รัฐบาลยิ่งลักษณ์ 2 สร้างปัญหาให้ตัวเองตั้งแต่ยังไม่ได้เข้ามาทำงาน ถ้ายังเดินหน้าอุ้ม นางนลินี ทวีสิน เป็นรัฐมนตรีต่อไป เพราะ “ว่าที่รัฐมนตรี” คนนี้มีปัญหาเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตติดตัวมา ประชาชนจะวางใจได้อย่างไรว่า เมื่อมาแล้วจะทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง หรือเพื่อตัวเองกันแน่ ?
นอกจากกรณีนางนลีนีแล้ว ยังมีปัญหาในประเด็นคุณสมบัติกับ “ว่าที่รัฐมนตรี” คนอื่นๆด้วย ที่ไม่น่าจะก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีได้ เนื่องจากหลายคนไม่มีความเหมาะสม ไม่ได้มีความรู้ความสามารถเป็นที่ยอมรับของสังคม คุณงามความดีอันควรมีต่อสังคมบ้างก็ไม่เคยปรากฏ มีแต่ธุรกรรมทำลายชาติบ้านเมือง แต่กลับผงาดขึ้นมามีชื่อเป็นรัฐมนตรีไปแล้ว
เรื่องของนางนลินี ถูกเปิดโปงออกมา เป็นบุคคลไม่พึงปรารถนาของประเทศสหรัฐอเมริกา ติดบัญชีดำห้ามเข้าประเทศ เนื่องจากเหตุที่นางนลินี มีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันขบวนการแบล็กมันนี่ คอร์รัปชัน ของรัฐบาลซิมบับเว ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่มีใครกล้าออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ว่า ไม่เป็นความจริง
ขณะเดียวกัน ฟังดูแล้วทางรัฐบาลน่าจะรู้เรื่องนางนลินี ติดบัญชีดำที่ทางการสหรัฐฯไม่ออกวีซ่าเข้าประเทศให้มาก่อนจะเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีด้วยซ้ำ แต่ก็ฝืนเลือกเข้ามาจนได้ เพราะคิดว่าความผิดแค่นี้ ขั้นนี้ยังไม่เข้าข่ายเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ
ยกเอาข้ออ้างไม่ขัดรัฐธรรมนูญเป็นหลักประกัน ทั้งๆ ที่หากดูให้ดี ข้อบัญญัติเกี่ยวกับการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง หรือองค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญทุกฉบับ จะกำหนดคุณสมบัติบุคคลเหล่านี้ไว้ ต้องเป็นผู้ที่มี “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” เท่านั้น จึงจะเป็นผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเข้ามาใช้อำนาจ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็มีระบุไว้ ดังนั้นจะว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ไม่ได้
แต่สำหรับ “รัฐบาลทักษิณส่วนหน้า” พวกกูจะเลวทรามอย่างไร กูจะตั้งพวกกูเสียอย่าง ใครจะทำไม ??
รัฐบาลนี้ไม่ได้ให้ความใส่ใจต่อความรู้สึกของประชาชนคนไทยเลย แม้แต่คน 15 ล้านคน ที่เลือกพรรคเพื่อไทยก็ตาม ที่เชื่อว่าไม่มีใครต้องการคนที่มีความมัวหมองมีมลทินในเรื่องความสุจริตเข้ามาทำงาน
แต่รัฐบาลคงคิดแค่ว่า คนที่เลือกเข้ามาร่วมรัฐบาล เป็นรัฐมนตรีนั้น ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับแม้ว่าคนที่ถูกเลือกมา จะมีปัญหาในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต อันขัดหลักจริยธรรมอย่างชัดเจนก็ตาม
ภาพของรัฐมนตรีในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ 2 ซึ่งถูกวิจารณ์ตั้งแต่วันแรก ที่เปิดโฉมหน้าออกมาว่า แย่ยิ่งกว่าพวกที่ถูกถอดออกไปเสียด้วยซ้ำ นั่นยังเป็นเพียงความรู้สึกที่สะท้อนออกมาเท่านั้น แต่ความจริงเชิงประจักษ์ ที่เปิดเผยออกมาในกรณีนางนลินี ติดบัญชีดำสหรัฐฯ ห้ามเข้าประเทศคือข้อเท็จจริง
จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า คนที่ได้รับการเฟ้นตัวมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ ไม่ต้องเป็น “คนดี” ก็ได้
ในกรณีนางนลินี เป็นความเหมือนในความแตกต่างกับรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เรื่องของนางนลินี เป็นเพียง “ยอดของปัญหา” ที่ปิดไม่มิด ฉาวโฉ่โผล่ออกมาเพราะถูกกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐฯ จับได้ ไล่ทัน
