ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-คงต้องบอกว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงแล้ว กับฉายา "ทักษิณส่วนหน้า" ที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลได้ตั้งฉายารัฐบาลของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมประจำที่เกิดขึ้นทุกปี เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาลที่ปรากฏต่อสาธารณชน
ทั้งนี้ เหตุผลสำหรับฉายาดังกล่าวมีที่มาที่ไปจากการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่สามารถสลัดภาพการครอบงำจาก “นช.ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ของคนเสื้อแดงได้ จึงกลายเป็นว่า รัฐบาลชุดนี้เปรียบเหมือนศูนย์บัญชาการส่วนหน้าของตัว นช.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายประชานิยม ที่ชูสโลแกน "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" หรือในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่บรรดาส.ส.ถึงกับเหาะเหินเดินอากาศไปถึงดูไบ เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ต่อหน้า อดีตนายกรัฐมนตรี
คงต้องกล่าวว่า ฉายาที่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับมานั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากความจริงเลยแม้แต่น้อย
ใครจะเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะก้าวผ่านมาสู่ตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองโดยใช้เวลาเพียงแค่ 49 วันและที่สำคัญไม่ต้องผ่านกระบวนทางการเมืองอย่างนักการเมืองทั่วไป
ใครจะไปเชื่อว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันที่นายกฯชื่อ “ยิ่งลักษณ์” จะทำให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้นมีเสียงข้างมาก หากไม่มีคนที่ชื่อทักษิณ ยืนเป็นเงาทะมึนอยู่ข้างหลังตลอดเวลา
แน่นอนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ คือ ตัวแทนของทักษิณ ที่ต้องพเนจรเร่ร่อนอยู่ต่างแดน เนื่องจากมีคดีติดตัวแต่ไม่ยอมให้ถูกจับกุม จึงไม่ยอมเข้าประเทศ แต่ด้วยศักยภาพทั้งพลังทางการเมือง พลังเงิน พลังมวลชนเสื้อแดง ของเขาก็สามารถทำให้พลิกกลับได้อำนาจรัฐอย่างเต็มพิกัด โดยมี “ยิ่งลักษณ์” เป็นตัวแทนอำนาจภายใต้บารมีของทักษิณ ที่ช่วยคิด ช่วยประดิษฐ์ และช่วยสั่งการแทนอยู่เบื้องหลัง
นอกจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่สนับสนุนอย่างแน่น มวลชนเสื้อแดงที่ปกป้องคุ้มครองทุกความเคลื่อนไหว ทั้งในภายนอกและศูนย์กลางอำนาจ ต่างก็ตำแหน่งใหญ่โตกันเป็นโขยง
และทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกการเคลื่อนไหว จึงบ่งบอกถึงความมีอิทธิพลทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตร ที่เสมือนเป็นศูนย์กลางอำนาจของรัฐบาล พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง ซึ่งส่งผลต่อความเป็นไปทางการเมืองของประเทศไทยให้ก้าวย่ำอยู่กับที่เหมือนเดิม
แน่นอน สำหรับปีมะโรงและปีงูใหญ่ 2555 นี้ นช.ทักษิณจะยังคงดำรงความเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลยิ่งลักษณ์เหมือนเช่นในปี 2554 ทว่า สิ่งที่จะแตกต่างออกไปก็คือ ในปี 2555 เชื่อว่า นช.ทักษิณจะทุ่มสรรพกำลังเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดทางการเมืองในทุกวิถีทาง
เรียกว่าทั้งบนดินและใต้ดินกันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ เป้าหมายสูงสุดของ นช.ทักษิณจะเป็นอะไรไปเสียไปได้ นอกจากต้องการพ้นผิดจากทุกโทษทัณฑ์ที่เขากำลังได้รับ รวมทั้งทวงคืนทรัพย์สมบัติกลับคืนมาสู่กระเป๋าตัวเองอีกครั้ง
