บางครั้งการพิจารณาติดตามความเคลื่อนไหวคนบางคน ก็สามารถมองเห็นพิรุธออกมาได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ที่หากพิจารณากันตรงๆแล้ว เชื่อว่ามองเห็นทิศทางความเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะพยายามกลบเกลื่อนอย่างไร ก็ยังสมารถเห็นร่องรอยอยู่เสมอ
ด้วยนิสัยขี้คุย ขี้โม้โอ้อวด นี่เองที่ต้องการให้ตัวเองโดดเด่น ชิงพื้นที่ข่าวอยู่ตลอดเวลา อีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้ได้เห็นความไม่ชอบมาพากลควบคู่กันไปด้วยเช่นกัน ล่าสุดได้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยผ่านสื่อฉบับหนึ่ง อ้างว่ากำลังเจรจากับทางรัฐบาลเลบานอน เพื่อทำธุรกิจพลังงาน โดยเฉพาะการเจรจาปูทางให้กับทางบริษัทปตท. เพื่อเข้าไปธุรกิจที่นั่น
ฟังดูเผินๆ ก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ ตรงกันข้ามน่าจะเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ ถ้าพิจารณากันในเรื่องผลประโยชน์ทางด้านพลังงาน เป็นความมั่นคงทางด้านพลังงาน แต่ในทางตรงกันข้าม มันไม่อาจมองแบบนั้นได้เลย สำหรับคนที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร เพราะหนึ่งเขาเป็น “อาชญากร” ที่ทำผิดกฎหมาย และกำลังหลบหนีคดีทุจริต หลบหนีหมายจับของศาล
นอกจากนี้ยังมีแต่เรื่องน่าสงสัยว่าเข้าไปพัวพันกับ ปตท.ก็ด้วยเหตุผลเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวล้วนๆ
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาเชื่อมโยงกับกรณีที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยจะให้กระทรวงการคลังขายหุ้น ปตท. ออกไป 2 เปอร์เซ็นต์ให้เหลือ 49 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ ปตท.พ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจ เพื่อเปิดทางให้กลุ่มทุนเข้ามาฮุบปตท.ได้เบ็ดเสร็จมากขึ้น สามารถทำกำไรได้มากขึ้น ซึ่ง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ อย่าง กิตติรัตน์ ณ ระนอง กำลังหาจังหวะดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว แม้จะบอกว่ายังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน หลังจากเริ่มถูกต่อต้ายจากสังคม แต่ก็ใช่ว่าจะยกเลิกไป
ที่ผ่านมาสังคมสงสัยมานานแล้วว่า ทักษิณ มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ปตท.ไม่ทางทางตรงก็ทางอ้อม และที่ผ่านมาก็มีความเชื่อมโยงกันมาตลอด เริ่มตั้งแต่การแปรรูป ปตท.จากรัฐถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ นำเข้าตลาดหลักทรัพย์แบ่งขายให้กับกลุ่มทุนการเมืองและทุนสถาบันต่างๆ รวมกันถึง 49 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็เกิดขึ้นในยุคที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันยังมีความสงสัยเกี่ยวกับความฉ้อฉลเรื่องโรงกลั่นทีพีไอในอดีต หรือแม้แต่ความพยายามแปรรูป การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แต่ไม่สำเร็จ และมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเสียก่อน หรือแม้แต่การขายหุ้นในเครือชินคอร์ป โดยไม่เสียภาษี ว่ากันว่าก็เพื่อทิ้งธุรกิจด้านการสื่อสารที่มีการแข่งขันสูงกับทุนต่างชาติ เพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจพลังงาน โดยใช้อำนาจทางการเมือง และความเป็นรัฐวิสาหกิจในตอนนั้นเป็นใบเบิกทาง
แม้ว่าที่ผ่านมาการเชื่อมต่อระหว่างทักษิณ กับปตท. อาจจะดูขาดช่วงไปบ้างในยุคลที่มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นช่วงหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาจนถึงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ แต่หากนับเอารัฐบาล “หุ่นเชิด” สมัคร-สมชาย มาจนถึงรัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บรรยากาศก็กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง มิหนำซ้ำดูแล้วน่าจะหนักกว่าเดิมเสียอีก
โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกัน
หากพิจารณาทั้งจากตัวบุคคลที่ไล่เรียงตั้งแต่ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นน้องสาว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทั้งคนเก่า และใหม่ คือ อารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รวมไปถึง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ถือว่าเป็นตำแหน่งที่ครบเซ็ท และอยู่ในกำมือของ ทักษิณ อย่างเบ็ดเสร็จ ทำให้ไม่ว่ารัฐบาลชุดนี้เคลื่อนไหวไปทางไหนล้วนแล้วแต่ถูกมองว่ามีเงาของ ทักษิณ เคลื่อนทาบทับไปด้วยทุกครั้ง และบางครั้งแทบแยกไม่ออกมาว่ามันเป็นผลประโยชน์ของ ทักษิณ หรือว่าผลประโยชน์ของชาติกันแน่
โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจพลังงานของ ปตท.กับต่างประเทศก็มักถูกสงสัยว่ามีผลประโยชน์ของ เขาอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นกรณีแหล่งพลังงานทั้งใน พม่า กัมพูชา ในอ่าวไทย และล่าสุดเพิ่งออกมาจากปากของเจ้าตัวเองว่า กำลังเจรจากับรัฐบาลเลบานอนเพื่อสำรวจแหล่งพลังงานที่นั่น ซึ่งคำพูดที่ออกมาจากปากบอกว่าเป็นการปูทางให้กับ ปตท.
