ASTVผู้จัดการรายวัน-"ถวิล เปลี่ยนศรี"แจง ดีเอสไอ เหมารวมหน่วยข่าวความมั่นคง ศอฉ.จัดทำผังล้มเจ้า ระบุ ไม่ได้หมายความว่า ผู้มีชื่อ ทำผิดหรือไม่ผิด ปัดไม่เคยพูดผังล้มเจ้าเป็นตราบาปของ ศอฉ."ธาริต"ชี้ต้องเลื่อนเดินทางไปสอบปากคำพยานที่ต่างประเทศ เหตุหัวหน้าทีมคดีล้มเจ้า อเมริกาไม่อนุมัติวีซ่า
วานนี้(18 ม.ค.) เวลา 10.00 น.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) เข้าพบ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ หรือคดีล้มเจ้าตามผัง ศอฉ. เพื่อให้ข้อมูลผังล้มเจ้า ในฐานะพยาน โดยการสอบสวนใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง
ภายหลังเข้าให้ถ้อยคำพนักงานสอบสวน นายถวิล เปิดเผยว่า ตนมาให้ปากคำในฐานะพยาน ไม่ใช่มาสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยใดๆทั้งสิ้น โดยดีเอสไอต้องการทราบข้อมูลที่มาที่ไปเรื่องผังล้มเจ้า ที่ ศอฉ.นำเสนอคณะกรรมการคดีพิเศษ ตนจึงได้ชี้แจงว่า การทำงานใน ศอฉ.เป็นการทำงานร่วมกันหลายหน่วยงาน โดยบอกไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ฝ่ายข่าวความมั่นคงทำขึ้นมา ซึ่งผังนี้เป็นผังที่เชื่อมโยงบุคคลและกลุ่มบุคคลที่ในขณะนั้น ศอฉ. เชื่อว่ามีการกระทำ แต่ ศอฉ.ไม่ได้หมายความว่าบุคคลในผังเป็นผู้กระทำผิด และไม่ได้หมายความว่าคนมีชื่อในผังไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด จึงเป็นหน้าที่ของดีเอสไอ ต้องไปเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสอบสวน
"อย่างไรก็ตาม ผมได้แจ้งกับ พ.ต.อ.ประเวศน์ว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญต่อคนไทย ขอให้ใช้ความละเอียดรอบคอบ หากมีการเร่งรัดคดีอาจไม่เป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา อยากให้ทำอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งกฎหมายของดีเอสไอได้ให้อัยการเข้าร่วมเป็นพนักงานสอบสวนในคดีด้วย"นายถวิล กล่าว
นายถวิล ได้กล่าวถึงกรณีนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายในสภาฯ ระหว่างการพิจารณาร่างงบประมาณเมื่อปลายปี 54 โดยระบุว่า นายถวิล ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า ผังล้มเจ้าเป็นตราบาปของ ศอฉ. เพราะไม่มีมูลความจริง ว่า เรื่องนี้ตนอยากชี้แจงมานานแล้ว โดยเมื่อปี 54 มีผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขอเข้าสัมภาษณ์ในประเด็นการทำงานของ ศอฉ.และได้พูดคุยเรื่องสบายๆ ในชีวิตประจำวัน โดยตนได้เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยใน ศอฉ.ให้ฟังหลายเรื่อง โดยไม่ได้พูดว่า ผังเป็นตราบาปของ ศอฉ. แต่คนเขียนบทความไปเขียนสรุปเอง
นอกจากนี้ นายถวิล กล่าวยืนยันว่า ไม่ได้พูดกับผู้สื่อข่าวถึงการเสนอให้แก้มาตรา 112 ตามประมวลกฎหมายอาญา โดยหมวดว่าด้วยความมั่นคงแห่งรัฐเป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าพระประมุขอยู่เหนือการเมือง ต้องมีกฎหมายคุ้มครอง จะปฎิบัติต่อท่านเหมือนคนทั่วไปไม่ได้ การมีกฎหมาย มาตรา 112 มีเหตุผล ตนทำงานด้านนี้มากว่าสิบปี คดีแบบนี้มีไม่มาก แต่มามีในช่วงความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อ 4-5 ปี ที่ผ่านมา โดยเกิดขึ้นผ่านหลายรูปแบบ ไม่ใช่เป็นปัญหาที่กฎหมายต้องไปแก้ไขให้ถูกจุด ซึ่งการบังคับใช้กฎหมาย หากมีการกลั่นแกล้งกันต้องไปแก้ไขเรื่องการบังคับใช้กฎหมายให้ถูกต้อง โดยขณะนี้บ้านเมืองมีความขัดแย้ง หากทำอะไรที่จะดึงฟืนออกจากเตาก็ขอให้ทำ ขอให้ระงับบางอย่างที่จะนำไปสู่ความรุนแรงและเสียหายต่อบ้านเมือง
