นายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวน มติครม.ที่อนุมัติให้โอนหนี้กองทุนฟื้นฟู จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รับผิดชอบ เนื่องจากนโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของธปท. และภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังมีความกังวลต่อภาพความขัดแย้งระหว่าง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กับ นายธีระชัย ภูนาถนรานุบาล รมว.คลัง ที่มีความเห็นแตกต่างกันในนโยบายดังกล่าว ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะทั้งคู่เป็นทีมเศรษฐกิจของรัฐาล แต่กลับมีความเห็นที่ตรงกันข้ามในเรื่องนโยบายของประเทศ สะท้อนความไม่เป็นเอกภาพในการทำงาน
** "กิตติรัตน์-ธีระชัย"ต้องมีคนไป
ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยกับนายธีระชัย ที่จะทัดทานนโยบายที่จะเป็นอันตรายต่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ในทางการเมืองหากเกิดความขัดแย้งขนาดนี้ ตนคิดว่าคนใดคนหนึ่งต้องออกจากครม.ไป
"ผมคิดว่าเหตุการณ์อย่างนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเพราะก่อนจะมีการเสนอเรื่องเข้าครม.ควรหารือกันก่อนให้ตกผลึก ภาพที่ออกมายิ่งทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นเพราะความขัดแย้งไมได้มีเรื่องนี้เรื่องเดียว แต่ยังมีการตีกลับการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างกระทรวงการคลัง กับแบงก์ชาติ ที่ต้องเสนอ ครม.ทุกปี แต่เหมือนกับไม่มีการคุยกันมาก่อน จนถูกตีกลับ สำหรับการโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูให้แบงก์ชาติ เมื่อรมว.คลัง ไม่เห็นด้วยและเป็นผู้มีอำนาจโดยตรงในการบริหารจัดการเรื่องนี้ ผมคิดว่า มีวิธีเดียวคือ ต้องทำให้นายกฯ และครม.เปลี่ยนใจ แก้มติใหม่ ถ้าทำไม่ได้ในเรื่องสำคัญ และใหญ่ขนาดนี้ รมว.คลังก็คงอยู่ต่อไปไม่ได้ รัฐบาลควรไปหา รมว.คลัง คนใหม่มาสนองนโยบายตัวเอง แต่ก็ต้องบอกว่า แนวคิดที่รัฐบาลทำ เป็นแนวคิดที่ผิด"
นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลกำลังไม่ยอมรับความจริง เพราะหนี้กองทุนฟื้นฟู ถือเป็นภาระของประเทศ ซึ่งหลายรัฐบาลนับจากปี 40 เป็นต้นมา ต้องรับบาปรับกรรมมาโดยตลอด แต่ก็บริหารจัดการจนเศรษฐกิจมีความเข้มแข็ง มีเสถียรภาพ แม้จะต้องแบกภาระนี้ แต่รัฐบาลกลับคิดที่จะเอาภาระหนี้ไปซุกกับแบงก์ชาติ ซึ่งก็ไม่ปฏิเสธได้ว่ายังคงเป็นภาระของประเทศอยู่ดี เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล แนวทางที่ดำเนินการกันอยู่ ถือว่ามีความโปร่งใสที่สุด และมีวินัยทางการเงินการคลัง เพื่อรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในปี 40
การโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูออกไป ต้องถามว่ามีวัตถุประสงค์อะไร หากทำเพียงแค่ให้ตัวเลขหนี้สาธารณะลดลง ก็ต้องถามว่า หนี้สาธารณะลดลงจริงหรือไม่ เพราะสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำ ก็เพียงแต่โยกหนี้ออกไปอยู่นอกบัญชี เพื่อกู้เพิ่มเติมได้ เท่ากับเป็นการหลอกตัวเอง และเพิ่มภาระให้ประเทศชาติมากขึ้น