**เพื่อแม้ว “เผาจริง” ปีมะโรง รื้อรัฐธรรมนูญฟอกผิด “ทักษิณ”
หากใครได้ติดตามการบริหารงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาตลอด ก็คงจะพบว่าไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร หรือแม้แต่ประเทศไทยในรอบปีที่ผ่านมาจะต้องเจอกับมหาภัยพิบัติน้ำท่วมหลายต่อหลายจังหวัด แต่กระนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ก็มิได้ว่างเว้นจากภารกิจเป้าหมายหลักของพวกเขา นั้นคือการช่วยปลดล็อก ดำเนินการปลดเปลื้องพันธนาการต่างๆ โละความผิดทางคดีความให้กับผู้เป็นพี่ชาย
เริ่มตั้งแต่การออกพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ โดยอาศัยจังหวะเนื่องโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา ที่มีกระแสข่าวหลุดออกมาจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ทำให้อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้นมาแบบฉับพลันโดยที่รัฐบาลไม่คาดหมายมาก่อน
แต่แล้ว ในที่สุด พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ก็ต้องออกมายืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ ช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายลง แต่ใช่ว่าสังคมจะไว้ใจรัฐบาล เพราะเชื่อว่าจะต้องมีการดำเนินการอื่นๆ ต่อเพื่อนำพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน สุดท้ายพอความแตกจนสังคมเกิดแรงต้าน บรรดาลิ่วล้อนายใหญ่ก็ม้วนเสื่อเก็บฉากไป
เกมสับขาหลอก เพื่อช่วยนายใหญ่ดูเหมือนจะไม่หมดแค่นั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เจ้าของฉายากุมารทองคะนองศึก ก็ยังเคยประกาศเปรี้ยงแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ว่าของจริงจะดำเนินการอย่างเปิดเผย โดยจะเสนอเป็นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านการพิจารณาของสภาฯตามกระบวนการฝ่ายนิติบัญญัติ
เป็ดเหลิม ประกาศว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง จะได้รับอานิสงส์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมด้วย ไม่ได้เฉพาะเจาะจงที่จะช่วย “ทักษิณ”คนเดียวเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ประเด็นนี้ดูจะมีน้ำหนักขึ้นมาอีกครั้งทันทีและส่งผลคาบเกี่ยวไปยังปี 2555 เพราะพรรคเพื่อไทย ได้มีท่าทีชัดเจนแล้วว่าได้เตรียมเผือกร้อนเตรียมนำเสนอเข้าสู่การพิจารณา กองอยู่ 3 ประเด็นใหญ่ด้วยกันในปีหน้า คือ 1. พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม 2.แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และ 3.พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการสภากลาโหม ทั้ง 3 กรรม 3 วาระ จะถูกนำเข้าที่ประชุมสภาฯภายในสมัยประชุมนิติบัญญัติ วันที่ 21 ธ.ค. 2554วันที่ 18 เม.ย. 2555
โดยทางพรรคเพื่อไทยก็ได้ประกาศชัดว่า จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในการประชุมสภาฯ สมัยนี้ โดยใช้ช่องทางแก้ รธน.มาตรา 291 เพื่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญให้ไปยกร่าง รธน.ใหม่ทั้งฉบับ และมีการทำประชามติ
แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คงหนีไม่พ้น ประเด็นหลักของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดงพุ่งเป้า คือการยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 309 ที่บัญญัติเอาไว้ว่า “บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือวันหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญ”
เพราะถ้ายกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 309 ก็เท่ากับว่าจะมีผลทำให้นอกจากบรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญจะถูกยกเลิกแล้ว บรรดาการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันไม่ว่าจะ "ก่อน” หรือ "หลัง” วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญก็ให้ต้องถูกยกเลิกตามไปด้วย
