00 เดินกันไปตามขั้นตอน เริ่มจากการคัดคนเข้ามาทำงานรับใช้ ค่อยๆ และเล็มกันไปเรื่อยๆ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย หากบอกว่าเวลานี้แผน “ฮุบปตท.” อย่างเบ็ดเสร็จ ได้ดำเนินใกล้มาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว หลังมีการเปลี่ยนแปลง “ขุนคลัง” คนใหม่ เป็น กิตติรัตน์ ณ ระนอง สำหรับเตรียมการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่ในองค์กรธุรกิจที่มีกำไรมหาศาลดังกล่าว ต้องการแปรสภาพให้พ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐถือหุ้นใหญ่โดยกระทรวงการคลัง ด้วยวิธีการลดหุ้นลงอีก 2 เปอร์เซ็นต์ ให้เหลือ 49 เปอร์เซ็นต์ โดยนำ 2 เปอร์เซ็นต์ดังกล่าวไปขายให้เอกชน หรือจะมาในรูปแบบต่างๆ เช่น ให้กองทุนวายุภักษ์เข้ามาซื้อ อ้างว่าเพื่อต้องการลดหนี้สาธารณะ ความหมายที่เปิดเผยออกมาอย่างแรกก็คือเป็นการตกแต่งบัญชี สำหรับการ “กู้” เพิ่ม และคนไทยก็เป็นหนี้เพิ่ม ขณะที่ “พวกแม้ว” รวยเพิ่ม
00 ความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้กิเลส และ “ความโลภ” ก็คือต้องการเข้ามาฮุบปตท.เข้ามาเป็นเจ้าของ “ธุรกิจพลังงาน” ที่มีผล “กำไรมหาศาล” ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ที่ผ่านมาได้นำร่อง “ชง” ขึ้นมาก่อนจาก “กุนซือใหญ่” วีระพงษ์ รามางกูร ในฐานะประธาน กยอ. และต่อมาก็รับลูกทันทีจาก “เสี่ยโต้ง” ประกาศว่า ภายในปีนี้จะดำเนินการให้ปตท.พ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจได้สำเร็จ เป้าหมายอีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำไม่ต่างกันคือ การบินไทย ที่ต้องเข้าไปฮุบ
00 อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาในแง่ยุทธศาสตร์ และความสำคัญสำหรับพี่น้องประชาชนแล้ว ธุรกิจประเภทพลังงาน และกิจการด้านสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ต้องเป็นของรัฐ หรืออย่างน้อยต้องเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐเป็นเจ้าของ หากปล่อยให้ตกไปในอยู่ในมือของ “เอกชน” ที่อยู่ในรูปแบบของการเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ต่อไปเราจะได้เห็นการขึ้นราคาตามใจชอบ หวังผลแต่กำไรเท่านั้น ทั้งที่ในรูปแบบปัจจุบันที่เปิดทางให้เอกชนที่เป็นกลุ่มทุนการเมืองเข้ามา “สูบเลือด” ในส่วนแบ่งที่เหลือ 49 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่า “ทุเรศ” พออยู่แล้ว แต่นี่ยังโลภไม่รู้จักพอ คิดเข้ามาฮุบกันอย่างเบ็ดเสร็จเลยรึ “ไอ้เหลี่ยมจัด”
00 พูดก็พูดเถอะ ถ้าเป็นกรณีของ การบินไทย หากพิจารณาในบางมุม ก็อาจเป็นไปได้ สำหรับการแข่งขันในทางธุรกิจประเภทนี้กับต่างชาติ เพื่อความคล่องตัว ก็อาจพอฟังขึ้น (บ้าง) แต่สำหรับ ปตท.นี่ยอมไม่ได้เด็ดขาด ในทางตรงข้าม ต้องหาทางเอาคืนมาเป็นของรัฐทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป และต้องทำโดยเร็ว จะปล่อยให้พวกตระกูลนักการเมือง ทุนการเมือง เข้ามาเอาเปรียบไม่ได้เป็นอันขาด
00 เริ่มเปิดฉากมาก็มีราคีเสียแล้ว สำหรับ นลินี ทวีสิน รมต.ประจำสำนักฯคนใหม่ ที่ถูกทางการสหรัฐฯ ขึ้นแบล็กลิสต์ ฐานติดต่อคบค้ากับทรราชย์ “มูกาเบ้” แห่งซิมบับเว แอฟริกา แม้ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะกัดฟันปกป้อง อ้างว่าไม่ขัดรธน.ไทย แต่การตั้งคนแบบนี้เป็นรมต. ก็ลองใช้หัวสมองกลวงๆ คิดหน่อยว่าเหมาะหรือไม่ แถมยังต้องย้อนไปเมื่อครั้งเป็น “ผู้แทนการค้าไทย” ได้ทำธุรกิจแอบแฝงอะไรหรือไม่ด้วย เพราะเมื่อนำมาปะติดปะต่อกัน มันทะแม่งพิกล !!