ด้าน พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวว่า ดีเอสไอได้สอบปากคำนายถวิล ในประเด็นที่ว่าผังที่เรียกกันว่าผังล้มเจ้า มีที่มาที่ไปอย่างไร ใครเป็นผู้จัดทำ ก่อนได้รับคำตอบจากนายถวิล ว่าเป็นการจัดทำของเจ้าหน้าที่ ศอฉ.จากหลายหน่วยงานความมั่นคง แต่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลผู้กระทำได้ ซึ่งตนได้สอบถามถึงโครงสร้างของ ศอฉ.ตอนนั้นมีการแบ่งโครงสร้างอย่างไร ใครเป็นหัวหน้าด้านการข่าว ซึ่งนายถวิล จะรวบรวมข้อมูลจัดส่งเอกสารให้ทีหลัง หากพบมีใครเกี่ยวข้องกับการจัดทำผังก็จะเชิญมาสอบสวนต่อไป
**สหรัฐไม่อนุมัติวีซ่าหัวหน้าทีมทำคดี**
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยกรณี พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ หรือคดีล้มเจ้าตามผังศอฉ.พร้อมคณะทำงานอัยการคดีพิเศษ จะเดินทางไปรวบรวมข้อมูล สอบปากคำพยานเกี่ยวกับการกระทำผิดคดีล้มเจ้าที่เกิดขึ้นในต่างประเทศว่า ขณะนี้ยังไม่ได้วีซ่าจากสถานทูตสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาให้วีซ่าเข้าประเทศ ทางดีเอสไอและคณะทำงานอัยการคดีพิเศษ คงรอให้ได้รับอนุญาตเรียบร้อยจึงจะเดินทางไป
ทั้งนี้มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอและคณะทำงาน มีกำหนดจะเดินทางไปประเทศสหรัฐฯ ในวันอาทิตย์ที่ 22 ม.ค.นี้ แต่เมื่อยังไม่ได้รับการอนุมัติวีซ่า ทำให้จำเป็นต้องเลื่อนการเดินทางออกไปประมาณ 1-2 เดือน โดยคดีหมิ่นเบื้องสูง นั้นประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีกฎหมายหรือระบุว่าเป็นความผิดในคดีอาญา
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ในหมู่ข้าราชการดีเอสไอ ว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไม พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข ไปขอวีซ่าแล้วไม่ได้รับการอนุมัติ.
วานนี้(18 ม.ค.) เวลา 10.00 น.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) เข้าพบ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ หรือคดีล้มเจ้าตามผัง ศอฉ. เพื่อให้ข้อมูลผังล้มเจ้า ในฐานะพยาน โดยการสอบสวนใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง
ภายหลังเข้าให้ถ้อยคำพนักงานสอบสวน นายถวิล เปิดเผยว่า ตนมาให้ปากคำในฐานะพยาน ไม่ใช่มาสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยใดๆทั้งสิ้น โดยดีเอสไอต้องการทราบข้อมูลที่มาที่ไปเรื่องผังล้มเจ้า ที่ ศอฉ.นำเสนอคณะกรรมการคดีพิเศษ ตนจึงได้ชี้แจงว่า การทำงานใน ศอฉ.เป็นการทำงานร่วมกันหลายหน่วยงาน โดยบอกไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ฝ่ายข่าวความมั่นคงทำขึ้นมา ซึ่งผังนี้เป็นผังที่เชื่อมโยงบุคคลและกลุ่มบุคคลที่ในขณะนั้น ศอฉ. เชื่อว่ามีการกระทำ แต่ ศอฉ.ไม่ได้หมายความว่าบุคคลในผังเป็นผู้กระทำผิด และไม่ได้หมายความว่าคนมีชื่อในผังไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด จึงเป็นหน้าที่ของดีเอสไอ ต้องไปเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสอบสวน
"อย่างไรก็ตาม ผมได้แจ้งกับ พ.ต.อ.ประเวศน์ว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญต่อคนไทย ขอให้ใช้ความละเอียดรอบคอบ หากมีการเร่งรัดคดีอาจไม่เป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา อยากให้ทำอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งกฎหมายของดีเอสไอได้ให้อัยการเข้าร่วมเป็นพนักงานสอบสวนในคดีด้วย"นายถวิล กล่าว