แต่หากพิจารณาจากความหมายแล้ว มันก็ไม่ต่างจากบทบาท “นายหน้าข้ามชาติ” นอกเหนือจากเรื่องหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ซ่อนเร้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นล่าสุด ก็ไม่มีใครไปเค้นคอถาม เพียงแต่ด้วยลักษณะนิสัยที่ “ขี้โม้” เก็บอาการไม่อยู่ มันก็ต้องเปิดเผยออกมาให้เห็นจนได้
แม้ว่าล่าสุดผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. จะรีบปฏิเสธ มาในรูป “แหล่งข่าว” ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องออกมาแบบนี้แน่นอน เพราะถ้าจริง ปตท. ก็ต้องผิดกฎหมาย ต้องถูกตรวจสอบ เพราะให้คนที่เป็น “อาชญากร” หลบหนีคดีทุจริตเป็น “นายหน้า” เป็นผู้แทนในการเจรจาธุรกิจ ผิดหลักการธุรกิจแบบธรรมาภิบาล ที่พยายามเน้นย้ำตลอดเวลา แต่เบื้องหลังมันก็ทำให้สังคมคิดไปได้ต่างๆ นานา
ขณะเดียวกัน มันก็มาถึงบทสรุปที่ว่า ทักษิณ-รัฐบาลยิ่งลักษณ์-ปตท.-ธุรกิจพลังงาน-ผลกำไรมหาศาล น่าจะเป็นเรื่องที่แยกไม่ออก อีกทั้งคำว่า พลังไทย เพื่อไทย เพื่อแม้ว น่าจะเป็นความหมายที่อธิบายได้ชัดเจนที่สุด !!
ด้วยนิสัยขี้คุย ขี้โม้โอ้อวด นี่เองที่ต้องการให้ตัวเองโดดเด่น ชิงพื้นที่ข่าวอยู่ตลอดเวลา อีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้ได้เห็นความไม่ชอบมาพากลควบคู่กันไปด้วยเช่นกัน ล่าสุดได้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยผ่านสื่อฉบับหนึ่ง อ้างว่ากำลังเจรจากับทางรัฐบาลเลบานอน เพื่อทำธุรกิจพลังงาน โดยเฉพาะการเจรจาปูทางให้กับทางบริษัทปตท. เพื่อเข้าไปธุรกิจที่นั่น
ฟังดูเผินๆ ก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ ตรงกันข้ามน่าจะเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ ถ้าพิจารณากันในเรื่องผลประโยชน์ทางด้านพลังงาน เป็นความมั่นคงทางด้านพลังงาน แต่ในทางตรงกันข้าม มันไม่อาจมองแบบนั้นได้เลย สำหรับคนที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร เพราะหนึ่งเขาเป็น “อาชญากร” ที่ทำผิดกฎหมาย และกำลังหลบหนีคดีทุจริต หลบหนีหมายจับของศาล
นอกจากนี้ยังมีแต่เรื่องน่าสงสัยว่าเข้าไปพัวพันกับ ปตท.ก็ด้วยเหตุผลเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวล้วนๆ
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาเชื่อมโยงกับกรณีที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยจะให้กระทรวงการคลังขายหุ้น ปตท. ออกไป 2 เปอร์เซ็นต์ให้เหลือ 49 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ ปตท.พ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจ เพื่อเปิดทางให้กลุ่มทุนเข้ามาฮุบปตท.ได้เบ็ดเสร็จมากขึ้น สามารถทำกำไรได้มากขึ้น ซึ่ง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ อย่าง กิตติรัตน์ ณ ระนอง กำลังหาจังหวะดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว แม้จะบอกว่ายังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน หลังจากเริ่มถูกต่อต้ายจากสังคม แต่ก็ใช่ว่าจะยกเลิกไป
