สะเก็ดไฟ
เป็นอีกหนึ่งสีสันในช่วงส่งท้ายปลายปี สำหรับการตั้งสมญานาม หรือฉายา ให้แก่นักการเมืองของกระจิบกระจอกข่าวสายการเมือง เพื่อสะท้อนการทำงานของผู้แทนประชาชน ที่ผ่านการคลุกคลีตีโมงดวลฝีปากผ่านไมค์ผ่านกล้องกันมาตลอดปี
และก็เป็นธรรมดาเมื่อเปิดโผฉายาประจำปีออกมา บางคนก็ว่า “แหลมคม” เจ็บจี๊ดไปถึงขั้วหัวใจคนโดน บ้างก็ว่าไร้ดีกรี “ฮาร์ดคอร์” ยังไม่มันในอารมณ์ ซึ่งจะถูกใจหรือขัดใจผู้เสพสื่อบ้างก็เป็นเรื่องของนานาจิตตัง แต่อย่างน้อยคนถูกตั้งให้มีฉายาก็แฮปปี้ เพราะยังไม่ถูกหลงลืมตกกระแส
หันมาดูเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไปที่มากันบ้าง เป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อถึงวาระนี้เมื่อไร นักข่าวแต่ละสำนักก็จะเตรียมงัดของปล่อยอาวุธดีเบตกันแบบไม่ยั้งตามประสา
เริ่มที่โดย “สื่อสายสภา” ที่ปีนี้ “ปล่อยของ” ออกมาก่อนกับฉายา “สภากระดองปูแดง” ที่ชี้ให้เห็นสภาพ ส.ส.เสียงข้างมากของพรรคเพื่อไทยที่ตะบี้ตะบันพิทักษ์ “น้องสาวนายใหญ่” กันแบบยิ่งกว่าไข่ในหินเสียอีก แถมหลายคนได้ดิบได้ดีมีตำแหน่ง เงินเดือนเรือนแสนก็เพราะสวม “เสื้อแดง” ปลุกระดมชาวบ้านกันมาก่อน
ฉายานี้จึงผ่านไปด้วยมติเอกฉันท์ พร้อมกับยัดเยียดตำแหน่ง “ดาวดับ” ให้แก่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี อีกตำแหน่งในฐานะไม่เห็นคุณค่างานในสภาฯ
ถัดมากับ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ที่โดนลดชั้นจาก “ขุนค้อน” ผู้เด็ดขาดกลายมาเป็น “ค้อนปลอมตราดูไบ” หรือแม้แต่จิกกันเจ็บๆอย่าง “สังคโลก” ที่มอบให้แก่ ส.ว.ผู้สูงวัยทั้งหลาย เปรียบเป็นของสูงค่า แต่ก็เป็นแค่เครื่องประดับตั้งโชว์ สอดรับกับ “นายพลถนัดชิ่ง” - “ธีรเดช มีเพียร” ประธานวุฒิสภา ที่สอบตกในการทำหน้าที่หลังรับตำแหน่งมาหลายเดือนดีดัก แต่ทำได้เพียงโบ้ยซ้ายทีขวาที พร้อมหัวเราะแหะๆเอาตัวรอดไปวันๆ
ที่ว่าไปส่วนใหญ่คอนเซ็ปต์เป๊ะ ความเห็นตรงกันแทบทุกคน
แต่ที่ทำให้บรรยากาศในวันที่ระดมสมองเสนอรายชื่อรอบแรกระอุขึ้นมา ก็เมื่อนักข่าวหนุ่มจากค่ายบางนา โยนฉายา “หล่อดีเลย์” สำหรับ “หนุ่มมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ที่ประชุมร่วมพิจารณาแบบทะลึ่งพรวด
ทำเอาพี่นักข่าวสำนักหนึ่งถึงกับชูมือค้านหัวชนฝา ในฐานะทำข่าวติดตาม “หนุ่มมาร์ค” มานมนาม โดยเฉพาะช่วงเป็นผู้นำประเทศที่ตะลอนๆลุยงานตั้งแต่เช้าตรู่ จนดึกดื่นค่ำคืน ไม่ได้เพิ่งมาตื่นทำงาน “ดีเลย์” ตามที่น้องนักข่าวตั้งข้อสังเกต
ทำเอาอุณหภูมิในห้องนักข่าวสภาฯวันนั้นร้อนฉ่าขึ้นมา จนนักข่าวหนุ่มผู้เสนอเสียงอ่อยเกือบถอนชื่อออก แต่ดีที่มีคนทัดทานไว้ เพราะเห็นว่าคมคายสื่อความหมายถึงอดีตนายกฯ รูปหล่อได้หมดจด พอวันรุ่งขึ้นที่มีการโหวตตัดสินดีกรีความแรงของคนค้านก็ลดลง
และยอมรับโดยดุษฎีกับเสียงโหวตที่ให้กับ “หล่อดีเลย์” อย่างล้นหลาม
ข้ามฟากมาดูกันที่ “สื่อสายทำเนียบฯ” ที่ปีนี้ปล่อยหมัดเด็ดแบบไม่ต้องตีความกับฉายารัฐบาล “ทักษิณส่วนหน้า” ที่เปรียบเป็นกองทัพที่บุกตะลุยแทน “นายใหญ่” ที่จำต้องปักหลักบัญชาการอยู่นอกประเทศ จนรัฐมนตรีต้องผละงานแห่แหนไปรายงานการทำงานถึงต่างแดน แถมบางครั้งต้องให้ “พ่อแม้ว” ออกตัวเป็น “ทัพหน้า” เจรจาความเมืองก่อนที่จะตามไป “เก็บงาน” อย่างเป็นทางการ
ส่วนที่ทำเอากองเชียร์ผิดหวังเล็กน้อยกับสมญาของ “เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ที่แซวความ “แสนรู้” ไปทุกเรื่องยกให้เป็นแค่ “กุมารทองคะนองศึก” เรียกว่าออกหมัดแย็บเบาๆ จน “ทั่นเฉลิม” คงรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย มุมนี้กองเชียร์มองว่าบทบาทของ “เฉลิม” ในช่วงโค้งแรกของรัฐบาลนี้ ตีความออกมาได้หลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ออกแนวไม่ผ่านเซ็นเซอร์ซะมากกว่า
ที่คลุมเครือเหมือนชมหรือด่าในคำเดียว คือ “นายกฯ นกแก้ว” ที่มอบให้แก่นายกฯหญิงคนแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทย ตีความได้ถึงความเป็นคนรักสวยรักงาม แต่ติดตรงพูดตามสคริปต์ ล้อคำถามสื่อแบบถามมาตอบไป ไม่ต่างจากนกแก้วที่เลี้ยงกันอยู่ในบ้าน
ซึ่งเจ้าตัวก็ได้แต่ “อมยิ้ม” รับฉายาแต่ไม่พูดอะไร จนงานนี้สื่อทำเนียบไม่รู้ว่าโกรธหรือเปล่า เพราะ “ยิ่งลักษณ์” ไม่แสดงอารมณ์ร่วมออกมาเหมือนเคย
อย่างที่บอกไปแล้วว่า ความน่าสนใจของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ชาวบ้านคนอ่านข่าวจะถูกใจไหม หรือนักการเมืองจะโกรธจะเคืองกันหรือเปล่า แต่ความเร้าใจกลับอยู่ที่บรรยากาศการเสนอชื่อและการห้ำหั่นกันเองของ “นักข่าว” ที่ต่างก็มีจุดยืนมีความรู้สึกรักใคร่ชอบพอผูกพันกับ “แหล่งข่าว”