แน่นอน ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังมีรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมเลวทรามต่ำช้า ทำตัวเป็น “โจรปล้นแผ่นดิน”มาตลอดชีวิต เพียงแต่ในวันนี้ ยังไม่มีหลักฐานที่พอจะจับได้คาหนังคาเขา เอาตัวเข้าคุกเข้าตะรางได้เท่านั้นเอง
ตัวอย่างเช่น บางคนก็มีฐานะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี มีคฤหาสน์หลังใหญ่โตหลายหลัง มีรถยนต์ระดับซูเปอร์คาร์ จนบ้านไม่มีที่จะจอด แต่ละวันใช้ชีวิตเสพสุข ตกเย็นกินไวน์ขวดละหลายหมื่นบาท แต่ตลอดชีวิตไม่เคยทำอาชีพสุจริตเลย เล่นการเมืองอย่างเดียว พอได้จังหวะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีก็โกงทุกอย่างที่ขวางหน้า เรียกรับผลประโยชน์ทุกทางตั้งแต่เรื่องแต่งตั้งข้าราชการ จนถึงรวมหัวกับพ่อค้า งาบเงินงบลงทุนของรัฐ กินปากมันตั้งแต่โครงการเล็ก ไล่ไปถึงเมกกะโปรเจกต์
มาได้ดิบได้ดีเป็นรัฐมนตรีหัวหมู่ทะลวงฟัน ในคณะรัฐบาลคราวนี้ ก็หมายว่าจะรับประทานให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นโบนัสชิ้นสุดท้ายในชีวิต
หรืออย่าง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ว่าที่รัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เติบโตบนเส้นทางการเมืองจาก “สู้แล้วรวย” เผาบ้านเผาเมือง จนส่งให้ก้าวขึ้นมาเป็นอำมาตย์ อยู่รอมร่อในอีกไม่กี่วัน ตอนนี้ณัฐวุฒิ มีคดีที่ถูกกล่าวหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสมที่จะได้รับการเลือกมาเป็นรัฐมนตรี
เหตุที่ได้มา ก็เพราะ “เจ้าของรัฐบาล” ต้องการระบายอุณหภูมิร้อนทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดง ที่หากไม่ยกเก้าอี้รัฐมนตรีให้ เพื่อไม่เอาใจกันไว้ อาจจะกลายเป็นหมาบ้าแว้งกัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีตัวจริงได้ ณัฐวุฒิ ก็เลยได้ขึ้นเถลิงอำนาจ จากไพร่มาเป็นอำมาตย์ ด้วยผลงานชิ้นสำคัญ คือปลุกปั่นประชาชน เผาบ้านเผาเมือง นั่นเอง
หากเปรียบเทียบมาตรฐานของ “ณัฐวุฒิ กับนลินี” แล้ว วิญญูชนย่อมเห็นได้ว่ามันเป็นภาพอัปลักษณ์เหมือนกัน และเป็นความเหมือนในความแตกต่างกันโดยแท้ ถามว่า ใครดีกว่าใครตรงไหน ? ตอบยาก เพราะคนหนึ่งติดแบล็กลิสต์ไทย กับอีกคนติดแบล็กลิสต์สหรัฐฯ แต่คนทั้งสองก็ได้เป็นรัฐมนตรี โดยที่ “นายกฯนกแก้ว” ยืนยันว่า เป็นคนดีมีความสามารถ แต่ถ้าลองถามต่อว่า ดีตรงไหน “นายกฯนกแก้ว” ก็คงตอบว่า ขอตรวจสอบดูก่อนเป็นแน่
การออกมาชี้แจงแถลงไขของนางนลินี ย่อมมุ่งหวังเพื่อออกมากอบกู้ภาพลักษณ์ของตน เป็นเพียงคำแก้ตัวไม่ต่างจากคำแก้ตัวของจำเลยในศาล ทางที่ถูกแล้วนางนลินี ต้องไปต่อสู้กับกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐฯ เพื่อเอาความบริสุทธิ์กลับคืน ถ้าไม่ได้ทำผิดจริง ก็คงจะได้รับความเป็นธรรม แล้วกลับมาบอกให้คนไทยหลังจากนั้น
แต่การออกมาตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จกับคนไทยตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไร และขอเตือนว่าอย่าเอาคนไทยไปร่วมอยู่ในความขัดแย้งในเรื่องนี้ด้วย เพราะจะพาซวยกันไปทั้งประเทศ
ส่วนนางนลินีจะขอถอนตัวออกไปจากครม.หรือไม่ หรือนายกฯ ยิ่งลักษณ์จะอุ้มเอาไว้ต่อไป หรือยอมตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตรัฐบาล ก็ไม่ใช่เป็นสาระสำคัญ เพราะรัฐมนตรีในครม.ชุดนี้ ก็ล้วนแล้วแต่มอมแมม ปากมัน กันถ้วนหน้า จะตัดไปคนหนึ่งหรือให้อยู่ต่อ ก็ไม่ได้ทำให้รัฐบาลนี้หมดภาพอัปลักษณ์ !
