ปี 2555 กำลังมาถึง ว่ากันว่าในปีหน้านี้จะมีเหตุการณ์ใหญ่ซึ่งทำให้โลกเปลี่ยนไปอย่างนัยสำคัญในแนวเดียวกันกับที่ไดโนเสาร์ล้มตายไปจากโลก บางคนอ้างว่าชาวมายาทำนายไว้เมื่อกว่าพันปีที่แล้ว บางคนอ้างถึงโหรมือฉมังชาวฝรั่งเศสชื่อนอสตราดามุสว่าทำนายไว้ตรงกับชาวมายาเมื่อเกือบห้าร้อยปีก่อน นักสร้างหนังได้นำข้ออ้างเหล่านั้นมาเป็นฐานของการสร้างหนังเรื่อง “วันสิ้นโลก 2012” เมื่อสองปีที่ผ่านมาซึ่งทำเงินได้กว่า 700 ล้านดอลลาร์อเมริกัน ผู้ได้ดูหนังเรื่องนั้นคงจำได้ว่าเหตุการณ์ใหญ่เกิดจากภัยธรรมชาติ
ผู้ที่ได้ศึกษาเรื่องราวของชาวมายาและของนอสตราดามุสย่อมทราบดีว่า ชาวมายาไม่ได้ทิ้งคำทำนายไว้เมื่ออารยธรรมของพวกเขาล่มสลายนอกจากปฏิทินที่สิ้นยุคลงตรงกับปี 2555 และคำทำนายของนอสตราดามุสก็สุดจะคลุมเครือยังผลให้ตีความหมายได้หลายอย่างรวมทั้งการเกิดภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ที่ทำลายเกือบทุกสิ่งบนผิวโลก เมื่อไม่นานมานี้ ปราชญ์ชาวฮังการีชื่อ เออร์วิน ลาสซโล ได้ศึกษาว่าอะไรอาจเกิดขึ้นในปี 2555 เขาไม่ได้มองไปที่ภัยธรรมชาติ หากมองไปที่การกระทำของมนุษย์ในส่วนที่มีผลกระทบในทางลบซึ่งจะสะสมขึ้นเรื่อยๆ ถ้ามนุษย์ไม่หยุดกระทำสิ่งเหล่านั้น ผลของมันจะผลักดันให้โลกเดินเข้าสู่ทางแห่งความล่มสลายในปี 2555 เขาพิมพ์ผลการศึกษาออกมาเมื่อปี 2549 เป็นหนังสือชื่อ The Chaos Point: The World at the Crossroads (มีบทคัดย่อภาษาไทยอยู่ในหนังสื่อชื่อ “กะลาภิวัตน์”) ซึ่งคอลัมน์นี้ประจำวันที่ 9 เมษายน 2553 เคยอ้างถึงครั้งหนึ่งแล้ว
ลาสซโลสรุปว่าโลกมีปัญหาหนักหนาสาหัสจำนวนมาก เนื่องจากการกระทำที่มีผลกระทบทางลบของมนุษย์ เช่น การขาดแคลนอาหารและน้ำ การเสียความสมดุลของระบบนิเวศ ช่องว่างที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ ทั้งระหว่างประเทศและระหว่างคนรวยกับคนจนส่งผลให้เกิดความผิดหวังและความคั่งแค้น การก่อการร้ายซึ่งนำไปสู่การปราบปรามด้วยความเหี้ยมโหด ปัญหาและแนวโน้มเหล่านี้จะวิวัฒน์ไปจนก่อให้เกิดความล่มสลายหากมนุษย์ไม่หยุดทำสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัย หรือทำอะไรที่มีผลดีมากขึ้นจนแก้ปัญหาได้ หรือเปลี่ยนแนวโน้มจำพวกเลวร้ายให้ไปในทางดี
จากตอนที่ลาสซโลศึกษามาถึงวันนี้ก็หลายปีแล้ว แนวโน้มต่างๆ ยังคงเดิม เช่น จำนวนประชากรโลกยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเป็น 7 พันล้านคนส่งผลให้เกิดความอดอยากมากขึ้นเพราะเด็กเกิดใหม่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศยากจน ยิ่งกว่านั้น แต่ละคนยังต้องการบริโภคมากขึ้นอีกด้วยส่งผลให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรทุกอย่างรวมทั้งน้ำจืดและน้ำมันปิโตรเลียม การแย่งชิงน้ำอาจทำให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน
ส่วนอเมริกาและอันธพาลตะวันตกก็ยกทัพไปรุกรานย่านตะวันออกกลางเพื่อหวังครอบครองแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม ผู้ที่สู้ไม่ได้หันไปใช้วิธีก่อการร้ายเพื่อหวังทำลายทั้งผู้รุกรานและรัฐบาลที่เป็นใจส่งผลให้เกิดการปราบปราม การตามล่าและการเข่นฆ่าแบบป่าเถื่อนอย่างแพร่หลาย การขับไล่รัฐบาลเช่นในย่านตะวันออกกลางกำลังขยายออกไปจนทำให้สูญชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนในประเทศอันธพาลที่รุกรานผู้อื่นก็มีปัญหาหนักหนาสาหัสทางด้านช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน เนื่องจากคนรวยใช้ความฉ้อฉลและกลยุทธ์เลวทรามเพื่อสร้างความร่ำรวยเพิ่มขึ้นให้แก่พวกตนส่งผลให้เกิดการประท้วงจำพวก “ยึดครอง” เมืองใหญ่ๆ ในประเทศเหล่านั้น นั่นเป็นสัญญาณของการจะเกิดสงครามชนชั้นในวันข้างหน้า ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจของกลุ่มอันธพาลก็ประสบปัญหาสาหัสจนล้มละลายไปหลายประเทศแล้ว ปรากฏการณ์เหล่านี้คือสัญญาณแห่งการเดินเข้าสู่ทางแห่งความล่มสลายในปี 2555
เนื่องจากเมืองไทยอยู่ในสังคมโลก การกระทำของคนไทยมีส่วนทำให้เกิดผลกระทบทั้งในทางลบและในทางบวกเช่นเดียวกัน การเพิ่มขึ้นของจำนวนคนไทยและการแย่งชิงทรัพยากรเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายนำไปสู่การทำลายดิน น้ำ ลมและไฟ เช่นเดียวกับในส่วนอื่นของโลก คนรวยส่วนหนึ่งซึ่งเป็นอันธพาลเพิ่มการรุกรานผู้ที่ไม่มีทางสู้และผู้ที่ไม่รู้เท่าทันโดยกระบวนการฉ้อฉลและกลยุทธ์สารพัดอย่าง รวมทั้งทางการเมืองและการแทรกแซงศาลสถิตยุตธรรมเพื่อจะบงการว่าคนเลวทรามเป็นคนดีโดยเฉพาะคนที่กำลังหนีคุก คนไทยส่วนใหญ่ถ้าไม่ขี้โกงก็โง่ หรือไม่ก็ขี้เกียจ มักง่ายและดูดายยังผลให้คนทรามก้าวขึ้นเป็นผู้นำได้ถึงในระดับชาติ คนทรามจะทำความชั่วร้ายจนได้รับการต่อต้านถึงขั้นเกิดสงครามกลางเมืองดังที่โหรบางคนทำนาย คอลัมน์นี้ประจำวันที่ 9 เมษายน 2553 สรุปว่า
“หากจะให้ฟันธง ขอประกาศไว้ตรงนี้เลยว่า ณ วันนี้แนวโน้มบ่งชี้ว่าเมืองไทยกำลังเดินเข้าสู่ทางแห่งความล่มสลายหายนะในปี พ. ศ. 2555 ทั้งนี้เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่ออกมาสนับสนุนฝ่ายสร้างสรรค์อย่างจริงจังโดยอ้างว่าเป็นกลาง หรือไม่ก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แน่นอนละ ในภาวะเช่นนี้กลุ่มเสื้อแดงที่มีนักโทษหนีคุกชักใยอยู่ข้างหลังบวกกับพวกหลงผิดที่คิดจะตั้งรัฐไทยใหม่จึงมีพลังผลักดันให้เมืองไทยเดินเข้าใกล้ปากเหวมากขึ้นเรื่อยๆ”