เมาท์กันแซ่ดว่า กว่าจะเคาะออกมาเป็นฉายา “ทักษิณส่วนหน้า” ให้กับ “ครม.ปู” ผ่านการกลั่นกรองปิดห้องถกเถียงตกผลึกกันมาไม่ต่ำกว่า 4-5 หนกันเลยทีเดียว จนมาถึงวันโหวตเหลือแคนดิเดตฉายารัฐบาลอีกเพียบ ทั้ง “บิ๊กแบ็ก-สตันท์มือสอง-ครม.วิดีโอลิงก์-ครม.คนรักแม้ว-ศปภ.ศูนย์สร้างความปั่นป่วนทั่วพิภพ”
ท้ายที่สุด “ทักษิณส่วนหน้า” ก็ยังมาแรงเป็น "ตัวเต็ง" เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศลงคะแนนครั้งสุดท้าย จึงต้องมีการพรีเซ็นต์อธิบายความกันยกสุดท้ายก่อนโหวต จังหวะนี้ “เจ๊ยุ-ยุวดี ธัญญสิริ” เจ้าแม่ทำเนียบฯ คัดค้านหัวชนฝาว่า ผู้สนับสนุนคำคำนี้อคติคิดไปเอง เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่า พฤติกรรมของ “ทักษิณ ชินวัตร” บงการอยู่เบื้องหลังรัฐบาลจริงเท็จแค่ไหน โดยเฉพาะที่ร่ำลือกันว่าอดีตนายกฯ ทักษิณเดินทางเป็น “หน่วยล่วงหน้า” ไปตามประเทศต่างๆ เพื่อ “กรุยทาง” ก่อนที่ “ยิ่งลักษณ์” น้องของตัวเองจะไปเยือนในฐานะนายกฯ ทั้งประเทศจีน กัมพูชา หรือล่าสุดอย่างประเทศพม่า ที่มี “ซูเปอร์ดีล” หวังให้นายกฯไทยโหนกระแสประชาธิปไตย โดยเข้า “อองซานซูจี” ผู้นำฝ่ายค้านและนักต่อสู้ด้านประชาธิปไตยชื่อกระฉ่อนโลกของประเทศพม่า
ฟังมาถึงช่วงนี้ นักข่าวน้อยใหญ่ที่ติดตามการทำงานของรัฐบาลมาโดยตลอดถึงกับส่ายหัวด้วยความฉงนว่า เจ๊ไปอยู่ที่ไหนมา ถึงหลับตาข้างเดียวมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งที่ครองความ “อาวุโสสูงสุด” ในรังนกกระจอกมาอย่างช้านาน
จนทำให้นักข่าวสาวผู้หนึ่งทนไม่ได้ ต้องขออนุญาต “ปีนเกลียว” ชี้แนะผู้เฒ่า โดยยกเอาคำให้สัมภาษณ์ของอดีตนายกฯผู้หลบหนีคดีกับสื่อต่างชาติ ที่ยอมรับเองว่าเดินทางไปไหนมาไหนก่อน “ทัพหลัง” ของนายกฯยิ่งลักษณ์จะไปถึงแทบทุกที่
เมื่อ “จนแต้ม” หมดทางสู้ “เจ๊ยุ” ก็ออกอาการปรี๊ดแตก ก่อนหน้าเบ้ไม่ยอมรับผลุนผลัน “วอล์กเอาต์” ออกจาก “รังนกกระจอก” ไปกลางคัน ทำเอาสื่อในทำเนียบเกือบ 50 ชีวิตในวันนั้นมองกันเลิ่กลั่ก และรีบไปล็อกประตูปิดตายกลัว “รุ่นใหญ่” จะเปลี่ยนใจย้อนกลับมาร่วมวงแทบไม่ทัน
จากนั้นบรรยากาศก็ราบรื่นด้วยความร่วมมือของสื่อทุกสำนัก จนคลอดออกมาเป็น “ฉายารัฐบาล” ในที่สุด
กลายเป็นอีกบทพิสูจน์ว่า “เก๋า” ด้วยประสบการณ์ เด็กเคารพเพราะฝีมือ หรือว่าเป็นแค่พวก “แก่กินข้าว - เฒ่าอยู่นาน”