นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทัพย์ หรือ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือเสนอกรมสรรพากร ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2554 เพื่อให้ยกเว้นการเก็บภาษีเงินปันผล ที่ปัจจุบันหักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อนกับการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยควรจะปรับให้สอดคล้องกับประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และฮ่องกง ที่ไม่จัดเก็บภาษีดังกล่าว และเป็นการรองรับการเปิดเสรีการเงินการลงทุนของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AECในปี 2558 ซึ่งจะช่วยให้ตลาดทุนไทย สามารถแข่งขันได้
นอกจากนี้ อัตราภาษีที่ใกล้เคียงยังเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทที่จดทะเบียน 2 ตลาดพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกรมสรรพากร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ ส่วนกรณีการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ที่ลงทุน ในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF ในการหักลดหย่อนภาษี เห็นว่ายังมีความจำเป็น เพราะเป็นการส่งสริมการออมและสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาว ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนมากกว่า
นายวรพล กล่าวว่า ขณะนี้ ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎเกณฑ์การจำหน่ายตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือ BE 10 ฉบับ เพื่อดูแลนักลงทุนรายย่อย ที่เข้ามาลงทุนในตั๋วบีอีมากขึ้น และจะออกเกณฑ์ใหม่ เพื่อกำหนดการจำหน่ายตั๋วบีอีแก่นักลงทุนรายย่อยต้องไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เพราะปัจจุบันมีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากที่เข้าไปลงทุนในตั๋วบีอี แต่ยังไม่มีความเข้าใจว่าตั๋วบีอี ไม่ได้รับการคุ้มครองเหมือนกับเงินฝาก ซึ่งเกรงว่านักลงทุนรายย่อย อาจจะเกิดความเสียหาย คาดว่าการกำหนดเกณฑ์ดังกล่าว จะแล้วเสร็จและประกาศใช้ในเดือนกรกฏาคม 2555 เพื่อให้เวลาธนาคารพาณิชย์ปรับตัว แต่ยืนยันประกาศดังกล่าว จะไม่กระทบต่อการจำหน่ายตั๋วบีอีแก่นักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบัน
นอกจากนี้ อัตราภาษีที่ใกล้เคียงยังเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทที่จดทะเบียน 2 ตลาดพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกรมสรรพากร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ ส่วนกรณีการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ที่ลงทุน ในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF ในการหักลดหย่อนภาษี เห็นว่ายังมีความจำเป็น เพราะเป็นการส่งสริมการออมและสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาว ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนมากกว่า
นายวรพล กล่าวว่า ขณะนี้ ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎเกณฑ์การจำหน่ายตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือ BE 10 ฉบับ เพื่อดูแลนักลงทุนรายย่อย ที่เข้ามาลงทุนในตั๋วบีอีมากขึ้น และจะออกเกณฑ์ใหม่ เพื่อกำหนดการจำหน่ายตั๋วบีอีแก่นักลงทุนรายย่อยต้องไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เพราะปัจจุบันมีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากที่เข้าไปลงทุนในตั๋วบีอี แต่ยังไม่มีความเข้าใจว่าตั๋วบีอี ไม่ได้รับการคุ้มครองเหมือนกับเงินฝาก ซึ่งเกรงว่านักลงทุนรายย่อย อาจจะเกิดความเสียหาย คาดว่าการกำหนดเกณฑ์ดังกล่าว จะแล้วเสร็จและประกาศใช้ในเดือนกรกฏาคม 2555 เพื่อให้เวลาธนาคารพาณิชย์ปรับตัว แต่ยืนยันประกาศดังกล่าว จะไม่กระทบต่อการจำหน่ายตั๋วบีอีแก่นักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบัน