xs
xsm
sm
md
lg

ปฏิบัติการหน้าด้าน-ปล้นสมบัติคนไทย ฮุบ ปตท.เบ็ดเสร็จ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทักษิณ ชินวัตร
บ้านพระอาทิตย์

ต้องยอมรับว่าตอนแรกว่าคาดไม่ถึงจริงๆ สำหรับแผนการรุกคืบเข้ามาฮุบ ปตท.ของกลุ่มทุนการเมืองที่ใช้กลไกอำนาจรัฐนำหน้า เพราะยังเชื่อว่าในเมื่อปัจจุบัน ปตท.มีสภาพเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีการแปรรูปเปิดทางขายหุ้นให้เอกชนแบ่งไปถึง 49 เปอร์เซ็นต์รับโบนัส-แบ่งผลกำไรเข้ากระเป๋าในแต่ละปี รับกันไปแทบอ้วก เพราะแต่ละปีมีกำไรนับแสนล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี

จากสภาพที่ทำธุรกิจใช้ “คราบ” ความเป็นรัฐวิสาหกิจ เป็นสมบัติของชาติมาทำธุรกิจผูกขาดด้านพลังงานมาเอาเปรียบ เพราะแทนที่ผลกำไรนับแสนล้านบาทนั้นจะเข้าคลังทั้งหมดแต่กลับต้องมาหักแบ่งกำไรให้กับเอกชนถึง 49 เปอร์เซ็นต์ รวยกันไปคนละเท่าไหร่ลองหลับตานึกภาพดูเอาก็แล้วกัน

และภาคเอกชนที่ว่านั้น ลองคิดดูสิว่าเป็นพวกไหน หากย้อนกลับไปเมื่อครั้งการแปรรูป ปตท.ในรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่มี ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ตอนนั้นเปิดให้มีการซื้อหุ้นราคาถูกและเพียงแค่ “ไม่กี่วินาที” ก็ขายเกลี้ยง ขณะเดียวกันก็ลองย้อนกลับไปดูอีกว่ามีกลุ่มไหนที่ได้หุ้นประเภทผู้มีอุปการคุณไปบ้าง และเชื่อหรือไม่ว่า ทักษิณ จะไม่มีผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับบริษัท ปตท.ในปัจจุบันนี้ รวมทั้งเชื่ออีกหรือไม่ว่า เมื่อไม่มีชื่อของเขา รวมไปถึงคนที่มีนามสกุลชินวัตรถือหุ้นอยู่ก็หมายความว่า “ไม่เกี่ยว”

ด้วยความที่แบ่งให้กลุ่มได้ฟันกำไรกันจนพุงปลิ้นดังกล่าวแล้ว ทำไมถึงได้โลภไม่สิ้นสุด เพราะล่าสุดกำลังเดินหน้า “ปลดล็อก” แปรสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจของ ปตท.จากปัจจุบันที่รัฐโดยกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ร้อยละ 51 ให้ลดลงเหลือ ร้อยละ 49 แล้วให้ “กองทุนวายุภักษ์” เข้ามาซื้อหุ้นร้อยละ 2 ดังกล่าวไป

ถ้าเป็นแบบนี้ก็หมายความในทำนอง “เสร็จโจร” ละครับพี่น้อง!!

หมายความว่าเมื่อกระทรวงการคลังถือหุ้นเหลือแค่ร้อยละ 49 นั่นก็ทำให้ความเป็นรัฐวิสาหกิจของ ปตท.หมดสิ้นไปทันที จากเดิมที่ “เหลือเยื่อใย” บางเบาอยู่บ้าง กลายเป็นหมดสิ้นทุกอย่าง เพราะต่อไปนี้ใครก็ได้สามารถเข้าไปซื้อหุ้น ปตท.หากเป็นไปตามคุณสมบัติและข้อปฏิบัติของตลาดหลักทรัพย์

ข้อเสนอที่จะดำเนินการอย่างเป็นจริงเป็นจังในอีกไม่นานข้างหน้า ริเริ่มนำร่องมาจาก วีรพงษ์ รามางกูร ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ที่ให้ขายหุ้น ปตท.และการบินไทย และต่อมา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็รับลูกประกาศเดินหน้าดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้

