00 นาทีนี้สำหรับ พรรคเพื่อไทย มาจนถึงนายกฯนกแก้ว อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ต้องเดินหน้าแถแบบดันทุรัง “กลบเกลื่อน” กันไปเรื่อยเปื่อยกับความผิดพลาดแบบ “คาดไม่ถึง” กับการตั้ง นลินี ทวีสิน เป็น รมต.ทั้งที่ถูกขึ้นแบล็กลิสต์โดยสหรัฐ ฐานทำธุรกิจกับ “ทรราชย์แห่งซิมบับเว” นามโรเบิร์ตมูกาเบ้ แม้ในใจจะรู้ว่า “พลาด” เต็มเปาและได้ไม่คุ้มเสีย แต่ในภาวะกะทันหันแบบนี้ยังถอยกลับมาไม่ได้ ต้องลุยถั่วมั่วไปก่อน อีกทั้งได้ส่งชื่อทูลเกล้าฯไปแล้ว
00 ข่าวที่บอกว่าให้ทู่ซี้อยู่ไปก่อนระยะหนึ่งสักเดือนแล้วค่อยคิดหาเหตุผลให้สวยหรู เช่น อ้างสปิริตเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมแล้วลาออก ซึ่งก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าถามว่าสำหรับ เส้นทางการเมืองของ นลินี ถือว่า “จบแล้ว” จบเพราะถูกมะกันขึ้น “บัญชีดำ” นั่นแหละ เพราะถ้ามีรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลไทยหรือรัฐบาลประเทศไหนก็ตามหากเจอในลักษณะแบบนี้เข้ามันย่อมไม่เป็นผลดี แม้ว่าเราจะชอบ “ไอ้กัน” หรือไม่ก็ตาม เพราะอีกด้านหนึ่งต้องยอมรับว่าเรายังเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาทางเศรษฐกิจและหลายๆด้าน เมื่อมี รมต.สักคนหนึ่งโดนเข้าแบบนี้มันก็ย่อมมีผลสะเทือนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะมีผลต่อการ “ทำธุรกรรมทางการค้า” ระหว่างนักลงทุนทั้งสองฝ่ายที่ต้องเสี่ยง “ต้องห้าม” ตามไปด้วย
00 ที่สำคัญที่สุดก็คือ มันจะมีผลกระทบไปถึง ทักษิณ ชินวัตร เข้าอย่างจัง หากยังดึงดันทำเป็น ตะแบงแบบ “ศรีธนญชัย” เหมือนที่ทำกับประเทศตัวเอง เพราะต้องไม่ลืมว่าที่ผ่านมา “เสี่ยเหลี่ยม” กำลังทำทุกทางเพื่อ “เอาใจ” สหรัฐ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ และต้องการเข้านอกออกในที่นั่นและที่ผ่านมาก็เริ่มมีแนวโน้มไปได้สวย แต่ก็ดันมาเจอเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้เข้าจนได้ ที่บอกว่า อนาคตของ นลินี จบแล้วก็เพราะว่าเธอ “ไม่มีความสำคัญ” มากพอที่ ทักษิณ จะเอาไปแลก เพียงแต่ว่าตอนนี้เมื่อพลาดแบบคาดไม่ถึงไปแล้วก็ต้องใช้ตีลูกมึนไปแบบชั่วคราว แค่นั้นเอง
00 อีกมุมหนึ่งต้องตั้งคำถามว่าคนอย่าง นลินี ซึ่งเคยเป็นถึงอดีต “ผู้แทนการค้าไทย” จะไม่รู้เลยหรือว่าเคยถูกขึ้นบัญชีดำ รวมไปถึงสาเหตุมาจากเรื่องอะไร ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากตำแหน่งดังกล่าว รวมไปถึงตามข่าวบอกว่าเคยมีการทำธุรกิจผ่านทางเมียของผู้นำซิมบับเวด้วยแล้วมันก็ยิ่งเข้าเค้า ซึ่งเจ้าตัวน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหากได้เป็นรมต.มันก็จะมีผลต่อการล็อบบี้ปลดชื่อตัวเองออกจากบัญชีดำ แต่ทีนี้ไอ้กันมันดันไม่ยอม เรื่องถึงได้แดงออกมาแบบนี้ไง
00 ส่วนเรื่อง “ฮุบปตท.” แบบเบ็ดเสร็จโดยให้พ้นสภาพจากการเป็นรัฐวิสาหกิจนั้นก็ถือว่าคงไม่ “หวานหมู” แล้ว เพราะเมื่อสังคมรู้ทันเท่าไหร่ มันก็จะถูกขัดขวาง อีกทั้งเมื่อราคาน้ำมันแพงแบบนี้มันก็ยิ่งทำให้ชาวบ้าน “หัวเสีย” มากขึ้น เพราะหากเปรียบเทียบกัน สมมุติถ้าเราซื้อน้ำมันลิตรละ 40 บาทแม้จะแพง แต่ถ้า ปตท.เป็นของรัฐทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์กำไรที่ได้ก็เป็นของรัฐ ของชาวบ้าน ไม่ใช่ต้องมาแบ่งให้พวกนายทุนที่เข้ามาอิงแอบสูบเลือดอยู่แบบนี้ ดังนั้นถึงเวลาที่จะต้องเอา ปตท.คืนมาทั้งหมด ยิ่งตอนนี้เห็น วีรพงษ์ รามางกูร และ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ต่างออกมาให้เหตุผลแบบทุเรศ ก็ยิ่งน่าหมั่นไส้ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ทุด !!