นอกจากกรณีนางนลีนีแล้ว ยังมีปัญหาในประเด็นคุณสมบัติกับ “ว่าที่รัฐมนตรี” คนอื่นๆด้วย ที่ไม่น่าจะก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีได้ เนื่องจากหลายคนไม่มีความเหมาะสม ไม่ได้มีความรู้ความสามารถเป็นที่ยอมรับของสังคม คุณงามความดีอันควรมีต่อสังคมบ้างก็ไม่เคยปรากฏ มีแต่ธุรกรรมทำลายชาติบ้านเมือง แต่กลับผงาดขึ้นมามีชื่อเป็นรัฐมนตรีไปแล้ว
เรื่องของนางนลินี ถูกเปิดโปงออกมา เป็นบุคคลไม่พึงปรารถนาของประเทศสหรัฐอเมริกา ติดบัญชีดำห้ามเข้าประเทศ เนื่องจากเหตุที่นางนลินี มีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันขบวนการแบล็กมันนี่ คอร์รัปชัน ของรัฐบาลซิมบับเว ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่มีใครกล้าออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ว่า ไม่เป็นความจริง
ขณะเดียวกัน ฟังดูแล้วทางรัฐบาลน่าจะรู้เรื่องนางนลินี ติดบัญชีดำที่ทางการสหรัฐฯไม่ออกวีซ่าเข้าประเทศให้มาก่อนจะเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีด้วยซ้ำ แต่ก็ฝืนเลือกเข้ามาจนได้ เพราะคิดว่าความผิดแค่นี้ ขั้นนี้ยังไม่เข้าข่ายเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ
ยกเอาข้ออ้างไม่ขัดรัฐธรรมนูญเป็นหลักประกัน ทั้งๆ ที่หากดูให้ดี ข้อบัญญัติเกี่ยวกับการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง หรือองค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญทุกฉบับ จะกำหนดคุณสมบัติบุคคลเหล่านี้ไว้ ต้องเป็นผู้ที่มี “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” เท่านั้น จึงจะเป็นผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเข้ามาใช้อำนาจ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็มีระบุไว้ ดังนั้นจะว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ไม่ได้
แต่สำหรับ “รัฐบาลทักษิณส่วนหน้า” พวกกูจะเลวทรามอย่างไร กูจะตั้งพวกกูเสียอย่าง ใครจะทำไม ??
รัฐบาลนี้ไม่ได้ให้ความใส่ใจต่อความรู้สึกของประชาชนคนไทยเลย แม้แต่คน 15 ล้านคน ที่เลือกพรรคเพื่อไทยก็ตาม ที่เชื่อว่าไม่มีใครต้องการคนที่มีความมัวหมองมีมลทินในเรื่องความสุจริตเข้ามาทำงาน
แต่รัฐบาลคงคิดแค่ว่า คนที่เลือกเข้ามาร่วมรัฐบาล เป็นรัฐมนตรีนั้น ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับแม้ว่าคนที่ถูกเลือกมา จะมีปัญหาในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต อันขัดหลักจริยธรรมอย่างชัดเจนก็ตาม
ภาพของรัฐมนตรีในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ 2 ซึ่งถูกวิจารณ์ตั้งแต่วันแรก ที่เปิดโฉมหน้าออกมาว่า แย่ยิ่งกว่าพวกที่ถูกถอดออกไปเสียด้วยซ้ำ นั่นยังเป็นเพียงความรู้สึกที่สะท้อนออกมาเท่านั้น แต่ความจริงเชิงประจักษ์ ที่เปิดเผยออกมาในกรณีนางนลินี ติดบัญชีดำสหรัฐฯ ห้ามเข้าประเทศคือข้อเท็จจริง
จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า คนที่ได้รับการเฟ้นตัวมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ ไม่ต้องเป็น “คนดี” ก็ได้
ในกรณีนางนลินี เป็นความเหมือนในความแตกต่างกับรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เรื่องของนางนลินี เป็นเพียง “ยอดของปัญหา” ที่ปิดไม่มิด ฉาวโฉ่โผล่ออกมาเพราะถูกกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐฯ จับได้ ไล่ทัน