ที่ผ่านมาสังคมสงสัยมานานแล้วว่า ทักษิณ มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ปตท.ไม่ทางทางตรงก็ทางอ้อม และที่ผ่านมาก็มีความเชื่อมโยงกันมาตลอด เริ่มตั้งแต่การแปรรูป ปตท.จากรัฐถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ นำเข้าตลาดหลักทรัพย์แบ่งขายให้กับกลุ่มทุนการเมืองและทุนสถาบันต่างๆ รวมกันถึง 49 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็เกิดขึ้นในยุคที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันยังมีความสงสัยเกี่ยวกับความฉ้อฉลเรื่องโรงกลั่นทีพีไอในอดีต หรือแม้แต่ความพยายามแปรรูป การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แต่ไม่สำเร็จ และมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเสียก่อน หรือแม้แต่การขายหุ้นในเครือชินคอร์ป โดยไม่เสียภาษี ว่ากันว่าก็เพื่อทิ้งธุรกิจด้านการสื่อสารที่มีการแข่งขันสูงกับทุนต่างชาติ เพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจพลังงาน โดยใช้อำนาจทางการเมือง และความเป็นรัฐวิสาหกิจในตอนนั้นเป็นใบเบิกทาง
แม้ว่าที่ผ่านมาการเชื่อมต่อระหว่างทักษิณ กับปตท. อาจจะดูขาดช่วงไปบ้างในยุคลที่มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นช่วงหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาจนถึงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ แต่หากนับเอารัฐบาล “หุ่นเชิด” สมัคร-สมชาย มาจนถึงรัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บรรยากาศก็กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง มิหนำซ้ำดูแล้วน่าจะหนักกว่าเดิมเสียอีก
โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกัน
หากพิจารณาทั้งจากตัวบุคคลที่ไล่เรียงตั้งแต่ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นน้องสาว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทั้งคนเก่า และใหม่ คือ อารักษ์ ชลธาร์นนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รวมไปถึง กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ถือว่าเป็นตำแหน่งที่ครบเซ็ท และอยู่ในกำมือของ ทักษิณ อย่างเบ็ดเสร็จ ทำให้ไม่ว่ารัฐบาลชุดนี้เคลื่อนไหวไปทางไหนล้วนแล้วแต่ถูกมองว่ามีเงาของ ทักษิณ เคลื่อนทาบทับไปด้วยทุกครั้ง และบางครั้งแทบแยกไม่ออกมาว่ามันเป็นผลประโยชน์ของ ทักษิณ หรือว่าผลประโยชน์ของชาติกันแน่
โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจพลังงานของ ปตท.กับต่างประเทศก็มักถูกสงสัยว่ามีผลประโยชน์ของ เขาอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นกรณีแหล่งพลังงานทั้งใน พม่า กัมพูชา ในอ่าวไทย และล่าสุดเพิ่งออกมาจากปากของเจ้าตัวเองว่า กำลังเจรจากับรัฐบาลเลบานอนเพื่อสำรวจแหล่งพลังงานที่นั่น ซึ่งคำพูดที่ออกมาจากปากบอกว่าเป็นการปูทางให้กับ ปตท.
แต่หากพิจารณาจากความหมายแล้ว มันก็ไม่ต่างจากบทบาท “นายหน้าข้ามชาติ” นอกเหนือจากเรื่องหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ซ่อนเร้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นล่าสุด ก็ไม่มีใครไปเค้นคอถาม เพียงแต่ด้วยลักษณะนิสัยที่ “ขี้โม้” เก็บอาการไม่อยู่ มันก็ต้องเปิดเผยออกมาให้เห็นจนได้
แม้ว่าล่าสุดผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. จะรีบปฏิเสธ มาในรูป “แหล่งข่าว” ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องออกมาแบบนี้แน่นอน เพราะถ้าจริง ปตท. ก็ต้องผิดกฎหมาย ต้องถูกตรวจสอบ เพราะให้คนที่เป็น “อาชญากร” หลบหนีคดีทุจริตเป็น “นายหน้า” เป็นผู้แทนในการเจรจาธุรกิจ ผิดหลักการธุรกิจแบบธรรมาภิบาล ที่พยายามเน้นย้ำตลอดเวลา แต่เบื้องหลังมันก็ทำให้สังคมคิดไปได้ต่างๆ นานา
ขณะเดียวกัน มันก็มาถึงบทสรุปที่ว่า ทักษิณ-รัฐบาลยิ่งลักษณ์-ปตท.-ธุรกิจพลังงาน-ผลกำไรมหาศาล น่าจะเป็นเรื่องที่แยกไม่ออก อีกทั้งคำว่า พลังไทย เพื่อไทย เพื่อแม้ว น่าจะเป็นความหมายที่อธิบายได้ชัดเจนที่สุด !!