ข้ออ้างว่าการลดการถือหุ้นของภาครัฐในรัฐวิสาหกิจ เพื่อต้องการลดหนี้สาธารณะ แต่เหตุผลที่แท้จริงก็คือเป็นการกลบเกลื่อน “ตบแต่งบัญชี” สำหรับการ “กู้เพิ่ม” จากเดิมที่ไทยมีหนี้สาธารณะอยู่ประมาณร้อยละ 40 และมีเพดานไม่เกินร้อยละ 60 ทำให้มีวงเงินกู้ได้อีกประมาณ 2 ล้านล้านบาท รูปแบบจึงไม่ต่างจากที่ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุเอาไว้ว่าการลดสัดส่วนการถือหุ้นรัฐวิสาหกิจเพื่อแปรรูปนั้นก็เพื่อ “ซุกหนี้” ตบตา ต่อไปจะทำให้ประเทศขาดความน่าเชื่อถือ และอาจก่อวิกฤติซ้ำรอยประเทศกรีซ

หากแผนการดังกล่าวสำเร็จนั่นก็หมายความว่าต่อไป “ธุรกิจพลังงาน” ซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ จะตกไปอยู่ในมือของเอกชน กลุ่มทุนการเมืองหน้าเลือดอย่างสมบูรณ์แบบ ต่อไปราคาน้ำมันและราคาก๊าซซึ่งเป็นธุรกิจผูกขาด จะถูกกำหนดชี้นำโดยเอกชนที่เป็นเจ้าของ ปตท.มุ่งแต่แสวงหากำไร ทั้งที่ในทางตรงกันข้ามหากคิดถึงผลประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติจะต้องหาทางซื้อหุ้นกลับคืนมาเป็นรัฐทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ให้ทุกคนเป็นเจ้าของในฐานะสมบัติชาติ เป็นหลักประกันด้านพลังงานแต่กลับไม่ทำ

อย่างไรก็ดี กิจการที่คนพวกนี้ต้องการเข้าไปเป็นเจ้าของล้วนแล้วแต่เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรและผลตอบแทนสูง ซึ่งนอกเหนือจาก ปตท.แล้วยังมี การบินไทย และก่อนหน้านี้ในยุครัฐบาล ทักษิณ ก็พยายามแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ซึ่งก็มีเหตุผลไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่ายังทำไม่สำเร็จเท่านั้น

แต่เมื่อได้โอกาสครั้งใหม่ คราวนี้มีการปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ได้คนที่พร้อมเข้ามาทำหน้าที่ตาม “ใบสั่ง” ความปราถนาและความโลภดั้งเดิมที่เคยอยู่ในใจก็พร้อมที่จะนำมาปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน เพราะถือว่าระดับตัวบุคคลพร้อมแล้ว ไม่ว่า วีรพงษ์ รามางกูร ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) เปลี่ยนแปลงขุนคลังคนใหม่มาเป็น กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่มีแบ็กกราวด์จากตลาดหลักทรัพย์ รวมไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ อารักษ์ ชลธาร์นนท์ ที่เปรียบเสมือน “เด็กในบ้าน” ทุกอย่างก็พร้อมขับเคลื่อนเดินหน้าทันที

ดังนั้น ไม่ว่าจะแก้ตัวกลบเกลื่อนให้สวยหรูอย่างไรก็ตาม ความหมายก็ไม่ต่างจากการปล้น ปตท.ปล้นสมบัติของคนไทยอย่างแยบยล โดยใช้กลไกรัฐเป็นเครื่องนำทาง จากเดิมที่เข้าไปหาประโยชน์เอาเปรียบจนร่ำรวยกันเละเทะอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ายังโลภไม่รู้จักพอ ได้คืบจะเอาศอก ต้องการเข้ามาฮุบอย่างเบ็ดเสร็จ!!
วีรพงษ์ รามางกูร
กิตติรัตน์ ณ ระนอง
กำลังโหลดความคิดเห็น