**พิมพ์แบงก์เพิ่ม ราคาสินค้าพุ่ง
นอกจากนี้ยังต้องคำนึงด้วยว่า การโอนหนี้ไปให้แบงก์ชาติรับภาระ จะส่งผลอะไรต่อองค์กรหนี้ เพราะมีฐานะทางบัญชี และรายได้เหมือนรัฐบาล ฉะนั้นวิธีเดียวในอนาคตที่แบงก์ชาติ จะสามารถชำระหนี้ได้คือ การพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลต่อเสถียรภาพการเงินของประเทศ และภาวะเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ตนไม่แน่ใจว่ารัฐบาลคิดรอบคอบหรือยัง
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งที่รัฐบาลทำเหมือนกับบีบทางอ้อม เพื่อให้ธปท. ต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มหรือไม่ นายกรณ์ กล่าวว่า ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ เรื่องเดียว แต่ในการประชุมครม. ยังมีมติให้ ธปท. แก้กฏหมาย เพื่อออกการปล่อยสินเชื่อซอฟโลน วงเงิน 3 แสนล้านบาท เหมือนกับที่เคยมีอำนาจก่อนที่จะมีการแก้กฏหมาย ธปท.2550 ซึ่งก็คือ ต้องให้ธปท.พิมพ์เงินเพิ่ม ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีกลไกที่จะใช้สถาบันการเงินของรัฐดำเนินการเรื่องนี้ได้จึงไม่ควรผลักภาระให้ ธปท. เพราะจะทำให้ความน่าเชื่อถือของ ธปท. ได้รับผลกระทบ ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนายกิตติรัตน์ ที่ออกมาประชดประชัน ธปท.ว่า ไม่ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงความสับสนในบทบาทหน้าที่ของแต่ละองค์กร หน้าที่ของ ธปท.ไม่ใช่มาแก้ปัญหาเศรษฐกิจแทนรัฐบาล แต่มีหน้าที่รักษาเสถียรภาพ ระบบการเงินของประเทศ การจะให้ ธปท.มาเป็นเครื่องมือของรัฐบาล เป็นเรื่องที่อันตราย ซึ่งผู้ว่าฯธปท. ทั้งในอดีต และปัจจุบันพูดไว้ชัดเจนว่า มีอำนาจในการพิมพ์ธนบัตร จึงไม่ควรให้รัฐบาลมีอำนาจเหนือหน่วยงานที่พิมพ์ธนบัตร เป็นเรื่องที่อันตรายมาก นี่คือสาเหตุที่เรื่องของงบประมาณไม่ได้กำหนดในกฎหมายลูกเพียงอย่างเดียว แต่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญสะท้อนความสำคัญด้านวินับยการเงินการคลัง
" ความพยายามที่รัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซง ธปท. ให้ต้องตอบสนองความต้องการของรัฐบาล กำลังสุ่มเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นระยะยาวในระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลมักอ้างเสียงข้างมากในสภาฯ ทำตามความต้องการของตัวเอง ซึ่งหากจะแก้กฎหมายให้ ธปท.ออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ก็คงทำได้ แต่ถ้าคิดจะปลดผู้ว่าธปท. คงทำได้ยาก นอกจากไปแก้กฎหมทายก่อน ซึ่งก็อยู่ในวิสัยที่รัฐบาลทำได้ เรื่องนี้ต้องตื่นตัว และจับตาอย่างใกล้ชิดว่า รัฐบาลจะใช้อำนาจในสภาแก้กฏหมายเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตัวเองเหนือองค์กรที่ควรมีอิสระหรือไม่ การที่รัฐบาลพยายามซุกซ่อนหนี้ ไม่มีประเทศไทยเขาทำกัน เพราะสะท้อนถึงปัญหาธรรมาภิบาลของรัฐบาลด้วย" นายกรณ์ กล่าว
