ASTVผู้จัดการรายวัน – สรรพากรเล็งให้สามีภรรยาแยกกันยื่นภาษีหวังใช้การจัดเก็บอตราก้าวหน้าได้เต็มรูปแบบ ระบุมีคู่สมรสยื่นเสียภาษีร่วมกันถึง 20% ของผู้ยื่นแบบทั้งหมด พร้อมเดินหน้าปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบต่อเนื่องไว้รอนโยบายรัฐบาลประกาศใช้เมื่อใด ทบทวนระบบค่าลดหย่อน 19 รายการมุ่งเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้คนรายได้น้อยและกลางมากขึ้น
นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมได้พิจารณาเรื่องการแยกยื่นแบบเสียภาษีของสามีและภรรยา โดยหลังจากได้หารือเบื้องต้นแล้ว ทุกฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่า น่าจะถึงเวลาที่ให้สามีและภรรยาแยกกันยื่นแสดงแบบเสียภาษีได้แล้ว แม้ว่าโดยภาพรวมจะมีผลทำให้กรมสรรพากรมีรายได้ลดลง แต่ไม่น่าจะมากนัก เพราะว่า ทั้งสามีและภรรยาที่เคยยื่นแบบเสียภาษีด้วยกันนั้นมีกว่า 20% ของผู้เสียภาษีเท่านั้น และเมื่อแยกกันยื่นภาษีแล้ว จะทำให้ต้องเสียภาษีในอัตราก้าวหน้าด้วย ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้กรมสรรพากรมีข้อมูลพร้อมอยู่แล้ว
“เรื่องดังกล่าวต้องแก้ไขพ.ร.บ.ก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ขณะนี้ยังไม่ได้เข้าไปดูรายละเอียดว่ามีตัวเลขรายได้มากน้อยเพียงใด แต่ในหลักการเห็นด้วยที่จะให้แยกกันยื่น และต้องแก้ไขกฎหมายก่อน ซึ่งอาจต้องรอการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบหรือรายการอื่นไปพร้อมๆ กัน”
พร้อมกันนี้ เห็นด้วยที่จะปรับอัตราภาษีระหว่างนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดาให้ใกล้เคียงกัน เพื่อไม่ให้เกิดการย้ายไปมาระหว่างกัน เพราะปัจจุบันนี้ มองว่าบริษัทมีต้นทุนในการดำเนินการสูงกว่าบุคคลธรรมดาอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเป็นภาพลวงตา เพราะสุดท้ายแล้วก็จ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นแทน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องปรับลดอัตราภาษีสูงสุดลงแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลและฝ่ายการเมือง ก่อนว่าจะตัดสินใจอย่างไร ต้องการมุ่งกระจายรายได้ออกไป หรือเน้นการแข่งขันกับต่างประเทศได้ ก็ไม่ควรจะสูงกว่าของประเทศคู่แข่งขัน และจะประกาศใช้ช่วงเวลาใดจึงจะเหมาะสม
ทั้งนี้กรมสรรพากรได้หารือร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อร่วมกันพิจารณาการปรับโครงสร้างภาษี กำหนดว่าช่วงไหนจะพิจารณาเรื่องอะไร เมื่อได้ข้อยุติร่วมกันก็จะเสนอให้นายบุญทรง เตยาภิรมย์ รมช.คลังพิจารณาในระดับนโยบาย และนำเสนอให้ครม.ตัดสินใจต่อไป ซึ่งในส่วนของกรมฯ ยืนยันว่ามีข้อมูลพร้อมอยู่แล้ว โดยสัปดาห์หน้าจะไปหารือร่วมกับรมช.คลังต่ออีกครั้งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ได้พิจารณาเรื่องอัตราภาษีไปแล้ว โดยรูปแบบที่เสนอให้นั้นจะมีความถี่มากขึ้น แต่โดยภาพรวมนั้นทุกระดับจะเสียภาษีน้อยลง โดยพยายามให้ผู้เสียภาษีที่มีรายได้น้อย จนถึงระดับปานกลางได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะกรมสรรพากรมองถึงเรื่องการกระจายรายได้เป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้กรมฯ มีรายได้โดยภาพรวมลดลง แต่ทั้งขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ช่องทางไหน และมีรายการใดบ้างที่จะนำมาใช้
นายสาธิต กล่าวว่า ส่วนการพิจารณารายการหักค่าลดหย่อนกว่า 19 รายการนั้น ยอมรับว่าเป็นภาษาทางกฎหมายเขียนไว้ค่อนข้างยาก ดังนั้นจึงจะเริ่มจากการทำให้ตัวกฎหมายนั้นอ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้นก่อน และอนาคตต้องตรวจสอบด้วยว่าจะมีค่าลดหย่อนใดเพิ่มเติมเข้ามาอีกหรือไม่ โดยจะต้องให้คนชั้นกลางและล่างได้ประโยชน์มากขึ้น ไม่ใช่มีแต่คนรวยเท่านั้นที่ได้รับสิทธิประโยชน์มาก ซึ่งอาจจะกำหนดในตัวกฎหมายเลยว่า จะลดหย่อนได้กี่ประเภท และรวมกันแล้วต้องไม่ทำให้รัฐเสียรายได้เท่าใด เพื่อจำกัดการสูญเสียรายได้ของกรมไว้ระดับหนึ่ง
นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมได้พิจารณาเรื่องการแยกยื่นแบบเสียภาษีของสามีและภรรยา โดยหลังจากได้หารือเบื้องต้นแล้ว ทุกฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่า น่าจะถึงเวลาที่ให้สามีและภรรยาแยกกันยื่นแสดงแบบเสียภาษีได้แล้ว แม้ว่าโดยภาพรวมจะมีผลทำให้กรมสรรพากรมีรายได้ลดลง แต่ไม่น่าจะมากนัก เพราะว่า ทั้งสามีและภรรยาที่เคยยื่นแบบเสียภาษีด้วยกันนั้นมีกว่า 20% ของผู้เสียภาษีเท่านั้น และเมื่อแยกกันยื่นภาษีแล้ว จะทำให้ต้องเสียภาษีในอัตราก้าวหน้าด้วย ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้กรมสรรพากรมีข้อมูลพร้อมอยู่แล้ว
“เรื่องดังกล่าวต้องแก้ไขพ.ร.บ.ก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ขณะนี้ยังไม่ได้เข้าไปดูรายละเอียดว่ามีตัวเลขรายได้มากน้อยเพียงใด แต่ในหลักการเห็นด้วยที่จะให้แยกกันยื่น และต้องแก้ไขกฎหมายก่อน ซึ่งอาจต้องรอการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบหรือรายการอื่นไปพร้อมๆ กัน”
พร้อมกันนี้ เห็นด้วยที่จะปรับอัตราภาษีระหว่างนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดาให้ใกล้เคียงกัน เพื่อไม่ให้เกิดการย้ายไปมาระหว่างกัน เพราะปัจจุบันนี้ มองว่าบริษัทมีต้นทุนในการดำเนินการสูงกว่าบุคคลธรรมดาอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเป็นภาพลวงตา เพราะสุดท้ายแล้วก็จ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นแทน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องปรับลดอัตราภาษีสูงสุดลงแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลและฝ่ายการเมือง ก่อนว่าจะตัดสินใจอย่างไร ต้องการมุ่งกระจายรายได้ออกไป หรือเน้นการแข่งขันกับต่างประเทศได้ ก็ไม่ควรจะสูงกว่าของประเทศคู่แข่งขัน และจะประกาศใช้ช่วงเวลาใดจึงจะเหมาะสม
ทั้งนี้กรมสรรพากรได้หารือร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อร่วมกันพิจารณาการปรับโครงสร้างภาษี กำหนดว่าช่วงไหนจะพิจารณาเรื่องอะไร เมื่อได้ข้อยุติร่วมกันก็จะเสนอให้นายบุญทรง เตยาภิรมย์ รมช.คลังพิจารณาในระดับนโยบาย และนำเสนอให้ครม.ตัดสินใจต่อไป ซึ่งในส่วนของกรมฯ ยืนยันว่ามีข้อมูลพร้อมอยู่แล้ว โดยสัปดาห์หน้าจะไปหารือร่วมกับรมช.คลังต่ออีกครั้งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ได้พิจารณาเรื่องอัตราภาษีไปแล้ว โดยรูปแบบที่เสนอให้นั้นจะมีความถี่มากขึ้น แต่โดยภาพรวมนั้นทุกระดับจะเสียภาษีน้อยลง โดยพยายามให้ผู้เสียภาษีที่มีรายได้น้อย จนถึงระดับปานกลางได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะกรมสรรพากรมองถึงเรื่องการกระจายรายได้เป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้กรมฯ มีรายได้โดยภาพรวมลดลง แต่ทั้งขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ช่องทางไหน และมีรายการใดบ้างที่จะนำมาใช้
นายสาธิต กล่าวว่า ส่วนการพิจารณารายการหักค่าลดหย่อนกว่า 19 รายการนั้น ยอมรับว่าเป็นภาษาทางกฎหมายเขียนไว้ค่อนข้างยาก ดังนั้นจึงจะเริ่มจากการทำให้ตัวกฎหมายนั้นอ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้นก่อน และอนาคตต้องตรวจสอบด้วยว่าจะมีค่าลดหย่อนใดเพิ่มเติมเข้ามาอีกหรือไม่ โดยจะต้องให้คนชั้นกลางและล่างได้ประโยชน์มากขึ้น ไม่ใช่มีแต่คนรวยเท่านั้นที่ได้รับสิทธิประโยชน์มาก ซึ่งอาจจะกำหนดในตัวกฎหมายเลยว่า จะลดหย่อนได้กี่ประเภท และรวมกันแล้วต้องไม่ทำให้รัฐเสียรายได้เท่าใด เพื่อจำกัดการสูญเสียรายได้ของกรมไว้ระดับหนึ่ง