แน่นอน ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังมีรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมเลวทรามต่ำช้า ทำตัวเป็น “โจรปล้นแผ่นดิน”มาตลอดชีวิต เพียงแต่ในวันนี้ ยังไม่มีหลักฐานที่พอจะจับได้คาหนังคาเขา เอาตัวเข้าคุกเข้าตะรางได้เท่านั้นเอง
ตัวอย่างเช่น บางคนก็มีฐานะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี มีคฤหาสน์หลังใหญ่โตหลายหลัง มีรถยนต์ระดับซูเปอร์คาร์ จนบ้านไม่มีที่จะจอด แต่ละวันใช้ชีวิตเสพสุข ตกเย็นกินไวน์ขวดละหลายหมื่นบาท แต่ตลอดชีวิตไม่เคยทำอาชีพสุจริตเลย เล่นการเมืองอย่างเดียว พอได้จังหวะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีก็โกงทุกอย่างที่ขวางหน้า เรียกรับผลประโยชน์ทุกทางตั้งแต่เรื่องแต่งตั้งข้าราชการ จนถึงรวมหัวกับพ่อค้า งาบเงินงบลงทุนของรัฐ กินปากมันตั้งแต่โครงการเล็ก ไล่ไปถึงเมกกะโปรเจกต์
มาได้ดิบได้ดีเป็นรัฐมนตรีหัวหมู่ทะลวงฟัน ในคณะรัฐบาลคราวนี้ ก็หมายว่าจะรับประทานให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นโบนัสชิ้นสุดท้ายในชีวิต
หรืออย่าง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ว่าที่รัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เติบโตบนเส้นทางการเมืองจาก “สู้แล้วรวย” เผาบ้านเผาเมือง จนส่งให้ก้าวขึ้นมาเป็นอำมาตย์ อยู่รอมร่อในอีกไม่กี่วัน ตอนนี้ณัฐวุฒิ มีคดีที่ถูกกล่าวหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสมที่จะได้รับการเลือกมาเป็นรัฐมนตรี
เหตุที่ได้มา ก็เพราะ “เจ้าของรัฐบาล” ต้องการระบายอุณหภูมิร้อนทางการเมืองของกลุ่มเสื้อแดง ที่หากไม่ยกเก้าอี้รัฐมนตรีให้ เพื่อไม่เอาใจกันไว้ อาจจะกลายเป็นหมาบ้าแว้งกัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีตัวจริงได้ ณัฐวุฒิ ก็เลยได้ขึ้นเถลิงอำนาจ จากไพร่มาเป็นอำมาตย์ ด้วยผลงานชิ้นสำคัญ คือปลุกปั่นประชาชน เผาบ้านเผาเมือง นั่นเอง
หากเปรียบเทียบมาตรฐานของ “ณัฐวุฒิ กับนลินี” แล้ว วิญญูชนย่อมเห็นได้ว่ามันเป็นภาพอัปลักษณ์เหมือนกัน และเป็นความเหมือนในความแตกต่างกันโดยแท้ ถามว่า ใครดีกว่าใครตรงไหน ? ตอบยาก เพราะคนหนึ่งติดแบล็กลิสต์ไทย กับอีกคนติดแบล็กลิสต์สหรัฐฯ แต่คนทั้งสองก็ได้เป็นรัฐมนตรี โดยที่ “นายกฯนกแก้ว” ยืนยันว่า เป็นคนดีมีความสามารถ แต่ถ้าลองถามต่อว่า ดีตรงไหน “นายกฯนกแก้ว” ก็คงตอบว่า ขอตรวจสอบดูก่อนเป็นแน่
การออกมาชี้แจงแถลงไขของนางนลินี ย่อมมุ่งหวังเพื่อออกมากอบกู้ภาพลักษณ์ของตน เป็นเพียงคำแก้ตัวไม่ต่างจากคำแก้ตัวของจำเลยในศาล ทางที่ถูกแล้วนางนลินี ต้องไปต่อสู้กับกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐฯ เพื่อเอาความบริสุทธิ์กลับคืน ถ้าไม่ได้ทำผิดจริง ก็คงจะได้รับความเป็นธรรม แล้วกลับมาบอกให้คนไทยหลังจากนั้น
แต่การออกมาตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จกับคนไทยตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไร และขอเตือนว่าอย่าเอาคนไทยไปร่วมอยู่ในความขัดแย้งในเรื่องนี้ด้วย เพราะจะพาซวยกันไปทั้งประเทศ
ส่วนนางนลินีจะขอถอนตัวออกไปจากครม.หรือไม่ หรือนายกฯ ยิ่งลักษณ์จะอุ้มเอาไว้ต่อไป หรือยอมตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตรัฐบาล ก็ไม่ใช่เป็นสาระสำคัญ เพราะรัฐมนตรีในครม.ชุดนี้ ก็ล้วนแล้วแต่มอมแมม ปากมัน กันถ้วนหน้า จะตัดไปคนหนึ่งหรือให้อยู่ต่อ ก็ไม่ได้ทำให้รัฐบาลนี้หมดภาพอัปลักษณ์ !