** "ปู" อย่าจุ้น จะยิ่งพังเร็ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ ควรเข้ามีบทบาทในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง นายกรณ์กล่าวว่าอย่าเลย เดี๋ยวจะยิ่งเละเทะไปใหญ่ แต่จริงๆ นายกฯ ควรจะมีบทบาทที่จะช่วยแก้ปัญหาเพียงแต่ความรู้ของนายกฯ ในเรื่องนี้อาจจะมีไม่พอ ซึ่งเป็นปัญหาของประเทศ แต่นายกฯก็ยังมีหน้าที่ต้องรีบเรียนรู้ และต้องตระหนักว่ามติครม.เรื่องนี้จะมีผลระยะยาวต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
อดีต รมว.คลัง ยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ หากมีการพิมพ์ธนบัตร เข้าสู่ระบบจำนวนมากว่า จะส่งผลทำให้ค่าเงินถูกลง ราคาสินค้าจะพุ่งสูงขึ้น เงินบาทในกระเป๋า ก็มีมูลค่าลดลง ประชาชนจะเดือดร้อนมากขึ้น เพราะค่าครองชีพสูงเดือดร้อนกันถ้วนหน้า
ขณะที่ความเชื่อมั่นของต่างชาติที่จะมาลงทุนในประเทศไทย ก็จะลดลงตามไปด้วย จึงต้องขอให้รัฐบาลหยุดการดำเนินการดังกล่าว เพราะภาวะปัจจุบันไม่มีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายในลักษณะนี้ พร้อมกับยกตัวอย่างที่สหรัฐฯ ใช้การพิมพ์ธนบัตรเพิ่มมากระตุ้นเศรษฐกิจว่า เป็นเพราะสหรัฐฯ มีปัญหาอัตราการว่างงานสูงถึง10 เปอร์เซนต์ แต่ประเทศไทยมีอัตราการว่างงานน้อยกว่า 1 เปอร์เซนต์ เพราะฉะนั้น รัฐบาลจึงต้องเสี่ยง ที่จะเอาเสถียรภาพ ความมั่นคงของประเทศ ไปทำนโบยบายแบบนี้ ตนไม่อยากมองว่า หากยังเดินหน้าเช่นนี้ จะทำให้ประเทศเสี่ยงกับภาวะล้มละลาย แต่บอกได้ว่า เป็นแนวทางที่ไม่ดีแน่นอน เพราะ การกระตุ้นเศรษฐกิจ จะต้องรักษาสมดุลในการรักษาเสถียรภาพด้วย ซึ่งรัฐบาลชุดที่แล้วยึดหลักนี้ จึงทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีความมั่นคง ทั้งเรื่องหนี้สาธารณะ อัตราการว่างงาน อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทุนสำรองระหว่างประเทศ รวมถึงทุกดัชนีทางเศรษฐกิจสะท้อนว่า รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ได้สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจไว้ให้รัฐบาลเพื่อไทย รัฐบาลนี้มีหน้าที่รักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ และเพิ่มรายได้กับโอกาสให้กับประชาชน
** อัดพท.ก็จ้องแต่จะกู้เหมือนกัน
นายกรณ์ ยังไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลมีแนวคิดแก้กฏหมายเพิ่มอำนาจให้กระทรวงการคลัง ตั้งกองทุน 3.5 หมื่นล้าน ฟื้นฟูน้ำท่วม ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลต้องทบทวนให้ดี เพราะอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะเงินจำนวนดังกล่าว เป็นการลงทุนในระบบโครงสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้เวลา แต่รัฐบาลยังบอกกับประชาชนไม่ได้ว่า จะใช้เงินดังกล่าวไปทำอะไร แต่กลับอนุมัติเม็ดเงินไปแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินนอกงบประมาณ เพราะสามารถใช้เงินงบประมาณในแต่ละปี มาลงทุนได้ ซึ่งตนเห็นด้วยว่าจำเป็น แต่ไม่จำเป็นต้องกู้เงินพิเศษทั้งก้อน เพราะจะมีภาระดอกเบี้ยเพิ่ม ทั้งที่ยังไม่จำเป็นที่ต้องมีการเบิกจ่ายงบประมาณในทันที รัฐบาลจึงควรพูดให้ชัดเจนว่า มีโครงการอะไรในใจ
ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยพูดถึงการถมทะเล และการสร้างเขื่อนกันน้ำ ซึ่งชัดเจนว่าไม่ใช่ทางแก้ปัญหาอุทกภัย ที่เกิดขึ้น เพราะเป็นน้ำหลาก ไม่ใช่น้ำทะเลหนุน โครงการนี้จึงใช้ไม่ได้
ส่วนจะมีโครงการอื่นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปติดต่อไว้กับต่างประเทศหรือไม่นั้น ก็คงต้องติดตาม และรัฐบาลต้องชี้แจง เพราะรัฐบาลก็ยืนยันว่าจะปฏิบัติตามแนวพระราชดำริในการบริหารจัดการระบบน้ำ แต่กลับไม่มีความชัดเจนว่า จะดำเนินการตามแนวทางพระราชดำริ หรือแนวทางต่างประเทศที่มีการรายงานข่าวก่อนหน้านี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เสนอให้ใช้วิธีการแบบประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่ไม่ว่าจะใช้เงินเพื่อโครงการใด ก็ต้องคำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง ไม่ควรใช้เงินนอกงบประมาณ และพรรคเพื่อไทย ก็เคยคัดค้านโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งรัฐบาลในขณะนี้มีความจำเป็นที่จะต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน แต่ในครั้งนี้ ไม่มีความเร่งด่วนปรากฏชัดเหมือนในปี 51-52 ทำไมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย กลับเสนอกู้เงินในวงเงินที่มากกว่า ทำไมจึงเปลี่ยนความคิดทั้งๆ ที่เคยคัดค้านการกู้เงิน
นายกรณ์ ยังกล่าว ถึงกลุ่มที่ปรึกษาของรัฐบาล ในเรื่องเศรษฐกิจว่า มีการเสนอนโยบายในลักษณะที่ไม่ได้คำนึงถึงความรับผิดชอบทางการเมืองเท่าที่ควร โดยที่ผ่านมาทางรัฐบาล มีความพยายามที่จะนำทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้
** "กิตติรัตน์-ธีระชัย"ต้องมีคนไป
ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยกับนายธีระชัย ที่จะทัดทานนโยบายที่จะเป็นอันตรายต่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ในทางการเมืองหากเกิดความขัดแย้งขนาดนี้ ตนคิดว่าคนใดคนหนึ่งต้องออกจากครม.ไป
"ผมคิดว่าเหตุการณ์อย่างนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเพราะก่อนจะมีการเสนอเรื่องเข้าครม.ควรหารือกันก่อนให้ตกผลึก ภาพที่ออกมายิ่งทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นเพราะความขัดแย้งไมได้มีเรื่องนี้เรื่องเดียว แต่ยังมีการตีกลับการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างกระทรวงการคลัง กับแบงก์ชาติ ที่ต้องเสนอ ครม.ทุกปี แต่เหมือนกับไม่มีการคุยกันมาก่อน จนถูกตีกลับ สำหรับการโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูให้แบงก์ชาติ เมื่อรมว.คลัง ไม่เห็นด้วยและเป็นผู้มีอำนาจโดยตรงในการบริหารจัดการเรื่องนี้ ผมคิดว่า มีวิธีเดียวคือ ต้องทำให้นายกฯ และครม.เปลี่ยนใจ แก้มติใหม่ ถ้าทำไม่ได้ในเรื่องสำคัญ และใหญ่ขนาดนี้ รมว.คลังก็คงอยู่ต่อไปไม่ได้ รัฐบาลควรไปหา รมว.คลัง คนใหม่มาสนองนโยบายตัวเอง แต่ก็ต้องบอกว่า แนวคิดที่รัฐบาลทำ เป็นแนวคิดที่ผิด"
นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลกำลังไม่ยอมรับความจริง เพราะหนี้กองทุนฟื้นฟู ถือเป็นภาระของประเทศ ซึ่งหลายรัฐบาลนับจากปี 40 เป็นต้นมา ต้องรับบาปรับกรรมมาโดยตลอด แต่ก็บริหารจัดการจนเศรษฐกิจมีความเข้มแข็ง มีเสถียรภาพ แม้จะต้องแบกภาระนี้ แต่รัฐบาลกลับคิดที่จะเอาภาระหนี้ไปซุกกับแบงก์ชาติ ซึ่งก็ไม่ปฏิเสธได้ว่ายังคงเป็นภาระของประเทศอยู่ดี เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล แนวทางที่ดำเนินการกันอยู่ ถือว่ามีความโปร่งใสที่สุด และมีวินัยทางการเงินการคลัง เพื่อรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในปี 40
การโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูออกไป ต้องถามว่ามีวัตถุประสงค์อะไร หากทำเพียงแค่ให้ตัวเลขหนี้สาธารณะลดลง ก็ต้องถามว่า หนี้สาธารณะลดลงจริงหรือไม่ เพราะสิ่งที่รัฐบาลกำลังจะทำ ก็เพียงแต่โยกหนี้ออกไปอยู่นอกบัญชี เพื่อกู้เพิ่มเติมได้ เท่ากับเป็นการหลอกตัวเอง และเพิ่มภาระให้ประเทศชาติมากขึ้น
**พิมพ์แบงก์เพิ่ม ราคาสินค้าพุ่ง
นอกจากนี้ยังต้องคำนึงด้วยว่า การโอนหนี้ไปให้แบงก์ชาติรับภาระ จะส่งผลอะไรต่อองค์กรหนี้ เพราะมีฐานะทางบัญชี และรายได้เหมือนรัฐบาล ฉะนั้นวิธีเดียวในอนาคตที่แบงก์ชาติ จะสามารถชำระหนี้ได้คือ การพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลต่อเสถียรภาพการเงินของประเทศ และภาวะเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ตนไม่แน่ใจว่ารัฐบาลคิดรอบคอบหรือยัง
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งที่รัฐบาลทำเหมือนกับบีบทางอ้อม เพื่อให้ธปท. ต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มหรือไม่ นายกรณ์ กล่าวว่า ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ เรื่องเดียว แต่ในการประชุมครม. ยังมีมติให้ ธปท. แก้กฏหมาย เพื่อออกการปล่อยสินเชื่อซอฟโลน วงเงิน 3 แสนล้านบาท เหมือนกับที่เคยมีอำนาจก่อนที่จะมีการแก้กฏหมาย ธปท.2550 ซึ่งก็คือ ต้องให้ธปท.พิมพ์เงินเพิ่ม ทั้งๆ ที่รัฐบาลมีกลไกที่จะใช้สถาบันการเงินของรัฐดำเนินการเรื่องนี้ได้จึงไม่ควรผลักภาระให้ ธปท. เพราะจะทำให้ความน่าเชื่อถือของ ธปท. ได้รับผลกระทบ ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนายกิตติรัตน์ ที่ออกมาประชดประชัน ธปท.ว่า ไม่ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แสดงให้เห็นถึงความสับสนในบทบาทหน้าที่ของแต่ละองค์กร หน้าที่ของ ธปท.ไม่ใช่มาแก้ปัญหาเศรษฐกิจแทนรัฐบาล แต่มีหน้าที่รักษาเสถียรภาพ ระบบการเงินของประเทศ การจะให้ ธปท.มาเป็นเครื่องมือของรัฐบาล เป็นเรื่องที่อันตราย ซึ่งผู้ว่าฯธปท. ทั้งในอดีต และปัจจุบันพูดไว้ชัดเจนว่า มีอำนาจในการพิมพ์ธนบัตร จึงไม่ควรให้รัฐบาลมีอำนาจเหนือหน่วยงานที่พิมพ์ธนบัตร เป็นเรื่องที่อันตรายมาก นี่คือสาเหตุที่เรื่องของงบประมาณไม่ได้กำหนดในกฎหมายลูกเพียงอย่างเดียว แต่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญสะท้อนความสำคัญด้านวินับยการเงินการคลัง