คดีหลายคดีที่ นช.ทักษิณตกเป็นจำเลยจากการตรวจสอบ และดำเนินการฟ้องร้องโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งเกิดขึ้นโดยคำสั่งของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เช่น คดีทุจริตประมูลซื้อที่ดินรัชดาภิเษก ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ ทักษิณถูกจำคุก 2 ปี และอีก 4 คดีที่ยังค้างอยู่ในศาลประกอบด้วย 1.คดีปล่อยเงินกู้ให้พม่าของเอ็กซิมแบงก์ หรือธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า 4 พันล้านบาท เอื้อประโยชน์ธุรกิจชินคอร์ป 2.คดีการแปลงสัญญาสัมปทานธุรกิจโทรคมนาคม เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กิจการชินคอร์ป 3.คดีทุจริตการออกหวยบนดิน 2 ตัว และ 3 ตัว 4.คดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินหนี้สินอันเป็นเท็จ หรือซุกหุ้น คดีเหล่านี้จะให้ถือเป็นโมฆะ และถูกยกเลิกไปตามการยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 309
ถือว่าเป็นวิธีที่รวบลัดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ถอนรากถอนโคน เพียงวิธีเดียวที่ล้มล้างความผิดให้แก่ทักษิณ ชินวัตร แบบฟอกขาวหมดจรด ดังนั้น จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมเหล่าแกนนำเสื้อแดงถึงได้รณรงค์ฝังหัวคนเสื้อแดงให้จงเกลียดจงชังรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ทุกเมื่อเชื่อวันว่าไม่เป็นประชาธิปไตยมานานนม นี่จึงเป็นเพียงโมเดลบางส่วนที่พรรคเพื่อไทย ได้วาดฝันไว้ให้กับนช.ทักษิณ แทบทั้งสิ้น เพราะเมื่อพิจารณาด้วยความเป็นธรรมในมุมไหนแล้ว ประชาชนชาวไทย ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเดือดร้อนอันใด กับการคงอยู่ของรัฐธรรมนูญ ปี2550 ฉบับปัจจุบัน เว้นก็แต่เพียงคนเสื้อแดงที่ยังคงถูก ทักษิณ และส.ส.เพื่อไทยจูงจมูกเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้สนับสนุนเพียงเท่านั้น
**แดงบนดิน-ใต้ดินจัดทัพรับศึกใหญ่
และอย่าได้แปลกใจอันใดอย่างล่าสุดจะเห็นขบวนการใต้ดิน คือแกนนำเสื้อแดงออกมาทำงานตามใบสั่งทันทีทันใด ชนิดที่เผยธาตุแท้กันอย่างโจ๋งครึ้มกันเลยทีเดียว ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า ควรจะมีการทำประชามติทีหลัง นั่นคือหลังจากร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยแล้วแล้วค่อยมาให้ประชาชนตัดสินว่าเอาหรือไม่เอา พร้อมทั้งอ้างว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ได้หาเสียงเอาไว้ เมื่อชนะท่วมท้นก็ถือว่าเป็นความต้องการของชาวบ้านก็ต้องทำ
ทั้งนี้ หากพิจารณากันเฉพาะประเด็นความต้องการก็ต้องบอกว่า เป็นการแสดงธาตุแท้ออกมาให้เห็นแบบหมดเปลือก เพราะเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างการทำประชามติก่อนและหลังนั้นมีความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง อย่างแรกถ้ามีการทำประชามติก่อน ก็ต้องมีการถกเถียงกันว่าจะมีการแก้ไขประเด็นใด และทำไมต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญปัจจุบันมันมีอุปสรรคต่อการบริหารบ้านเมืองอย่างไร จะอ้างว่ามาจากเผด็จการอย่างเดียวก็คงไม่ได้
ที่น่าตลกก็คือ นายณัฐวุฒิ จะมามัดมือชกเอาแบบนี้ไม่ได้ และต้องบอกว่าก็ยังเป็นพูดเอาดีเข้าตัวเพียงข้างเดียวอีกเช่นเคย ที่อ้างว่าพรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.เสียงข้างมาก แสดงว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งไม่เป็นความจริง ในความจริงแล้วพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกจากประชาชน เสียงข้างน้อยคือ 14.7 ล้านคน ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของผู้ที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง 35 ล้านคน ด้วยซ้ำไป เสียงข้างมากที่ออกมาใช้สิทธิกว่า 20 ล้านคน ไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทย สรุปอีกครั้งก็คือคนเสื้อแดง ก็เป็นเพียงแค่คนส่วนน้อยของประเทศเท่านั้น ไม่ได้เป็นเสียงส่วนใหญ่อย่างที่ แกนนำเสื้อแดง พูดเอาสีข้างถูชนิดเอาประโยชน์เข้าตัวอย่างเดียว
