xs
xsm
sm
md
lg

เช้าไหว้เจ้า บ่ายล้มเจ้า

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

เมื่อวานนี้ (22) ชาวจีนทั่วโลก รวมถึงชาวไทยเชื้อสายจีนในบ้านเราถือเป็น “วันไหว้” ตามเทศกาลตรุษจีนหรือประเพณีวันขึ้นปีใหม่จีน ตามปฏิทินจันทรคติ ก่อนที่วันนี้จะเป็นวันขึ้นปีใหม่ หรือที่เรียกกันว่า “วันเที่ยว” หรือ “วันถือ”

สมาชิกในครอบครัวของผมไม่ได้ทำพิธีไหว้เทพเจ้าจีนและบรรพบุรุษกันเมื่อวานนี้ แต่ทำก่อนหน้านั้นหนึ่งวันคือวันเสาร์ที่ 21 มกราคม ซึ่งปกติแล้วคนจีนจะถือว่าเป็น “วันจ่าย” เนื่องจากเรายึดเอาฤกษ์สะดวกของสมาชิกในตระกูลและครอบครัวเป็นสำคัญ

ประเพณีการสักการะเทพเจ้าแห่งโชคลาภ และไหว้บรรพบุรุษของชาวจีนที่แต่ละบ้านจะนำบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลหรือที่เรียกว่า “เจียผู่” หรือรูปภาพของบรรพบุรุษหรือแผ่นป้ายที่สลักชื่อบรรพบุรุษ มาวางไว้ที่โต๊ะเซ่นไหว้ ที่มีกระถางธูปและอาหารเซ่นไหว้นั้นมีมานับพันปีแล้ว โดยจุดประสงค์ก็คือ การให้บุตรหลานได้กล่าวอวยพรปีใหม่กับเทพและรำลึกปู่ย่าตาทวด และบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วนั่นเอง

ส่วนอุบายอันแยบคายของประเพณีดังกล่าวที่ต้องการให้คนทั้งตระกูลมาอยู่รวมกันก็เพื่อกระชับสัมพันธ์ของญาติพี่น้อง คนในครอบครัว และวงศ์ตระกูลให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หรือหากมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจก็ใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจกัน รวมถึงเปิดโอกาสให้ลูกหลานที่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันได้มีโอกาสใกล้ชิดกัน เพื่อผูกความสามัคคีของคนในครอบครัวและตระกูลนั้นๆ

จริงๆ แล้วประเพณีการไหว้บรรพบุรุษของชาวจีนที่ตกทอดกันมานับพันปีนั้น มีรากฐานมาจากปรัชญาของลัทธิขงจื๊อ หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “หรูเจีย” กล่าวคือ เป็นประเพณีที่กระตุ้นให้บุตรหลานมีสำนึกถึง “ความกตัญญูกตเวทิตา” ต่อ พ่อ แม่ ครอบครัว และบรรพบุรุษผู้ให้กำเนิด เลี้ยงดู และให้การศึกษาจนเติบใหญ่มาเป็นผู้เป็นคนโดยสมบูรณ์

ในอดีตชาวจีนบางยุคบางสมัยที่เคร่งครัดในคำสอนของลัทธิขงจื๊อถึงกับห้ามให้ลูกหลานตัดเผ้าตัดผม เพราะถือว่าเส้นผมนั้นเป็นสิ่งที่พ่อแม่ให้มา ด้วยเหตุนี้ในหนังกำลังภายในเราจึงเห็นทั้งชาวบ้าน และจอมยุทธ์หญิงชายจึงล้วนแล้วแต่ต้องเกล้ามวย หรือมีผมยาวสลวยกันเกือบทุกคน

กล่าวถึงวันไหว้ในเทศกาลตรุษจีน วานนี้ผมเผอิญได้เห็น แกนนำ นปช., เอ็นจีโอเสื้อแดง, นักวิชาการสายล้มเจ้า บางคนเผยแพร่ข่าวสารผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์กบอกว่า ตอนเช้าหลังจากปฏิบัติภารกิจไหว้เจ้าในวันตรุษจีนแล้ว ตอนบ่ายตนก็ต้องเข้าร่วมเสวนากับกลุ่มนิติราษฎร์ จึงถึงบางอ้อว่า บรรดาแก่นแกนและมันสมองของกลุ่มคนเสื้อแดงและนักวิชาการที่อาฆาตมาดร้ายกับสถาบันพระมหากษัตริย์หลายๆ คนก็เป็น “คนไทยเชื้อสายจีน” เหมือนกันกับพวกผม

