ASTVผู้จัดการรายวัน -เอแบคโพลล์เผย คนห่วงปัญหากลุ่มคนปลุกระดมจ้องทำลายสถาบัน รองลงมา ห่วงความขัดแย้งรุนแรงวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น "เพื่อไทย" รับบัญชาแม้ว รีบชิ่งตัดหาง"นิติราษฎร์" หลังถูกถล่มหนัก ย้ำไม่แก้ไข ม.112 และรธน.หมวดพระมหากษัตริย์ ด้านโฆษกปชป.อัด พท.ไม่เป็นลูกผู้ชาย ปล่อย "นิติเรด" ตายคามธ. แฉคลิปข่าวมัดโฆษก นปช. เคยประกาศหนุนเต็มเหนี่ยว "สุริยะใส" จี้นักวิชาการถอนตัวจากครก.112 ชี้จุดหมายนิติราษฎร์ คือเปลี่ยนแปลงการปกครอง
นายนพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง "เรื่องใหญ่โตของประเทศที่ทุกคนต้องช่วยกัน" โดยศึกษากลุ่มตัวอย่างใน17จังหวัดทั่วประเทศจำนวน 2,572 ครัวเรือนเมื่อวันที่ 15-28 ม.ค.
ผลวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่หรือ 93.4% เป็นห่วงมากถึงมากที่สุดกรณีการรณรงค์ปลุกระดมของกลุ่มคนที่จ้องทำลายสถาบันหลักของชาติ และกว่า 80.6% ยังคงเป็นห่วงมากถึงมากที่สุดต่อความขัดแย้งแตกแยกรุนแรงของคนในชาติ ในขณะที่กว่า 2 ใน 3 หรือ 71.8% รู้สึกว่าประเทศไทยมีแต่เรื่องวุ่นวาย ไม่จบสิ้น ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านกำลังพัฒนาไปด้วยดี
นอกจากนี้เรื่องใหญ่โตที่คนไทยทั่วไปรู้สึกได้คือ 89.5% ระบุว่า ระบบเด็กเส้น เด็กฝากในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเป็นปัญหาใหญ่เกิดขึ้นในทุกรัฐบาลทำให้ประชาชนไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดี เพราะข้าราชการเด็กฝากเหล่านั้นไม่ยอมทำงานและมุ่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ และข้าราชการที่ถูกเอาเปรียบท้อแท้เพราะถูกเด็กฝาก เด็กเส้นทำลายระบบคุณธรรม
"ที่น่าเป็นห่วงคือตัวอย่าง 2ใน3หรือ 66.8% ระบุว่าความไม่เป็นธรรมแบะการเลือกปฏิบัติยังคงมีอยู่มากถึงมากที่สุดและ 65.9%ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในเรื่องอาชญากรรม การจราจร และภัยธรรมชาติ"นายนพดลกล่าว
นายนพดลกล่าวอีกว่า การสำรวจเรื่องทุจริตคอรัปชั่นที่ศึกษาตั้งแต่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาจนถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรพบว่า ประชาชนกว่า 60% มีทัศนคติยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นแต่ทำให้ตนเองได้ผลประโยชน์ด้วย โดยมีกลุ่มข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจถึง 64% ที่มีทัศนคติเช่นนี้ ขณะที่กลุ่มนักเรียนนักศึกษามีทัศนคติเช่นนี้ 56.2%
อนึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจแบ่งเป็น หญิง 52.4% ชาย 47.6% อายุระหว่าง 20-29ปี 25.4% อายุระหว่าง 30-09ปี2 6.6% อายุระหว่าง 40-49ปี 24.2% สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี 82.2% สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี 15.7% อาชีพเกษตรกร-รับจ้างทั่วไป 34.8% ค้าขาย-ธุรกิจส่วนตัว 29.4% ข้าราชการ-พนักงานรัฐวิสาหกิจ 7.7% พนักงานบริษัทเอกชน 10.9% นักเรียนนักศึกษา 7.9%
***เพื่อไทยชิ่งหนีนิติราษฎร์
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความชัดเจน ที่พรรคเพื่อไทยจะไม่แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า พรรคเพื่อไทยได้ประกาศไปแล้วว่าไม่แก้ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสื่อมวลชน ต้องถามประเด็นนี้อยู่ตลอดเวลา