การที่บอกว่าจะมีการทำประชามติ เพื่อความแนบเนียนว่าในเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้รับการรับรองมาด้วย 14.7 ล้านเสียง ก็ต้องให้ประชาชนเห็นชอบก่อน เนื่องจากมั่นใจจากเสียงข้างมากที่ชนะเลือกตั้งถล่มทลาย แต่ก็คงลืมไปแล้วว่าการที่ประชาชนพากันเลือกให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้เสนอหน้าขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็มีผลพวงมาจากการหลอกต้มจากนโยบายประชานิยม ทั้งเรื่องค่าแรงวันละ 300 บาท จำนำข้าวไม่ต่ำกว่าเกวียนละ 15,000 บาทเป็นต้น ซึ่งป่านนี้ชาวบ้านยังคงรอกันใจจดใจจ่อ ฝันค้างไปตามๆกันอยู่
ถามว่าคราวนี้ถ้ามีแต่เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญโดดๆ อีกทั้งชาวบ้านยังรู้ว่ากระสันทำเพื่อทักษิณคนเดียว แถมผลงานรัฐบาลห่วยแตกมาประกอบอีก คิดหรือว่าจะผ่านได้ง่ายๆ เพราะก่อนถึงวันลงประชามติมันก็ยิ่งมีการรณรงค์มีการแฉเปิดโปงเข้มข้น
ทั้งนี้ การทำประชามติก่อนการแก้ไข นาทีนี้สำหรับ นช.ทักษิณ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยถือว่ามีความเสี่ยงสูง เพราะว่า ก่อนการลงประชามติแต่ละฝ่ายทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านการแก้ไขต่างก็ต้องมีการรณรงค์ มีเวทีอภิปรายถึงข้อดีข้อเสียของรัฐธรรมนูญกันอย่างกว้างขวาง มีการอภิปรายกันทีละประเด็นว่ามีเรื่องใดบ้างที่สมควรแก้ไข เป้าหมายก็เพื่อนำไปสู่ประชาธิปไตย จนความคิดตกผลึก แล้วให้ชาวบ้านตัดสินใจว่าแก้หรือไม่แก้
แต่ทีนี้ปัญหาก็คือถ้าทำแบบนั้น มันไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของ นช.ทักษิณ ส่วนที่อ้างว่าต้องการความเป็นประชาธิปไตยทั้งหลายแหล่ ก็เชื่อได้ว่าชาวบ้านโดยทั่วไป ที่ไม่ใช่คนเสื้อแดงเขารู้กันทั้งประเทศแล้วว่า วาระการแก้รัฐธรรมนูญ ใครจะเป็นคนได้ประโยชน์สูงสุด เพราะเป็นที่รับรู้กันอยู่ว่า สิ่งที่ต้องการก็คือจะแก้ไขอย่างไรเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ได้ทรัพย์สินคืน และกลับมามีอำนาจทางการเมือง ซึ่งก็ต้องเล็งไปที่มาตรา 309 อย่างช่วยไม่ได้ ส่วนเรื่องอื่นเป็นเรื่องรอง เป็นแค่องค์ประกอบตบตา ที่ทำให้การแก้ไขดูดีมีเหตุผลเท่านั้น และยิ่งมาประกอบกับการบริหารประเทศในช่วงอุทกภัยที่ผ่านพ้นไป ก็เรียกว่าดูไม่จืด แต่ก็ยังมิวายหน้าหนา ดึงดันที่จะแก้รัฐธรรมนูญเป็นวาระเร่งด่วน ทั้งที่มีงานใหญ่ในการเยียวยาแก้น้ำท่วมเป็นงานกระดูกชิ้นโตรออยู่อีกบานตะไท
ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปดูท่าทีของฝั่งเสื้อแดงอย่างนางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำคนเสื้อแดง ก็ยิ่งชัดเจนถึงแนวทางที่จะดึงดันให้มีการแก้ ม.309 อันเป็นความต้องการสูงสุดของ นช.ทักษิณ
เพราะล่าสุด ลิ่วล้อเสื้อแดงอย่าง นายประสงค์ บูรณ์พงษ์ ประธานที่ปรึกษาสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ก็ออกมารับลูกเช่นกันว่า ขณะนี้มีหมู่บ้านเสื้อแดงแล้ว 8,702 แห่ง มีสมาชิกถึง 3,807,520 คน และจะเดินหน้าเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงฯ ในทุกหมู่บ้านทุกประเทศทั่วประเทศเพื่อจะได้ชื่อว่าแดงทั้งแผ่นดิน ในชื่อ "โครงการหมู่บ้านเสื้อแดงอีสาน ล้านนา อโยธยาทักษิณ 1 ปี 3 หมื่นหมู่บ้าน"
นอกจากนี้ ทางสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ จะออกรณรงค์ให้ประชาชนคนเสื้อแดงร่วมออกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะถือว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังไม่เป็นประชาธิปไตยอำมาตย์ยังคงได้รับผลประโยชน์อยู่โดยทางสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงฯ จะเริ่มออกล่ารายชื่อให้ประชาชนรณรงค์สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค.ปี 2555