" ความพยายามที่รัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซง ธปท. ให้ต้องตอบสนองความต้องการของรัฐบาล กำลังสุ่มเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นระยะยาวในระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลมักอ้างเสียงข้างมากในสภาฯ ทำตามความต้องการของตัวเอง ซึ่งหากจะแก้กฎหมายให้ ธปท.ออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ก็คงทำได้ แต่ถ้าคิดจะปลดผู้ว่าธปท. คงทำได้ยาก นอกจากไปแก้กฎหมทายก่อน ซึ่งก็อยู่ในวิสัยที่รัฐบาลทำได้ เรื่องนี้ต้องตื่นตัว และจับตาอย่างใกล้ชิดว่า รัฐบาลจะใช้อำนาจในสภาแก้กฏหมายเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตัวเองเหนือองค์กรที่ควรมีอิสระหรือไม่ การที่รัฐบาลพยายามซุกซ่อนหนี้ ไม่มีประเทศไทยเขาทำกัน เพราะสะท้อนถึงปัญหาธรรมาภิบาลของรัฐบาลด้วย" นายกรณ์ กล่าว
** "ปู" อย่าจุ้น จะยิ่งพังเร็ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ ควรเข้ามีบทบาทในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง นายกรณ์กล่าวว่าอย่าเลย เดี๋ยวจะยิ่งเละเทะไปใหญ่ แต่จริงๆ นายกฯ ควรจะมีบทบาทที่จะช่วยแก้ปัญหาเพียงแต่ความรู้ของนายกฯ ในเรื่องนี้อาจจะมีไม่พอ ซึ่งเป็นปัญหาของประเทศ แต่นายกฯก็ยังมีหน้าที่ต้องรีบเรียนรู้ และต้องตระหนักว่ามติครม.เรื่องนี้จะมีผลระยะยาวต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
อดีต รมว.คลัง ยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ หากมีการพิมพ์ธนบัตร เข้าสู่ระบบจำนวนมากว่า จะส่งผลทำให้ค่าเงินถูกลง ราคาสินค้าจะพุ่งสูงขึ้น เงินบาทในกระเป๋า ก็มีมูลค่าลดลง ประชาชนจะเดือดร้อนมากขึ้น เพราะค่าครองชีพสูงเดือดร้อนกันถ้วนหน้า
ขณะที่ความเชื่อมั่นของต่างชาติที่จะมาลงทุนในประเทศไทย ก็จะลดลงตามไปด้วย จึงต้องขอให้รัฐบาลหยุดการดำเนินการดังกล่าว เพราะภาวะปัจจุบันไม่มีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายในลักษณะนี้ พร้อมกับยกตัวอย่างที่สหรัฐฯ ใช้การพิมพ์ธนบัตรเพิ่มมากระตุ้นเศรษฐกิจว่า เป็นเพราะสหรัฐฯ มีปัญหาอัตราการว่างงานสูงถึง10 เปอร์เซนต์ แต่ประเทศไทยมีอัตราการว่างงานน้อยกว่า 1 เปอร์เซนต์ เพราะฉะนั้น รัฐบาลจึงต้องเสี่ยง ที่จะเอาเสถียรภาพ ความมั่นคงของประเทศ ไปทำนโบยบายแบบนี้ ตนไม่อยากมองว่า หากยังเดินหน้าเช่นนี้ จะทำให้ประเทศเสี่ยงกับภาวะล้มละลาย แต่บอกได้ว่า เป็นแนวทางที่ไม่ดีแน่นอน เพราะ การกระตุ้นเศรษฐกิจ จะต้องรักษาสมดุลในการรักษาเสถียรภาพด้วย ซึ่งรัฐบาลชุดที่แล้วยึดหลักนี้ จึงทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีความมั่นคง ทั้งเรื่องหนี้สาธารณะ อัตราการว่างงาน อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทุนสำรองระหว่างประเทศ รวมถึงทุกดัชนีทางเศรษฐกิจสะท้อนว่า รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ได้สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจไว้ให้รัฐบาลเพื่อไทย รัฐบาลนี้มีหน้าที่รักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ และเพิ่มรายได้กับโอกาสให้กับประชาชน