เมื่อถามว่า ทำไมไม่คิดว่า ทางเพื่อไทยถูกถามแต่พรรคอื่นๆไม่ถูกถาม นายยงยุทธ กล่าวว่า ก็ไม่เข้าใจ ก็ทำทุกอย่างแล้ว ทั้งเจตนาตัวเอง เจตนาพรรคเพื่อไทย อีกทั้ง กรรมการบริหารพรรค และสมาชิกพรรค ก็คิดตรงกัน ก็ไม่เป็นไร เมื่อถามได้ ก็ชี้แจงได้ ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทย จะใช้จังหวะนี้ แสดงเจตนนารมย์ที่ชัดเจนว่า จะไม่แตะประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ตนได้พูดอยู่เสมอมาว่า หมวดพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญ ประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 พรรคจะไม่แตะต้อง ซึ่งตนก็พูด ก็ไม่เชื่อกัน ดังนั้นก็จะพูดอยู่เรื่อยๆ พูดจนกว่าจะไม่ถาม และไม่เบื่อที่จะชี้แจง
เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยจะชี้แจงกับกลุ่มนิติราษฎร์ ในประเด็นการแก้ไข มาตรา 112 หรือไม่ ยงยุทธ กล่าวว่า ไม่ต้องชี้แจง เพราะตนก็ชี้แจงให้สื่อมวลชนทราบจึงเท่ากับชี้แจงให้ทุกคนทราบ ส่วนจะมีประเด็นโต้กันไปหรือไม่นั้น ก็ไม่ทราบว่าใครโต้กับตน ก็ห็นมีแต่สื่อมวลชนเท่านั้นที่ถาม
เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทย จะแสดงความชัดเจนอย่างไรว่ากลุ่มนิติราษฎร์ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย นายยงยุทธ กล่าวว่า ตนก็พูดอยู่ว่าไม่เกี่ยว ดังนั้นจะให้เกี่ยวอย่างไร พูดกี่ครั้งกี่หน ก็ไม่เกี่ยว สื่อมวลชนก็จะถามว่าเกี่ยว ตนก็บอกว่าไม่เกี่ยว ดังนั้นก็พูดอย่างนี้ ทั้งวันทั้งคืน ทั้งปี ทั้งชาติ ว่าไม่เกี่ยว
เมื่อถามอีกว่าจะมีการหารือนอกรอบกับกลุ่มนิติราษฎร์ หรือไม่นายยงยุทธ กล่าวว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน จะหารือนอกรอบหรือในรอบ ทำไม
**เย้ย พท.ชิ่งหนีเอาตัวรอด
ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคพื่อไทย ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับกลุ่มนิติราษฎร์ หลังจากถูกกระแสสังคมต่อต้านอย่างหนัก จากการรณรงค์แก้ไข มาตรา 112 ว่า การชิ่งหนี นิติราษฎร์ ของพรรคเพื่อไทย เป็นความพยายามเอาตัวรอด จึงอยากตั้งคำถามว่า หากพรรคเพื่อไทย และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เหตุใดจึงเพิ่งออกมาคัดค้าน
"ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณมีความจริงใจที่จะต่อต้าน ทำไมเพิ่งโผล่ออกมาเมื่อกระแสสังคมไปไม่ได้ จึงชิ่งหนี โหนกระแสเอาตัวรอด ปล่อยนิติราษฎร์ ตายคาธรรมศาสตร์ แต่ผมมีหลักฐานยืนยัน เป็นคลิปวีดีโอ ที่โฆษกนปช. สนับสนุนคณะนิติราษฎร์ ในการแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 แต่เมื่อกระแสตีกลับ ก็ทิ้งเรือเอาตัวรอด ไม่เป็นลูกผู้ชาย จะโดดเรือหนีง่ายๆ อย่างนี้ คณะนิติราษฎร์ ไม่น่าจะยอม" นายชวนนท์ กล่าว และนำคลิป ข่าวของสำนักข่าวดีเอ็นเอ็น ของคนเสื้อแดง ที่เป็นผู้นำเสนอข่าว โฆษก นปช. สนับสนุนนิติราษฎร์ แก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 มาเปิดให้สื่อมวลชนดูด้วย
** ท้า"แม้ว"กลับมาฟ้องที่ถูกแฉ
นายชวนนท์ ยังเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางกับมาประเทศไทย เพื่อดำเนินการฟ้องหมิ่นประมาทตน ด้วยตัวเอง อย่าอาศัยลายเซ็นต์คนอื่น และรู้สึกแปลกใจที่ นายนพดล ปัทมะ และพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีพฤติกรรมย่ำยี และดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมของไทยมาโดยตลอด และสงสัยว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ยังเชื่อใจกระบวนการยุติธรรมอยู่ ใช่หรือไม่ แต่สิ่งที่ไม่แปลกใจคือ ทั้งสองคนจำนนต่อหลักฐาน จึงใช้กระบวนการยุติธรรม มาดำเนินการปิดปากคนอื่นที่ออกมาพูดความจริง