ในความเห็นส่วนตัวและคนในครอบครัวลิ้มทองกุล ซึ่งแค่ขึ้นต้นก็บ่งบอกแล้วว่า ปู่ย่าตาทวดเป็นคนจีนแน่นอน เพราะแซ่ลิ้ม หรือ หลิน (林) ในภาษาจีนกลาง พวกเราสำเหนียกตัวดีว่าพวกเราเป็น “เจ๊ก” เป็น “จีนปนไทย” ที่คนรุ่นทวดหนีภัยจากเกาะไหหลำมาพึ่งพระบรมโภธิสมภารของกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เพื่อให้ตัวเองมีโอกาสทำกิน มีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัว ให้ลูกหลานได้เติบโตและดำรงวงศ์ตระกูลต่อมา

ยิ่งได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับความยากลำบากของคนรุ่นปู่ย่าตาทวด และศึกษาประวัติศาสตร์ไทยจีนในช่วงเวลานั้นๆ ทำให้ผมยิ่งเข้าใจว่าเหตุใดบรรพบุรุษของผมจึงต้องหนีร้อนมาพึ่งเย็น และอพยพมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไทย

ยกตัวอย่าง คุณย่าที่เป็นจีนไหหลำแซ่ด่าน (“แซ่ตั้ง” ในภาษาแต้จิ๋ว และ “เฉิน” ในภาษาจีนกลาง) ก่อนที่จะแต่งงานกับคุณปู่ เมื่อก่อนก็ใช้ชีวิตอยู่ในแพริมคลองบางกอกน้อย หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คุณย่าเป็นคนจีนอพยพที่ไม่มีบ้านเป็นหลักเป็นแหล่งขนาดนั้นเลยทีเดียว ส่วนคุณปู่นั้นเป็นลูกครึ่งจีน-ไทย เนื่องจากคุณทวดอพยพมาจากเกาะไหหลำและมาได้ภรรยาเป็นคนไทยชื่อคุณย่าทอง โดยตั้งรกรากอยู่ที่ตำบลทุ่งหลวง อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย

นี่คือ ประวัติแบบย่อๆ ของคนตระกูลลิ้มทองกุลที่บรรพบุรุษบอกเล่าจากรุ่นสู่รุ่น จากลูกถึงหลาน ซึ่งในปัจจุบันบนบัตรประชาชนทุกคนระบุว่าตัวเอง เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้จะเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์แต่พวกเราก็ไม่เคยลืมพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ของไทยที่เสียสละเลือดเนื้อ ปกบ้านป้องเมือง สร้างบ้านแปงเมือง มาทุกยุคทุกสมัยเพื่อให้คนทุกเชื้อชาติไม่ว่าจะไทย จีน ลาว ญวน มอญ แขก ฝรั่ง ฯลฯ ได้อาศัย เติบใหญ่และทำมาหากินอย่างสงบสุข จนถึงรัชกาลปัจจุบัน

เมื่อผมหันกลับไปพิจารณาดูไล่ตั้งแต่ นายใหญ่ของคนเสื้อแดง เรื่อยมาถึงแกนนำ ลงไปถึงลูกสมุน นักเคลื่อนไหว สื่อมวลชน นักวิชาการ นักเขียนที่ฝังจิตฝังใจกับบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในปัจจุบัน เชื่อว่าร้อยละ 90 ล้วนแล้วแต่มีเชื้อจีน ไม่ว่าจะเป็น แซ่คู แซ่ด่าน แซ่อึ๊ง แซ่ตั้ง แซ่หม่า แซ่เอียว แซ่หยุ่น แซ่เอี่ยม ฯลฯ คนกลุ่มนี้ ทุกปีพอถึงเทศกาลต่างก็มีภารกิจไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว กับครอบครัวด้วยกันทั้งนั้น

สิ่งที่ผมสงสัยก็คือ แม้บางคนจะประกอบพิธีไหว้เจ้า-ไหว้บรรพบุรุษทุกปีๆ แต่พวกเขาเพียงประกอบพิธีไปตามรูปแบบ หรือ พวกเขาเข้าใจอย่างแท้จริงถึงแก่นแกนหรือปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังพิธีกรรมและประเพณีจริงๆ? หรือ หากคิดลึกไปกว่านั้น คนเหล่านี้หลงลืมไปแล้วหรือไม่ว่าคนรุ่นปู่ย่าตาทวดของเขาเคยมีสถานะเยี่ยงไรมาก่อนในสังคมและแผ่นดินนี้?