นายถวิล ได้กล่าวถึงกรณีนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายในสภาฯ ระหว่างการพิจารณาร่างงบประมาณเมื่อปลายปี 54 โดยระบุว่า นายถวิล ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า ผังล้มเจ้าเป็นตราบาปของ ศอฉ. เพราะไม่มีมูลความจริง ว่า เรื่องนี้ตนอยากชี้แจงมานานแล้ว โดยเมื่อปี 54 มีผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขอเข้าสัมภาษณ์ในประเด็นการทำงานของ ศอฉ.และได้พูดคุยเรื่องสบายๆ ในชีวิตประจำวัน โดยตนได้เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยใน ศอฉ.ให้ฟังหลายเรื่อง โดยไม่ได้พูดว่า ผังเป็นตราบาปของ ศอฉ. แต่คนเขียนบทความไปเขียนสรุปเอง
นอกจากนี้ นายถวิล กล่าวยืนยันว่า ไม่ได้พูดกับผู้สื่อข่าวถึงการเสนอให้แก้มาตรา 112 ตามประมวลกฎหมายอาญา โดยหมวดว่าด้วยความมั่นคงแห่งรัฐเป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าพระประมุขอยู่เหนือการเมือง ต้องมีกฎหมายคุ้มครอง จะปฎิบัติต่อท่านเหมือนคนทั่วไปไม่ได้ การมีกฎหมาย มาตรา 112 มีเหตุผล ตนทำงานด้านนี้มากว่าสิบปี คดีแบบนี้มีไม่มาก แต่มามีในช่วงความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อ 4-5 ปี ที่ผ่านมา โดยเกิดขึ้นผ่านหลายรูปแบบ ไม่ใช่เป็นปัญหาที่กฎหมายต้องไปแก้ไขให้ถูกจุด ซึ่งการบังคับใช้กฎหมาย หากมีการกลั่นแกล้งกันต้องไปแก้ไขเรื่องการบังคับใช้กฎหมายให้ถูกต้อง โดยขณะนี้บ้านเมืองมีความขัดแย้ง หากทำอะไรที่จะดึงฟืนออกจากเตาก็ขอให้ทำ ขอให้ระงับบางอย่างที่จะนำไปสู่ความรุนแรงและเสียหายต่อบ้านเมือง
ด้าน พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวว่า ดีเอสไอได้สอบปากคำนายถวิล ในประเด็นที่ว่าผังที่เรียกกันว่าผังล้มเจ้า มีที่มาที่ไปอย่างไร ใครเป็นผู้จัดทำ ก่อนได้รับคำตอบจากนายถวิล ว่าเป็นการจัดทำของเจ้าหน้าที่ ศอฉ.จากหลายหน่วยงานความมั่นคง แต่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลผู้กระทำได้ ซึ่งตนได้สอบถามถึงโครงสร้างของ ศอฉ.ตอนนั้นมีการแบ่งโครงสร้างอย่างไร ใครเป็นหัวหน้าด้านการข่าว ซึ่งนายถวิล จะรวบรวมข้อมูลจัดส่งเอกสารให้ทีหลัง หากพบมีใครเกี่ยวข้องกับการจัดทำผังก็จะเชิญมาสอบสวนต่อไป
**สหรัฐไม่อนุมัติวีซ่าหัวหน้าทีมทำคดี**
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยกรณี พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ หรือคดีล้มเจ้าตามผังศอฉ.พร้อมคณะทำงานอัยการคดีพิเศษ จะเดินทางไปรวบรวมข้อมูล สอบปากคำพยานเกี่ยวกับการกระทำผิดคดีล้มเจ้าที่เกิดขึ้นในต่างประเทศว่า ขณะนี้ยังไม่ได้วีซ่าจากสถานทูตสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาให้วีซ่าเข้าประเทศ ทางดีเอสไอและคณะทำงานอัยการคดีพิเศษ คงรอให้ได้รับอนุญาตเรียบร้อยจึงจะเดินทางไป
ทั้งนี้มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอและคณะทำงาน มีกำหนดจะเดินทางไปประเทศสหรัฐฯ ในวันอาทิตย์ที่ 22 ม.ค.นี้ แต่เมื่อยังไม่ได้รับการอนุมัติวีซ่า ทำให้จำเป็นต้องเลื่อนการเดินทางออกไปประมาณ 1-2 เดือน โดยคดีหมิ่นเบื้องสูง นั้นประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีกฎหมายหรือระบุว่าเป็นความผิดในคดีอาญา
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ในหมู่ข้าราชการดีเอสไอ ว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไม พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข ไปขอวีซ่าแล้วไม่ได้รับการอนุมัติ.