" ถ้าอยากจะฟ้องผมจริง ช่วยเข้ามาเมืองไทย แล้วยื่นเป็นโจทก์ฟ้องให้สมศักดิ์ศรีหน่อยจะได้ไหม เพราะผมมั่นใจว่า สิ่งที่นำมาเผยแพร่ ไม่ได้มีการแสดงความเห็นของตนเอง แต่เป็นข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือคำสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่แปลโดยสำนักข่าวทีนิวส์ ที่ออกมาเผยแพร่ ไม่ทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ และนายนพดล จบอะไรมา จึงคิดว่าคำพูดเหล่านี้ มีการบิดเบือน ความจริงน่า จะหาอาจารย์มาสอนภาษาอังกฤษให้แตกฉาน เพราะที่ผ่านมา ก็เคยมีเหตุการณ์ลักษณะนี้ ในกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับไทม์ ออนไลน์ จาบจ้วงสถาบันฯ ก็ออกมาปฏิเสธ แต่เมื่อถูกจับได้ว่าให้สัมภาษณ์ข้อความดังกล่าวจริง ก็ออกมาขอพระราชทานอภัยโทษ และอ้างว่าภาษาอังกฤษไม่ดี ผมพร้อมที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ ผ่านกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้สังคมเห็นข้อเท็จจริงว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้พูดพาดพิงถึงสถาบันฯ ให้คนเข้าใจผิดต่อสถาบันกษัตริย์ไทยหรือไม่" นายชวนนท์ กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังได้หยิบยกคำวิจารณ์ของนักวิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกี่ยวกับหนังสือ Conversation with Thaksin ว่า มีความหมิ่นเหม่ ล่อแหลม จนทำให้ร้านหนังสือชั้นนำ ไม่กล้านำมาจำหน่ายในประเทศไทย
**อ้างฝ่ายค้านเล่นเกมป้ายสี
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเปิดเผยถึงกรณีที่มีกลุ่มเครือข่ายประกอบด้วยนักการเมือง นักวิชาการ สื่อมวลชนและทหารนอกแถว รวมตัวกันเคลื่อนไหวกับผู้ใช้แรงงาน และเกษตรกร ทั่วประเทศ ในการดำเนินการเชื่อมโยงให้เห็นว่า สมาชิกพรรคเพื่อไทย เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฏหมาย มาตรา 112 นั้น เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้หยุดนำเรื่องดังกล่าวมาเป็นข้ออ้าง และตอบโต้กัน ซึ่งพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลมีจุดยืนอย่างชัดเจนว่า จะไม่มีการแก้ไขมาตรา 112 อย่างแน่นอน เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ มาโดยตลอด
ทั้งนี้กลุ่มคนดังกล่าวเป็นกลุ่มที่เสียอำนาจ และแพ้การเลือกตั้ง จึงพยายามที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย และจะเข้ามาสู่อำนาจอีกครั้ง
** โวยอ้างข้อมูลมั่ว"แม้ว"น่ารังเกียจ
ส่วนกรณีที่นายชวนนท์ แถลงข่าวอ้างว่า มีเว็บไซต์ จัดอันดับผู้นำยอดแย่ และมีรายชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในอันดับที่ 1 นั้น ตนได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นข้อมูลที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ และเป็นการแสดงความคิดเห็นของคนๆ เดียว และน่าจะเป็นกระบวนการที่มาจากฝ่ายตรงข้ามในการทำลายความน่าเชื่อถือของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างแน่นอน และเป็นการทำหน้าที่ที่ไม่สมเหตุสมผล จึงเรียกร้องไปยัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ดูแลบุคคลในพรรค ไม่ให้ออกมาทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่สมเหตุสมผล
** จี้นักวิชาการถอนตัวครก.112
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มการเมืองสีเขียว (Green Politics) กล่าวว่า ตนคิดว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับคณะนิติราษฎร์ ย่อมมีข้อสงสัยว่าเหตุใดการเคลื่อนไหวของนักวิชาการกลุ่นนี้ ที่ยกระดับเป็นคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 หรือ ครก.112 จึงดื้อ ดันทุรังที่จะเคลื่อนไหวเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งที่พรรคการเมืองทุกพรรคที่มี ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร ล้วนมีทิศทางที่ชัดเจนว่า จะไม่แก้ไขมาตรา 112 หมายความว่า เมื่อมีการล่ารายชื่อประชาชนครบหมื่นรายชื่อ เพื่อยื่นร่างแก้ไข มาตรา 112 เข้าสภาฯ ประธานสภาฯ ก็คงไม่บรรจุเข้าสู่วาระการประชุม เพราะพรรคการเมืองเขาไม่รับ ถือว่าเป็นของเถื่อน ง่ายที่สุดก็คือ ยกเลิกการเคลื่อนไหว และยุติบทบาท