กล่าวสำหรับคนเสื้อแดง แน่นอนสิ่งที่ต้องพูดถึงก็คือ ยังมีความต้องการพ่วงการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ใส่ร้ายทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย
ต้องบอกว่านี่กระมัง ที่เป็นเป้าหมายสำคัญในการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง ที่กล่าวอ้างเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่าเพื่อประชาธิปไตย ที่แท้ก็ยังเป็นได้แค่หมากเบี้ยทางการเมือง ที่คอยจะช่วยช่วยเหลือ นช.ทักษิณ ชนิดไม่ลืมหูลืมตาเช่นเคย
ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือไม่ว่าจะซิกแซกด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่เป้าหมายปลายทางสุดท้ายก็ต้องไปบรรจบ เพื่อฟอกผิด นช.ทักษิณ จะยังเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองซึ่งอาจจะนำไปสู่ความสุ่มเสี่ยงในการปะทะของมวลชนที่จะเกิดขึ้นในปี 2555 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเหนืออื่นใดคงต้องยอมรับความจริงว่าการเมืองไทยยังข้ามไม่พ้นนช.ทักษิณอยู่วันยังค่ำ
**“ปูแดง” ก้มหน้ารับคำสั่ง นำประเทศชาติ-ประชาชนจมเหว
ขณะเดียวกัน เชื่อแน่ว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ประชาชนคงจะได้ยินข่าวทำนองว่า นช.ทักษิณโฟนอินเข้ามาพูดคุย กำหนดทิศทางความเป็นไปของส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งล่าสุดแว่วมาว่า นช.ทักษิณได้โฟนอินเข้ามาอวยพรปีใหม่กับรัฐมนตรี และ ส.ส. ทุกคน โดยระบุว่าคิดถึงและเป็นห่วงทุกคน ขอให้ทุกคนเจอแต่เรื่องดี ๆ อยากขอร้องว่าอย่าไปแก้แค้นรัฐบาลที่แล้ว
"ที่หายหน้าไป เพราะอยากให้นายกฯ และรัฐมนตรีได้ทำงานอย่างเต็มที่ ส.ส. ที่โทรมาแล้วไม่ได้รับสายก็ไม่ต้องน้อยใจ เพราะในช่วงนี้ข่าวปรับ ครม. เยอะ จึงไม่อยากรับสายใคร แต่ยืนยันว่ารักทุกคนและจะขยันดูให้บ่อยขึ้น รอบนี้ไม่ได้ก็รอรอบหน้า" แหล่งข่าวอ้างคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ
หรือจะเป็นคำพูดนายนพดล ปัทมะ ทนายหน้าหอ ที่แถลงว่า นช.ทักษิณจะไม่เดินทางมากัมพูชาในช่วงปีใหม่นี้ จะใช้เวลาช่วงปีใหม่นี้กับลูกในประเทศแถบทวีปยุโรป จึงขอเรียนให้บุคคลที่จะเดินทางไปพบ นช.ทักษิณที่กัมพูชาได้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อจะได้ไม่เสียเงิน และเสียเวลาเดินทางไปตามที่เป็น
ทั้งนี้ หาใช่เรื่องแปลกใจอันใด เพราะย่อมเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ส.ส.เพื่อไทย และแกนนำเสื้อแดงว่า หากจะอยากได้ดิบดีกันในตำแหน่งหน้าที่ การงาน สิ่งที่ควรไปกราบไหว้ บูชา และแสดงความเคารพ คือทักษิณ ชินวัตร ผู้มีอำนาจแต่เพียงหนึ่งเดียว อีกทั้งหน้าตาคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ที่ประชาชนได้เห็นความอัปลักษณ์ในการบริหารประเทศ ก็เป็นคณะบุคคลที่ได้รับการปั๊มตรายางจากประเทศดูไบ ด้วยกันทั้งสิ้น ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีถึงอิทธิพลของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีอยู่ล้นเหลือในพรรคเพื่อไทย ในฐานะที่เป็นบุคคลที่สามารถกำหนดทิศทาง ชี้ความเป็นทุกอย่างภายในรัฐบาล นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของ ทักษิณ ได้เป็นอย่างดี
และที่น่าเศร้าใจก็หนีไม่พ้นเป็นกรรมเวรของประเทศในปีหน้าที่ประชาชนยังคงต้องนั่งทนดูประเทศถูกปู้ยี่ปู้ยำ จากการบริหารประเทศของบรรดารัฐมนตรีที่ไร้น้ำยา เก่งแต่การประจบสอพลอ นช.ทักษิณ และในขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่า ประเทศไทยเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตน้ำท่วมมาได้ไม่นาน และต้องการเยียวยาฟื้นฟูเป็นการใหญ่