กระนั้น ผมก็ต้องออกตัวไว้ก่อนว่า ผมมิได้จะพยายามแบ่งชนชั้นวรรณะของคนในสังคมไทยว่า ใครเป็นคนไทยแท้ หรือ ใครเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เพราะหลักฐานก็ปรากฎอยู่ทนโท่ว่าทุกวันนี้บนผืนแผ่นดินแห่งนี้ไม่ว่าคุณจะมีรากเหง้ามาจากแห่งหนใด มีเชื้อสายใด นับถือศาสนาใด คุณก็ได้รับโอกาสเต็มที่ในการรับใช้ประเทศชาติและประชาชน แม้กระทั่งการดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของประเทศในฐานะ “นายกรัฐมนตรี”

ก่อนที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งลามปามไปถึงขั้นมีนักวิชาการปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมจากกลุ่มนิติราษฎร์เหิมเกริมถึงขั้นเรียกร้อง “มิให้พระมหากษัตริย์แสดงพระราชดำรัสต่อสาธารณะและจะต้องสาบานตนว่าจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและพิทักษ์รัฐธรรมนูญก่อนเข้ารับตำแหน่ง” ผมเห็นว่าคนเหล่านี้ทั้งหัวดำ-หัวขาวเหล่านี้ควรจะสำรวจตัวเองก่อน เริ่มต้นตั้งแต่พื้นฐานความคิด เรื่อยไปจนสติปัญญา คุณธรรม จริยธรรม และรากเหง้าของบรรพบุรุษ

น่าแปลกที่ วานนี้คนเหล่านี้หลายคน ตอนเช้าก็ไปประกอบพิธีไหว้เจ้า (ที่ไม่มีตัวตน) ปะหลกปะหลก แต่ตอนบ่ายกลับมาสุมหัวกันหาวิธีละเมิดสิทธิและลิดรอนพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ หรือ เจ้าของคนทั้งชาติ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นเสาหลักของประเทศชาติ ประชาชน และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงต่อทุกคนมาตลอดพระชนม์ชีพ

ทั้งนี้เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ผมขอยกข้อความตอนหนึ่งของ ศ.ดร.วิษณุ เครืองามที่เคยกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อการบริหารบ้านเมืองไว้ดังนี้

“ทุกครั้งที่ติดตามท่านนายกฯ ไปเฝ้าฯ ในฐานะเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผมจะยืนอยู่ที่ทางเดินข้างประตูห้องถวายสัตย์ปฏิญาณใกล้ๆ กับท่านราชเลขาธิการ และรองเลขาธิการพระราชวังฝ่ายที่ประทับ คราวหนึ่งระหว่างรอเสด็จลง เราปรารภกันว่าห้องอย่างนี้ พิธีอย่างนี้ ดำเนินการมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ นายกรัฐมนตรีคนแล้วคนเล่า รัฐมนตรีคนแล้วคนเล่า คณะแล้วคณะเล่าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ไม่รู้ว่ากี่คนต่อกี่คน กี่คณะต่อกี่คณะ ซ้ำหน้าบ้างเปลี่ยนหน้าบ้าง แต่ความอัศจรรย์และความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ว่าผู้รับการถวายสัตย์ปฏิญาณที่ประทับเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้องตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษยังคงเป็นพระองค์เดิม และเป็นพระองค์เดียวมาโดยตลอดโดยไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเหตุฉะนี้จึงกล่าวได้ว่าทรงมากล้นด้วยพระราชประสบการณ์อันยาวเป็นหลักเป็นประธานของประเทศอย่างที่ไม่มีคณะรัฐมนตรีใด นายกรัฐมนตรีใด หรือรัฐมนตรีคนใดจะสามารถสั่งสมประสบการณ์ได้เสมอเหมือน” [1]

หากเหล่านักวิชาเกินคณะนิติราษฎร์รวมกลุ่มนั่งสำเร็จความใคร่ทางวิชาการกันเองอยู่ริมสนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ หรือ สุมหัวนอนฝันกลางวันกันอยู่ในบ้านหรือที่ห้องทำงาน ประชาชนอย่างผมก็คงไม่อยากไปยุ่งอะไรด้วย เพราะขี้เกียจจะเสียเวลาทำมาหากิน

แต่วันนี้บอกตรงๆ ครับว่า พวกผมเหลืออดกับพฤติกรรมของพวกคุณจริงๆ และถ้าพวกคุณยังไม่หยุด ผมกับคุณก็คงอยู่ร่วมแผ่นดินกันลำบาก

หมายเหตุ :
[1] วิษณุ เครืองาม, หลังม่านการเมือง, (กรุงเทพฯ : มติชน) , 2554, หน้า 53.

กำลังโหลดความคิดเห็น