นายสุริยะใส กล่าวว่า ส่วนตัวมีความเห็นต่อความเคลื่อนไหวของ 7 อาจารย์คณะนิติราษฎร์ ว่า เลยจากสถานะความเป็นนักวิชาการไปแล้ว โดยที่ไม่เข้าใจว่า พยายามเล่นบทบาทใดอยู่ เพราะหากทั้ง 7 คน ต้องการเป็นมากกว่านักวิชาการ โดยเป็นปัญญาชนสาธารณะ ต้องคำนึงว่า บทบาทและข้อเสนอต้องไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดความแตกแยกในสังคม หรือให้คนยกพวกตีกัน หากเป็นเช่นนี้แล้ว ต้องหยุด
นายสุริยะใส ยังได้เรียกร้องให้นักวิชาการ หรือนักเขียน ที่ร่วมลงชื่อเป็น ครก.112 ทบทวนการเข้าร่วมรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 โดยกล่าวว่า ตนเชื่อว่าผู้ที่มาร่วมลงชื่อเป็น ครก.112 ชุดแรก มีเจตนาที่ดี อาจเห็นว่าควรแก้ไขในบางจุด และคงไม่ทราบว่าเจตนาของคณะนิติราษฎร์ ไปไกลเกินกว่าการแก้ไข มาตรา 112 นั่นคือการปฏิรูประบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่นเดียวกับกรณีของ นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ได้ออกมาแสดงความชัดเจนแล้วว่า แม้จะเห็นด้วยกับหลักการแก้ไขมาตรา 112 แต่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปสถาบันฯ
" คำถามจากผมที่มีไปถึงอาจารย์ และนักเขียนที่ลงชื่อเป็น ครก.112 ว่า ท่านจะยอมอยู่ในขบวนการที่มีปลายทางมากกว่าการแก้ไข มาตรา 112 อย่างนั้นหรือ โดยส่วนตัวแล้วการแก้ไขมาตรา 112 ถือเป็นวิสัยที่ถกเถียงกันได้ อาทิ โทษที่รุนแรงเกินไป หรือควรให้มีการประกันได้ เป็นต้น แต่ทำไปทำมาข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ไปไกลเกินไป คือ เหมือนใช้ มาตรา 112 เป็นบันไดขั้นที่ 1 สุดท้ายนำไปสู่การปรับปรุงหมวด 2 ในรัฐธรรมนูญ ที่ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ และหากมีการนำชุดความคิดของคณะนิติราษฎร์ เข้าไปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยปรับหมวด 2 ถือเป็นสิ่งที่อันตรายมาก จึงอยากให้คนที่ร่วมลงชื่อทบทวนและถอนตัว" นายสุริยะใส กล่าว
** ชี้นิติราษฎร์จะเปลี่ยนการปกครอง
นายสุริยะใส ยังได้เรียกร้องให้คณะนิติราษฎร์ยุติการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้สถานการณ์บลุกลามปลายบานกลายเป็นเงื่อนไขของความแตกแยกรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง เพราะสังคมจับได้คาหนังคาเขาว่าเจตนาของนักวิชาการกลุ่มนี้ไม่ใช่ต้องการแก้ไขมาตรา 112 เท่านั้น แต่เป็นเรื่องการปฏิรูประบอบการปกครอง
" เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ควรให้สังคมมีสติ มีสมาธิและนิ่งกว่านี้ ถึงจะถกเถียงกันได้อย่างสันติวิธี การหยิบเรื่องนี้ขึ้นในขณะที่สังคมมีรอยร้าวมีความแตกแยกอยู่ คงหนีไม่พ้นการยกพวกตีกัน หรืออาจกลายเป็นสงครามกลางเมืองอีกครั้ง” นายสุริยะใส กล่าว
ส่วนกรณีที่ทางพรรคเพื่อไทยออกมาระบุว่า ขณะนี้มีขบวนการในการล้มรัฐบาลจากบุคคลหลายกลุ่มนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ถือเป็นสูตรสำเร็จของหลายรัฐบาล ที่เปิดประเด็นนี้ออกมาเพราะอยู่ในช่วงขาลง ยิ่งเปิดออกมาเร็ว ก็แสดงว่ารัฐบาลขาลงเร็วกว่าที่คิด หากรัฐบาลทำงานดีแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ ก็คงไม่มีใครมาล้มได้ รัฐบาลที่ไปก่อนเวลาก็เป็นรัฐบาลที่บริหารงานล้มเหลว
ดังนั้นการออกมาเปิดประเด็นนี้ก็เป็นลูกไม้ตื้นๆไม่ต่างจากเมื่อช่วงปลายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งเป็นการบิดเบือนความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล ไม่ต่างจากการเขียนเสือให้วัวกลัว หรือสร้างผีขึ้นมาตัวหนึ่ง ว่ากำลังหลอกหลอน และเล่นงานรัฐบาลอยู่ ทั้งที่จริงแล้วคือ ตัวรัฐบาลเองที่ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้.
นายนพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง "เรื่องใหญ่โตของประเทศที่ทุกคนต้องช่วยกัน" โดยศึกษากลุ่มตัวอย่างใน17จังหวัดทั่วประเทศจำนวน 2,572 ครัวเรือนเมื่อวันที่ 15-28 ม.ค.
ผลวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่หรือ 93.4% เป็นห่วงมากถึงมากที่สุดกรณีการรณรงค์ปลุกระดมของกลุ่มคนที่จ้องทำลายสถาบันหลักของชาติ และกว่า 80.6% ยังคงเป็นห่วงมากถึงมากที่สุดต่อความขัดแย้งแตกแยกรุนแรงของคนในชาติ ในขณะที่กว่า 2 ใน 3 หรือ 71.8% รู้สึกว่าประเทศไทยมีแต่เรื่องวุ่นวาย ไม่จบสิ้น ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านกำลังพัฒนาไปด้วยดี
นอกจากนี้เรื่องใหญ่โตที่คนไทยทั่วไปรู้สึกได้คือ 89.5% ระบุว่า ระบบเด็กเส้น เด็กฝากในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเป็นปัญหาใหญ่เกิดขึ้นในทุกรัฐบาลทำให้ประชาชนไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดี เพราะข้าราชการเด็กฝากเหล่านั้นไม่ยอมทำงานและมุ่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ และข้าราชการที่ถูกเอาเปรียบท้อแท้เพราะถูกเด็กฝาก เด็กเส้นทำลายระบบคุณธรรม
"ที่น่าเป็นห่วงคือตัวอย่าง 2ใน3หรือ 66.8% ระบุว่าความไม่เป็นธรรมแบะการเลือกปฏิบัติยังคงมีอยู่มากถึงมากที่สุดและ 65.9%ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในเรื่องอาชญากรรม การจราจร และภัยธรรมชาติ"นายนพดลกล่าว
นายนพดลกล่าวอีกว่า การสำรวจเรื่องทุจริตคอรัปชั่นที่ศึกษาตั้งแต่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาจนถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรพบว่า ประชาชนกว่า 60% มีทัศนคติยอมรับได้ ถ้ารัฐบาลทุจริตคอรัปชั่นแต่ทำให้ตนเองได้ผลประโยชน์ด้วย โดยมีกลุ่มข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจถึง 64% ที่มีทัศนคติเช่นนี้ ขณะที่กลุ่มนักเรียนนักศึกษามีทัศนคติเช่นนี้ 56.2%
อนึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจแบ่งเป็น หญิง 52.4% ชาย 47.6% อายุระหว่าง 20-29ปี 25.4% อายุระหว่าง 30-09ปี2 6.6% อายุระหว่าง 40-49ปี 24.2% สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี 82.2% สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี 15.7% อาชีพเกษตรกร-รับจ้างทั่วไป 34.8% ค้าขาย-ธุรกิจส่วนตัว 29.4% ข้าราชการ-พนักงานรัฐวิสาหกิจ 7.7% พนักงานบริษัทเอกชน 10.9% นักเรียนนักศึกษา 7.9%
***เพื่อไทยชิ่งหนีนิติราษฎร์
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความชัดเจน ที่พรรคเพื่อไทยจะไม่แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า พรรคเพื่อไทยได้ประกาศไปแล้วว่าไม่แก้ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสื่อมวลชน ต้องถามประเด็นนี้อยู่ตลอดเวลา
เมื่อถามว่า ทำไมไม่คิดว่า ทางเพื่อไทยถูกถามแต่พรรคอื่นๆไม่ถูกถาม นายยงยุทธ กล่าวว่า ก็ไม่เข้าใจ ก็ทำทุกอย่างแล้ว ทั้งเจตนาตัวเอง เจตนาพรรคเพื่อไทย อีกทั้ง กรรมการบริหารพรรค และสมาชิกพรรค ก็คิดตรงกัน ก็ไม่เป็นไร เมื่อถามได้ ก็ชี้แจงได้ ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทย จะใช้จังหวะนี้ แสดงเจตนนารมย์ที่ชัดเจนว่า จะไม่แตะประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ตนได้พูดอยู่เสมอมาว่า หมวดพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญ ประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 พรรคจะไม่แตะต้อง ซึ่งตนก็พูด ก็ไม่เชื่อกัน ดังนั้นก็จะพูดอยู่เรื่อยๆ พูดจนกว่าจะไม่ถาม และไม่เบื่อที่จะชี้แจง
เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยจะชี้แจงกับกลุ่มนิติราษฎร์ ในประเด็นการแก้ไข มาตรา 112 หรือไม่ ยงยุทธ กล่าวว่า ไม่ต้องชี้แจง เพราะตนก็ชี้แจงให้สื่อมวลชนทราบจึงเท่ากับชี้แจงให้ทุกคนทราบ ส่วนจะมีประเด็นโต้กันไปหรือไม่นั้น ก็ไม่ทราบว่าใครโต้กับตน ก็ห็นมีแต่สื่อมวลชนเท่านั้นที่ถาม
เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทย จะแสดงความชัดเจนอย่างไรว่ากลุ่มนิติราษฎร์ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย นายยงยุทธ กล่าวว่า ตนก็พูดอยู่ว่าไม่เกี่ยว ดังนั้นจะให้เกี่ยวอย่างไร พูดกี่ครั้งกี่หน ก็ไม่เกี่ยว สื่อมวลชนก็จะถามว่าเกี่ยว ตนก็บอกว่าไม่เกี่ยว ดังนั้นก็พูดอย่างนี้ ทั้งวันทั้งคืน ทั้งปี ทั้งชาติ ว่าไม่เกี่ยว
เมื่อถามอีกว่าจะมีการหารือนอกรอบกับกลุ่มนิติราษฎร์ หรือไม่นายยงยุทธ กล่าวว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน จะหารือนอกรอบหรือในรอบ ทำไม
**เย้ย พท.ชิ่งหนีเอาตัวรอด
ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคพื่อไทย ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับกลุ่มนิติราษฎร์ หลังจากถูกกระแสสังคมต่อต้านอย่างหนัก จากการรณรงค์แก้ไข มาตรา 112 ว่า การชิ่งหนี นิติราษฎร์ ของพรรคเพื่อไทย เป็นความพยายามเอาตัวรอด จึงอยากตั้งคำถามว่า หากพรรคเพื่อไทย และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เหตุใดจึงเพิ่งออกมาคัดค้าน
"ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณมีความจริงใจที่จะต่อต้าน ทำไมเพิ่งโผล่ออกมาเมื่อกระแสสังคมไปไม่ได้ จึงชิ่งหนี โหนกระแสเอาตัวรอด ปล่อยนิติราษฎร์ ตายคาธรรมศาสตร์ แต่ผมมีหลักฐานยืนยัน เป็นคลิปวีดีโอ ที่โฆษกนปช. สนับสนุนคณะนิติราษฎร์ ในการแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 แต่เมื่อกระแสตีกลับ ก็ทิ้งเรือเอาตัวรอด ไม่เป็นลูกผู้ชาย จะโดดเรือหนีง่ายๆ อย่างนี้ คณะนิติราษฎร์ ไม่น่าจะยอม" นายชวนนท์ กล่าว และนำคลิป ข่าวของสำนักข่าวดีเอ็นเอ็น ของคนเสื้อแดง ที่เป็นผู้นำเสนอข่าว โฆษก นปช. สนับสนุนนิติราษฎร์ แก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 มาเปิดให้สื่อมวลชนดูด้วย
** ท้า"แม้ว"กลับมาฟ้องที่ถูกแฉ
นายชวนนท์ ยังเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางกับมาประเทศไทย เพื่อดำเนินการฟ้องหมิ่นประมาทตน ด้วยตัวเอง อย่าอาศัยลายเซ็นต์คนอื่น และรู้สึกแปลกใจที่ นายนพดล ปัทมะ และพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีพฤติกรรมย่ำยี และดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมของไทยมาโดยตลอด และสงสัยว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ยังเชื่อใจกระบวนการยุติธรรมอยู่ ใช่หรือไม่ แต่สิ่งที่ไม่แปลกใจคือ ทั้งสองคนจำนนต่อหลักฐาน จึงใช้กระบวนการยุติธรรม มาดำเนินการปิดปากคนอื่นที่ออกมาพูดความจริง
" ถ้าอยากจะฟ้องผมจริง ช่วยเข้ามาเมืองไทย แล้วยื่นเป็นโจทก์ฟ้องให้สมศักดิ์ศรีหน่อยจะได้ไหม เพราะผมมั่นใจว่า สิ่งที่นำมาเผยแพร่ ไม่ได้มีการแสดงความเห็นของตนเอง แต่เป็นข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือคำสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่แปลโดยสำนักข่าวทีนิวส์ ที่ออกมาเผยแพร่ ไม่ทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ และนายนพดล จบอะไรมา จึงคิดว่าคำพูดเหล่านี้ มีการบิดเบือน ความจริงน่า จะหาอาจารย์มาสอนภาษาอังกฤษให้แตกฉาน เพราะที่ผ่านมา ก็เคยมีเหตุการณ์ลักษณะนี้ ในกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับไทม์ ออนไลน์ จาบจ้วงสถาบันฯ ก็ออกมาปฏิเสธ แต่เมื่อถูกจับได้ว่าให้สัมภาษณ์ข้อความดังกล่าวจริง ก็ออกมาขอพระราชทานอภัยโทษ และอ้างว่าภาษาอังกฤษไม่ดี ผมพร้อมที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ ผ่านกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้สังคมเห็นข้อเท็จจริงว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้พูดพาดพิงถึงสถาบันฯ ให้คนเข้าใจผิดต่อสถาบันกษัตริย์ไทยหรือไม่" นายชวนนท์ กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังได้หยิบยกคำวิจารณ์ของนักวิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกี่ยวกับหนังสือ Conversation with Thaksin ว่า มีความหมิ่นเหม่ ล่อแหลม จนทำให้ร้านหนังสือชั้นนำ ไม่กล้านำมาจำหน่ายในประเทศไทย
**อ้างฝ่ายค้านเล่นเกมป้ายสี
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเปิดเผยถึงกรณีที่มีกลุ่มเครือข่ายประกอบด้วยนักการเมือง นักวิชาการ สื่อมวลชนและทหารนอกแถว รวมตัวกันเคลื่อนไหวกับผู้ใช้แรงงาน และเกษตรกร ทั่วประเทศ ในการดำเนินการเชื่อมโยงให้เห็นว่า สมาชิกพรรคเพื่อไทย เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฏหมาย มาตรา 112 นั้น เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้หยุดนำเรื่องดังกล่าวมาเป็นข้ออ้าง และตอบโต้กัน ซึ่งพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลมีจุดยืนอย่างชัดเจนว่า จะไม่มีการแก้ไขมาตรา 112 อย่างแน่นอน เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ มาโดยตลอด
ทั้งนี้กลุ่มคนดังกล่าวเป็นกลุ่มที่เสียอำนาจ และแพ้การเลือกตั้ง จึงพยายามที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย และจะเข้ามาสู่อำนาจอีกครั้ง
** โวยอ้างข้อมูลมั่ว"แม้ว"น่ารังเกียจ
ส่วนกรณีที่นายชวนนท์ แถลงข่าวอ้างว่า มีเว็บไซต์ จัดอันดับผู้นำยอดแย่ และมีรายชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในอันดับที่ 1 นั้น ตนได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นข้อมูลที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ และเป็นการแสดงความคิดเห็นของคนๆ เดียว และน่าจะเป็นกระบวนการที่มาจากฝ่ายตรงข้ามในการทำลายความน่าเชื่อถือของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างแน่นอน และเป็นการทำหน้าที่ที่ไม่สมเหตุสมผล จึงเรียกร้องไปยัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ดูแลบุคคลในพรรค ไม่ให้ออกมาทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่สมเหตุสมผล
** จี้นักวิชาการถอนตัวครก.112
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มการเมืองสีเขียว (Green Politics) กล่าวว่า ตนคิดว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับคณะนิติราษฎร์ ย่อมมีข้อสงสัยว่าเหตุใดการเคลื่อนไหวของนักวิชาการกลุ่นนี้ ที่ยกระดับเป็นคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 หรือ ครก.112 จึงดื้อ ดันทุรังที่จะเคลื่อนไหวเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งที่พรรคการเมืองทุกพรรคที่มี ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร ล้วนมีทิศทางที่ชัดเจนว่า จะไม่แก้ไขมาตรา 112 หมายความว่า เมื่อมีการล่ารายชื่อประชาชนครบหมื่นรายชื่อ เพื่อยื่นร่างแก้ไข มาตรา 112 เข้าสภาฯ ประธานสภาฯ ก็คงไม่บรรจุเข้าสู่วาระการประชุม เพราะพรรคการเมืองเขาไม่รับ ถือว่าเป็นของเถื่อน ง่ายที่สุดก็คือ ยกเลิกการเคลื่อนไหว และยุติบทบาท