** อัดพท.ก็จ้องแต่จะกู้เหมือนกัน
นายกรณ์ ยังไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลมีแนวคิดแก้กฏหมายเพิ่มอำนาจให้กระทรวงการคลัง ตั้งกองทุน 3.5 หมื่นล้าน ฟื้นฟูน้ำท่วม ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลต้องทบทวนให้ดี เพราะอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะเงินจำนวนดังกล่าว เป็นการลงทุนในระบบโครงสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้เวลา แต่รัฐบาลยังบอกกับประชาชนไม่ได้ว่า จะใช้เงินดังกล่าวไปทำอะไร แต่กลับอนุมัติเม็ดเงินไปแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินนอกงบประมาณ เพราะสามารถใช้เงินงบประมาณในแต่ละปี มาลงทุนได้ ซึ่งตนเห็นด้วยว่าจำเป็น แต่ไม่จำเป็นต้องกู้เงินพิเศษทั้งก้อน เพราะจะมีภาระดอกเบี้ยเพิ่ม ทั้งที่ยังไม่จำเป็นที่ต้องมีการเบิกจ่ายงบประมาณในทันที รัฐบาลจึงควรพูดให้ชัดเจนว่า มีโครงการอะไรในใจ
ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยพูดถึงการถมทะเล และการสร้างเขื่อนกันน้ำ ซึ่งชัดเจนว่าไม่ใช่ทางแก้ปัญหาอุทกภัย ที่เกิดขึ้น เพราะเป็นน้ำหลาก ไม่ใช่น้ำทะเลหนุน โครงการนี้จึงใช้ไม่ได้
ส่วนจะมีโครงการอื่นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปติดต่อไว้กับต่างประเทศหรือไม่นั้น ก็คงต้องติดตาม และรัฐบาลต้องชี้แจง เพราะรัฐบาลก็ยืนยันว่าจะปฏิบัติตามแนวพระราชดำริในการบริหารจัดการระบบน้ำ แต่กลับไม่มีความชัดเจนว่า จะดำเนินการตามแนวทางพระราชดำริ หรือแนวทางต่างประเทศที่มีการรายงานข่าวก่อนหน้านี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เสนอให้ใช้วิธีการแบบประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่ไม่ว่าจะใช้เงินเพื่อโครงการใด ก็ต้องคำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง ไม่ควรใช้เงินนอกงบประมาณ และพรรคเพื่อไทย ก็เคยคัดค้านโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งรัฐบาลในขณะนี้มีความจำเป็นที่จะต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน แต่ในครั้งนี้ ไม่มีความเร่งด่วนปรากฏชัดเหมือนในปี 51-52 ทำไมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย กลับเสนอกู้เงินในวงเงินที่มากกว่า ทำไมจึงเปลี่ยนความคิดทั้งๆ ที่เคยคัดค้านการกู้เงิน
นายกรณ์ ยังกล่าว ถึงกลุ่มที่ปรึกษาของรัฐบาล ในเรื่องเศรษฐกิจว่า มีการเสนอนโยบายในลักษณะที่ไม่ได้คำนึงถึงความรับผิดชอบทางการเมืองเท่าที่ควร โดยที่ผ่านมาทางรัฐบาล มีความพยายามที่จะนำทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้