ที่ผ่านมาหากใครติดตามสถานการณ์มาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการบริหารงานของ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี ก็คงรับรู้มานานแล้วว่าห่วยแตก น่าผิดหวังแค่ไหน เห็นได้ชัดก็คือการบริหารจัดการในช่วงเกิดวิกฤตน้ำท่วม ทั้งระหว่างน้ำท่วมและหลังน้ำลดที่ถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกันเมื่อมองจากผลงานในอดีตและปัจจุบันมันก็ย่อมสะท้อนมองไปถึงอนาคตว่าจะน่าเศร้าใจเพียงใด เพราะในวันหน้าหลังจากปีใหม่เป็นต้นไปประเทศไทย จะต้องเจอกับปัญหาเศรษฐกิจทั้งภายในภายนอกที่รุมเร้าเข้ามาอีก
สำคัญที่สุดก็คือปัญหาปากท้อง ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลพวงสืบเนื่องมาจากปัญหาวิกฤตน้ำท่วมที่ผ่านมา โดยเวลานี้ชาวบ้านกำลังประสบกับเรื่อง "ข้าวยากหมากแพง" สินค้าจำเป็นบางอย่าง เช่นนมข้น สินค้าอุปโภคบริโภค ข้าวสารบรรจุถุง ข้าวราดแกง ที่ปรับราคาขึ้นไปแล้วหรือบางชนิดก็มีการจำกัดการซื้อ เป็นสิ่งที่ชาวบ้านระดับรากหญ้ากำลังทุกข์หนัก ก็ยังรอคอยการแก้ปัญหาจากรัฐบาล
เลวร้ายขนาดที่ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ในช่วงครึ่งปีแรกมีแนวโน้มสดใส เนื่องจากการส่งออกขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์ ดันให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มสดใส ทุกสำนักพยากรณ์เศรษฐกิจคาดว่าเศรษฐกิจจะโตไม่ต่ำกว่า 4-5% แต่ในครึ่งปีหลังมหาอุทกภัยทำให้การค้าการลงทุนหดหายไปหมด แม้จะมีออร์เดอร์ส่งออก แต่นิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งในลุ่มน้ำเจ้าพระยาถูกน้ำท่วม ทำให้ต้องปรับลดอัตราเติบโตเศรษฐกิจเหลือเพียง 2-3% และมีคนตกงานมากกว่า 1 แสนคน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง บรรดาประชานิยมขายฝัน ที่ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งอย่างขาดลอย ซึ่งชูประชานิยมโดนใจชาวรากหญ้าที่ยิ่งลักษณ์ชูในการหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านหลังแรก รถคันแรก ลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้ราคาน้ำมันถูกลง ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท เงินเดือนแรกเข้าของผู้จบปริญญาตรีเดือนละ 1.5 หมื่นบาท เป็นต้น ซึ่งนโยบายขายฝันทั้งหลายเหล่านี้ ชาวบ้านก็ไม่กล้าคาดหวังแล้วด้วยซ้ำ
คำถามคือรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีแนวทางจะแก้ปัญหาที่กำลังสุมรออยู่ข้างหน้าอย่างไร จะมีแนวทางฟื้นฟูประเทศด้วยวิธีการใด จะมีแนวทางรับมือปัญหาภัยพิบัติอย่างไร แน่นอนประชาชนตาดำๆคงจะไม่ได้ยินประโยคเหล่านี้ไปมากกว่าประเด็นจ้องจะไล่รื้อรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันที่อ้างว่ามาจากเผด็จการ ทำให้ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งที่ความจริงก็คือรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใครนอกเสียจาก ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียว
เมื่อยิ่งดูแนวโน้มต่างๆ ของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงเชื่อได้ว่าปี 2555 ที่จะถึงรัฐบาลปูแดง คงหนีไม่พ้นวังวนที่กระเหี้ยนกระหือรือ พยายามช่วยเหลือ นช.ทักษิณ ให้พ้นผิดและกลับประเทศแบบไม่ลืมหูลืมตาว่าควรจะทำสิ่งใดให้กับประเทศไทยก่อนบ้าง ซึ่งหากถ้ายังเป็นเช่นนี้ประเทศไทยในปี 2555 คงต้องวนเวียนอยู่กับปัญหาของคนคนเดียว
ดังนั้นแล้ว คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปี 2555 ที่จะถึงประเทศไทยก็คงจะย่ำอยู่ที่หรืออาจเดินถอยหลังเข้าคลองหนักไปอีก หากรัฐบาลยังคงไม่สามารถก้าวข้ามบุคคลที่ชื่อว่า นช.ทักษิณ ประเทศไทยก็จะพบแต่ความวิบัติชนิดที่ไม่มีวันเห็นแสงเดือนแสงตะวันเลยทีเดียว