00 ข่าวที่บอกว่าให้ทู่ซี้อยู่ไปก่อนระยะหนึ่งสักเดือนแล้วค่อยคิดหาเหตุผลให้สวยหรู เช่น อ้างสปิริตเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมแล้วลาออก ซึ่งก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าถามว่าสำหรับ เส้นทางการเมืองของ นลินี ถือว่า “จบแล้ว” จบเพราะถูกมะกันขึ้น “บัญชีดำ” นั่นแหละ เพราะถ้ามีรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลไทยหรือรัฐบาลประเทศไหนก็ตามหากเจอในลักษณะแบบนี้เข้ามันย่อมไม่เป็นผลดี แม้ว่าเราจะชอบ “ไอ้กัน” หรือไม่ก็ตาม เพราะอีกด้านหนึ่งต้องยอมรับว่าเรายังเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาทางเศรษฐกิจและหลายๆด้าน เมื่อมี รมต.สักคนหนึ่งโดนเข้าแบบนี้มันก็ย่อมมีผลสะเทือนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะมีผลต่อการ “ทำธุรกรรมทางการค้า” ระหว่างนักลงทุนทั้งสองฝ่ายที่ต้องเสี่ยง “ต้องห้าม” ตามไปด้วย
00 ที่สำคัญที่สุดก็คือ มันจะมีผลกระทบไปถึง ทักษิณ ชินวัตร เข้าอย่างจัง หากยังดึงดันทำเป็น ตะแบงแบบ “ศรีธนญชัย” เหมือนที่ทำกับประเทศตัวเอง เพราะต้องไม่ลืมว่าที่ผ่านมา “เสี่ยเหลี่ยม” กำลังทำทุกทางเพื่อ “เอาใจ” สหรัฐ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ และต้องการเข้านอกออกในที่นั่นและที่ผ่านมาก็เริ่มมีแนวโน้มไปได้สวย แต่ก็ดันมาเจอเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้เข้าจนได้ ที่บอกว่า อนาคตของ นลินี จบแล้วก็เพราะว่าเธอ “ไม่มีความสำคัญ” มากพอที่ ทักษิณ จะเอาไปแลก เพียงแต่ว่าตอนนี้เมื่อพลาดแบบคาดไม่ถึงไปแล้วก็ต้องใช้ตีลูกมึนไปแบบชั่วคราว แค่นั้นเอง
00 อีกมุมหนึ่งต้องตั้งคำถามว่าคนอย่าง นลินี ซึ่งเคยเป็นถึงอดีต “ผู้แทนการค้าไทย” จะไม่รู้เลยหรือว่าเคยถูกขึ้นบัญชีดำ รวมไปถึงสาเหตุมาจากเรื่องอะไร ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากตำแหน่งดังกล่าว รวมไปถึงตามข่าวบอกว่าเคยมีการทำธุรกิจผ่านทางเมียของผู้นำซิมบับเวด้วยแล้วมันก็ยิ่งเข้าเค้า ซึ่งเจ้าตัวน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหากได้เป็นรมต.มันก็จะมีผลต่อการล็อบบี้ปลดชื่อตัวเองออกจากบัญชีดำ แต่ทีนี้ไอ้กันมันดันไม่ยอม เรื่องถึงได้แดงออกมาแบบนี้ไง
00 ส่วนเรื่อง “ฮุบปตท.” แบบเบ็ดเสร็จโดยให้พ้นสภาพจากการเป็นรัฐวิสาหกิจนั้นก็ถือว่าคงไม่ “หวานหมู” แล้ว เพราะเมื่อสังคมรู้ทันเท่าไหร่ มันก็จะถูกขัดขวาง อีกทั้งเมื่อราคาน้ำมันแพงแบบนี้มันก็ยิ่งทำให้ชาวบ้าน “หัวเสีย” มากขึ้น เพราะหากเปรียบเทียบกัน สมมุติถ้าเราซื้อน้ำมันลิตรละ 40 บาทแม้จะแพง แต่ถ้า ปตท.เป็นของรัฐทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์กำไรที่ได้ก็เป็นของรัฐ ของชาวบ้าน ไม่ใช่ต้องมาแบ่งให้พวกนายทุนที่เข้ามาอิงแอบสูบเลือดอยู่แบบนี้ ดังนั้นถึงเวลาที่จะต้องเอา ปตท.คืนมาทั้งหมด ยิ่งตอนนี้เห็น วีรพงษ์ รามางกูร และ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ต่างออกมาให้เหตุผลแบบทุเรศ ก็ยิ่งน่าหมั่นไส้ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ทุด !!