นายสุริยะใส กล่าวว่า ส่วนตัวมีความเห็นต่อความเคลื่อนไหวของ 7 อาจารย์คณะนิติราษฎร์ ว่า เลยจากสถานะความเป็นนักวิชาการไปแล้ว โดยที่ไม่เข้าใจว่า พยายามเล่นบทบาทใดอยู่ เพราะหากทั้ง 7 คน ต้องการเป็นมากกว่านักวิชาการ โดยเป็นปัญญาชนสาธารณะ ต้องคำนึงว่า บทบาทและข้อเสนอต้องไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดความแตกแยกในสังคม หรือให้คนยกพวกตีกัน หากเป็นเช่นนี้แล้ว ต้องหยุด
นายสุริยะใส ยังได้เรียกร้องให้นักวิชาการ หรือนักเขียน ที่ร่วมลงชื่อเป็น ครก.112 ทบทวนการเข้าร่วมรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 โดยกล่าวว่า ตนเชื่อว่าผู้ที่มาร่วมลงชื่อเป็น ครก.112 ชุดแรก มีเจตนาที่ดี อาจเห็นว่าควรแก้ไขในบางจุด และคงไม่ทราบว่าเจตนาของคณะนิติราษฎร์ ไปไกลเกินกว่าการแก้ไข มาตรา 112 นั่นคือการปฏิรูประบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่นเดียวกับกรณีของ นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ได้ออกมาแสดงความชัดเจนแล้วว่า แม้จะเห็นด้วยกับหลักการแก้ไขมาตรา 112 แต่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปสถาบันฯ
" คำถามจากผมที่มีไปถึงอาจารย์ และนักเขียนที่ลงชื่อเป็น ครก.112 ว่า ท่านจะยอมอยู่ในขบวนการที่มีปลายทางมากกว่าการแก้ไข มาตรา 112 อย่างนั้นหรือ โดยส่วนตัวแล้วการแก้ไขมาตรา 112 ถือเป็นวิสัยที่ถกเถียงกันได้ อาทิ โทษที่รุนแรงเกินไป หรือควรให้มีการประกันได้ เป็นต้น แต่ทำไปทำมาข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ไปไกลเกินไป คือ เหมือนใช้ มาตรา 112 เป็นบันไดขั้นที่ 1 สุดท้ายนำไปสู่การปรับปรุงหมวด 2 ในรัฐธรรมนูญ ที่ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ และหากมีการนำชุดความคิดของคณะนิติราษฎร์ เข้าไปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยปรับหมวด 2 ถือเป็นสิ่งที่อันตรายมาก จึงอยากให้คนที่ร่วมลงชื่อทบทวนและถอนตัว" นายสุริยะใส กล่าว
** ชี้นิติราษฎร์จะเปลี่ยนการปกครอง
นายสุริยะใส ยังได้เรียกร้องให้คณะนิติราษฎร์ยุติการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้สถานการณ์บลุกลามปลายบานกลายเป็นเงื่อนไขของความแตกแยกรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง เพราะสังคมจับได้คาหนังคาเขาว่าเจตนาของนักวิชาการกลุ่มนี้ไม่ใช่ต้องการแก้ไขมาตรา 112 เท่านั้น แต่เป็นเรื่องการปฏิรูประบอบการปกครอง
" เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ควรให้สังคมมีสติ มีสมาธิและนิ่งกว่านี้ ถึงจะถกเถียงกันได้อย่างสันติวิธี การหยิบเรื่องนี้ขึ้นในขณะที่สังคมมีรอยร้าวมีความแตกแยกอยู่ คงหนีไม่พ้นการยกพวกตีกัน หรืออาจกลายเป็นสงครามกลางเมืองอีกครั้ง” นายสุริยะใส กล่าว
ส่วนกรณีที่ทางพรรคเพื่อไทยออกมาระบุว่า ขณะนี้มีขบวนการในการล้มรัฐบาลจากบุคคลหลายกลุ่มนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ถือเป็นสูตรสำเร็จของหลายรัฐบาล ที่เปิดประเด็นนี้ออกมาเพราะอยู่ในช่วงขาลง ยิ่งเปิดออกมาเร็ว ก็แสดงว่ารัฐบาลขาลงเร็วกว่าที่คิด หากรัฐบาลทำงานดีแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ ก็คงไม่มีใครมาล้มได้ รัฐบาลที่ไปก่อนเวลาก็เป็นรัฐบาลที่บริหารงานล้มเหลว
ดังนั้นการออกมาเปิดประเด็นนี้ก็เป็นลูกไม้ตื้นๆไม่ต่างจากเมื่อช่วงปลายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งเป็นการบิดเบือนความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล ไม่ต่างจากการเขียนเสือให้วัวกลัว หรือสร้างผีขึ้นมาตัวหนึ่ง ว่ากำลังหลอกหลอน และเล่นงานรัฐบาลอยู่ ทั้งที่จริงแล้วคือ ตัวรัฐบาลเองที่ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้.