00 ความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้กิเลส และ “ความโลภ” ก็คือต้องการเข้ามาฮุบปตท.เข้ามาเป็นเจ้าของ “ธุรกิจพลังงาน” ที่มีผล “กำไรมหาศาล” ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ที่ผ่านมาได้นำร่อง “ชง” ขึ้นมาก่อนจาก “กุนซือใหญ่” วีระพงษ์ รามางกูร ในฐานะประธาน กยอ. และต่อมาก็รับลูกทันทีจาก “เสี่ยโต้ง” ประกาศว่า ภายในปีนี้จะดำเนินการให้ปตท.พ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจได้สำเร็จ เป้าหมายอีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำไม่ต่างกันคือ การบินไทย ที่ต้องเข้าไปฮุบ
00 อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาในแง่ยุทธศาสตร์ และความสำคัญสำหรับพี่น้องประชาชนแล้ว ธุรกิจประเภทพลังงาน และกิจการด้านสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ต้องเป็นของรัฐ หรืออย่างน้อยต้องเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐเป็นเจ้าของ หากปล่อยให้ตกไปในอยู่ในมือของ “เอกชน” ที่อยู่ในรูปแบบของการเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ต่อไปเราจะได้เห็นการขึ้นราคาตามใจชอบ หวังผลแต่กำไรเท่านั้น ทั้งที่ในรูปแบบปัจจุบันที่เปิดทางให้เอกชนที่เป็นกลุ่มทุนการเมืองเข้ามา “สูบเลือด” ในส่วนแบ่งที่เหลือ 49 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่า “ทุเรศ” พออยู่แล้ว แต่นี่ยังโลภไม่รู้จักพอ คิดเข้ามาฮุบกันอย่างเบ็ดเสร็จเลยรึ “ไอ้เหลี่ยมจัด”
00 พูดก็พูดเถอะ ถ้าเป็นกรณีของ การบินไทย หากพิจารณาในบางมุม ก็อาจเป็นไปได้ สำหรับการแข่งขันในทางธุรกิจประเภทนี้กับต่างชาติ เพื่อความคล่องตัว ก็อาจพอฟังขึ้น (บ้าง) แต่สำหรับ ปตท.นี่ยอมไม่ได้เด็ดขาด ในทางตรงข้าม ต้องหาทางเอาคืนมาเป็นของรัฐทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป และต้องทำโดยเร็ว จะปล่อยให้พวกตระกูลนักการเมือง ทุนการเมือง เข้ามาเอาเปรียบไม่ได้เป็นอันขาด
00 เริ่มเปิดฉากมาก็มีราคีเสียแล้ว สำหรับ นลินี ทวีสิน รมต.ประจำสำนักฯคนใหม่ ที่ถูกทางการสหรัฐฯ ขึ้นแบล็กลิสต์ ฐานติดต่อคบค้ากับทรราชย์ “มูกาเบ้” แห่งซิมบับเว แอฟริกา แม้ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะกัดฟันปกป้อง อ้างว่าไม่ขัดรธน.ไทย แต่การตั้งคนแบบนี้เป็นรมต. ก็ลองใช้หัวสมองกลวงๆ คิดหน่อยว่าเหมาะหรือไม่ แถมยังต้องย้อนไปเมื่อครั้งเป็น “ผู้แทนการค้าไทย” ได้ทำธุรกิจแอบแฝงอะไรหรือไม่ด้วย เพราะเมื่อนำมาปะติดปะต่อกัน มันทะแม่งพิกล !!
