก” ต่อเนื่องมาจนถึง “เรือดันน้ำ” พูดภาษาไทยผิดๆ ถูกๆ รวมไปถึง “ข่าวลือ”ที่เมาท์กันในหมู่นักข่าวและบรรดาคนที่ติดตามไปร่วมประชุมที่ดาวอสก็ยังได้ยินคำว่า “คอ-นก-รีต” (คอนกรีต) ทำให้หลายคนกำลังเร่งหาคลิปคำพูดดังกล่าวกันจ้าละหวั่น สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้นักวิจารณ์บางคนสรุปทันทีว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่มีความรู้รอบตัว เป็นคนที่ไม่อ่านหนังสือ
สิ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็นถึงความ “กลวง” และ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นภาพเมื่อนักข่าวตั้งฉายาให้ว่า “นายกฯ นกแก้ว” ซึ่งมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวไม่ต้องอธิบายให้มากความ
ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถ้าจะพูดกันตรงๆ ก็คือ ไม่ได้สร้างเชื่อมั่น สร้างความภาคภูมิใจให้เกิดขึ้นได้เลย โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้ว นี่ว่ากันเฉพาะงานของรัฐบาล ยังไม่นับเรื่องที่ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ในเรื่องการแต่งตั้งบรรดารัฐมนตรีที่ไร้ความสามารถ สื่อไปในทางใช้อำนาจรัฐเพื่อสร้างผลประโยชน์ซ่อนเร้น
กลายเป็นว่าในยุคของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นยุคที่ข้าวของแพงที่สุด มากกว่ายุคใด พิสูจน์ได้จากราคาน้ำมันที่ไม่เคยพุ่งสูงแบบนี้มาก่อน ล่าสุดกำลังจะคุมเข้มกำหนดราคาข้าวราดแกง อาหารจานด่วน เช่น ผัดกะเพราหมู-ไก่ และข้าวราดไข่พะโล้ไม่ให้ขายเกินราคาจาน 25 บาท สิ่งที่เกิดขึ้นได้สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในเรื่องค่าครองชีพของชาวบ้านได้เป็นอย่างดี
ล่าสุด งานนี้ (1 กุมภาพันธ์) ก็ได้เปิดเผยออกมาจากปากของเธอเองภายหลังจากเป็นประธานเปิดงานสัมมนา “ถอดรหัสจีดีพี 55” ที่จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ อาจเป็นเพราะความไม่รู้หรือความพลั้งเผลอออกมาเมื่อถูกนักข่าวจี้ถามย้ำในเรื่องความไม่เชื่อมั่นของนักธุรกิจว่า เวลานี้ “มีนักลงทุนหลายกลุ่มไม่เชื่อมั่น”ซึ่งในงานดังกล่าวก็มีเรื่องให้ต้องวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอีกเพราะมีบรรดานักธุรกิจสนใจเข้ามาร่วมรับฟังน้อยมาก จนมีที่ว่างเหลือมากมายอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าอาจเป็นเพราะการประชาสัมพันธ์ไม่ดีพอก็เป็นได้ แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะงานระดับนายกฯไปพูดมันน่าจะได้รับความสนใจล้นหลาม แต่ทำไมถึงออกมาขายหน้าแบบนี้ไปได้
ขณะเดียวกัน หมายความว่าการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่การลงทุนภายในประเทศหลังจากเกิดภัยพิบัติมันก็ล้มเหลวไม่ได้เป็นตามเป้าหมายอย่างที่คุยเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าได้รับการตอบรับที่ดี
นอกจากนี้ หากพิจารณาจากเรื่องเทคนิคทางกฎหมายในเรื่องพระราชกำหนด 2 ฉบับ คือ ฉบับโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1.14 ล้านล้านบาทไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับภาระ และฉบับที่ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อนำมาฟื้นฟูและบริหารจัดการน้ำจำนวน 3.5 แสนล้านบาท ก็กำลังถูกฝ่ายค้านและ ส.ว.ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดเอาไว้ชั่วคราว และถ้าผลออกมาว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องออกเป็นพระราชกำหนด จะทำอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นนี่แหละกำลังสร้างความหนักใจให้กับรัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็สะท้อนภาพในตัวของมันเองว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยิ่งพูดมันก็ยิ่งเละ ไม่ได้สร้างความเชื่อมั่น ทุกอย่างกำลังสวนทางกัน เพราะนี่ยังไม่นับเรื่องอื่นๆที่กำลังประดังเข้ามาโดยเฉพาะเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างมีวาระซ่อนเร้น หรือแม้แต่เรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของกลุ่มนิติราษฎร์ ที่เคยเคลื่อนไหวเชื่อมโยงไปกับคนในพรรคเพื่อไทย กำลังทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถาม และเหลืออดมากขึ้นทุกที!!