จากวันนั้นถึงวันนี้ ยังไม่มีอะไรที่จะทำให้บทสรุปนั้นเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ฉะนั้น ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ถ้าไม่มีเหตุกาณ์ด้านดีชนิดที่พลิกแผ่นดินเกิดขึ้น เมืองไทยจะเดินเข้าทางแห่งความล่มสลายแบบกู่ไม่กลับแน่นอน จะทำอะไรจึงต้องทำกันในตอนนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้
ผู้ที่ได้ศึกษาเรื่องราวของชาวมายาและของนอสตราดามุสย่อมทราบดีว่า ชาวมายาไม่ได้ทิ้งคำทำนายไว้เมื่ออารยธรรมของพวกเขาล่มสลายนอกจากปฏิทินที่สิ้นยุคลงตรงกับปี 2555 และคำทำนายของนอสตราดามุสก็สุดจะคลุมเครือยังผลให้ตีความหมายได้หลายอย่างรวมทั้งการเกิดภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ที่ทำลายเกือบทุกสิ่งบนผิวโลก เมื่อไม่นานมานี้ ปราชญ์ชาวฮังการีชื่อ เออร์วิน ลาสซโล ได้ศึกษาว่าอะไรอาจเกิดขึ้นในปี 2555 เขาไม่ได้มองไปที่ภัยธรรมชาติ หากมองไปที่การกระทำของมนุษย์ในส่วนที่มีผลกระทบในทางลบซึ่งจะสะสมขึ้นเรื่อยๆ ถ้ามนุษย์ไม่หยุดกระทำสิ่งเหล่านั้น ผลของมันจะผลักดันให้โลกเดินเข้าสู่ทางแห่งความล่มสลายในปี 2555 เขาพิมพ์ผลการศึกษาออกมาเมื่อปี 2549 เป็นหนังสือชื่อ The Chaos Point: The World at the Crossroads (มีบทคัดย่อภาษาไทยอยู่ในหนังสื่อชื่อ “กะลาภิวัตน์”) ซึ่งคอลัมน์นี้ประจำวันที่ 9 เมษายน 2553 เคยอ้างถึงครั้งหนึ่งแล้ว
ลาสซโลสรุปว่าโลกมีปัญหาหนักหนาสาหัสจำนวนมาก เนื่องจากการกระทำที่มีผลกระทบทางลบของมนุษย์ เช่น การขาดแคลนอาหารและน้ำ การเสียความสมดุลของระบบนิเวศ ช่องว่างที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ ทั้งระหว่างประเทศและระหว่างคนรวยกับคนจนส่งผลให้เกิดความผิดหวังและความคั่งแค้น การก่อการร้ายซึ่งนำไปสู่การปราบปรามด้วยความเหี้ยมโหด ปัญหาและแนวโน้มเหล่านี้จะวิวัฒน์ไปจนก่อให้เกิดความล่มสลายหากมนุษย์ไม่หยุดทำสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัย หรือทำอะไรที่มีผลดีมากขึ้นจนแก้ปัญหาได้ หรือเปลี่ยนแนวโน้มจำพวกเลวร้ายให้ไปในทางดี
จากตอนที่ลาสซโลศึกษามาถึงวันนี้ก็หลายปีแล้ว แนวโน้มต่างๆ ยังคงเดิม เช่น จำนวนประชากรโลกยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเป็น 7 พันล้านคนส่งผลให้เกิดความอดอยากมากขึ้นเพราะเด็กเกิดใหม่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศยากจน ยิ่งกว่านั้น แต่ละคนยังต้องการบริโภคมากขึ้นอีกด้วยส่งผลให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรทุกอย่างรวมทั้งน้ำจืดและน้ำมันปิโตรเลียม การแย่งชิงน้ำอาจทำให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน
ส่วนอเมริกาและอันธพาลตะวันตกก็ยกทัพไปรุกรานย่านตะวันออกกลางเพื่อหวังครอบครองแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม ผู้ที่สู้ไม่ได้หันไปใช้วิธีก่อการร้ายเพื่อหวังทำลายทั้งผู้รุกรานและรัฐบาลที่เป็นใจส่งผลให้เกิดการปราบปราม การตามล่าและการเข่นฆ่าแบบป่าเถื่อนอย่างแพร่หลาย การขับไล่รัฐบาลเช่นในย่านตะวันออกกลางกำลังขยายออกไปจนทำให้สูญชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนในประเทศอันธพาลที่รุกรานผู้อื่นก็มีปัญหาหนักหนาสาหัสทางด้านช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน เนื่องจากคนรวยใช้ความฉ้อฉลและกลยุทธ์เลวทรามเพื่อสร้างความร่ำรวยเพิ่มขึ้นให้แก่พวกตนส่งผลให้เกิดการประท้วงจำพวก “ยึดครอง” เมืองใหญ่ๆ ในประเทศเหล่านั้น นั่นเป็นสัญญาณของการจะเกิดสงครามชนชั้นในวันข้างหน้า ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจของกลุ่มอันธพาลก็ประสบปัญหาสาหัสจนล้มละลายไปหลายประเทศแล้ว ปรากฏการณ์เหล่านี้คือสัญญาณแห่งการเดินเข้าสู่ทางแห่งความล่มสลายในปี 2555
เนื่องจากเมืองไทยอยู่ในสังคมโลก การกระทำของคนไทยมีส่วนทำให้เกิดผลกระทบทั้งในทางลบและในทางบวกเช่นเดียวกัน การเพิ่มขึ้นของจำนวนคนไทยและการแย่งชิงทรัพยากรเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายนำไปสู่การทำลายดิน น้ำ ลมและไฟ เช่นเดียวกับในส่วนอื่นของโลก คนรวยส่วนหนึ่งซึ่งเป็นอันธพาลเพิ่มการรุกรานผู้ที่ไม่มีทางสู้และผู้ที่ไม่รู้เท่าทันโดยกระบวนการฉ้อฉลและกลยุทธ์สารพัดอย่าง รวมทั้งทางการเมืองและการแทรกแซงศาลสถิตยุตธรรมเพื่อจะบงการว่าคนเลวทรามเป็นคนดีโดยเฉพาะคนที่กำลังหนีคุก คนไทยส่วนใหญ่ถ้าไม่ขี้โกงก็โง่ หรือไม่ก็ขี้เกียจ มักง่ายและดูดายยังผลให้คนทรามก้าวขึ้นเป็นผู้นำได้ถึงในระดับชาติ คนทรามจะทำความชั่วร้ายจนได้รับการต่อต้านถึงขั้นเกิดสงครามกลางเมืองดังที่โหรบางคนทำนาย คอลัมน์นี้ประจำวันที่ 9 เมษายน 2553 สรุปว่า
“หากจะให้ฟันธง ขอประกาศไว้ตรงนี้เลยว่า ณ วันนี้แนวโน้มบ่งชี้ว่าเมืองไทยกำลังเดินเข้าสู่ทางแห่งความล่มสลายหายนะในปี พ. ศ. 2555 ทั้งนี้เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่ออกมาสนับสนุนฝ่ายสร้างสรรค์อย่างจริงจังโดยอ้างว่าเป็นกลาง หรือไม่ก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แน่นอนละ ในภาวะเช่นนี้กลุ่มเสื้อแดงที่มีนักโทษหนีคุกชักใยอยู่ข้างหลังบวกกับพวกหลงผิดที่คิดจะตั้งรัฐไทยใหม่จึงมีพลังผลักดันให้เมืองไทยเดินเข้าใกล้ปากเหวมากขึ้นเรื่อยๆ”
จากวันนั้นถึงวันนี้ ยังไม่มีอะไรที่จะทำให้บทสรุปนั้นเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ฉะนั้น ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ถ้าไม่มีเหตุกาณ์ด้านดีชนิดที่พลิกแผ่นดินเกิดขึ้น เมืองไทยจะเดินเข้าทางแห่งความล่มสลายแบบกู่ไม่กลับแน่นอน จะทำอะไรจึงต้องทำกันในตอนนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้