กลายเป็นกระแสสังคมที่พูดกันอย่างหนาหูอยู่ไม่น้อย เมื่อการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะลำดับที่ 6 ซึ่งอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ของเรากว่า 1.433 ล้านกิโลเมตรอย่าง ‘ดาวเสาร์’ กลายเป็นประเด็นที่นักโหราศาสตร์ได้ออกมาวิเคราะห์กันยกใหญ่ว่า เหตุการณ์การเคลื่อนที่ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2554 ที่จะลึกเข้าไปในราศีตุลยประมาณ 3 องศา แล้วถึงจะโคจรถอยหลังกลับมาสถิตราศีกันย์อีกที วันที่ 5 เมษายน 2555 และจะย้อนกลับไปราศีตุลยอีกครั้งในวันที่ 7 กันยายน 2555 ซึ่งเป็นการเดินหน้าสลับถอยหลังนี้ จะก่อให้เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นทางการเมืองของประเทศ และความวิบัติทางภัยธรรมชาติก็จะโหมกระหน่ำทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก
หรือนี่จะเป็นอีกสาเหตุเล็กๆ อีกสาเหตุหนึ่งของความเชื่อ และคำทำนายที่เคยมีมา ทั้งของนอสตราดามุส รวมถึงปฏิทินมายาของชาวมายา ที่คำนวณไว้ว่าโลกจะแตกในปี 2012 หรือ ปีหน้าฟ้าใหม่ 2555 ที่ใกล้จะถึงนี้จริงๆ
ความเชื่อนี่เอง ที่นำเราเข้ามาสู่ความคิดแบบไทย ที่สอดคล้องกับเรื่อง ดวง ตั้งแต่ปัจเจกชน ไปจนถึงเจ้าใหญ่นายโต ผูกได้ถึงดวงประเทศ!
ว่าด้วย ‘ดาวเสาร์’ สู่คติความเชื่อ
ดาวเสาร์มีชื่อแบบสากลว่า ‘แซทเทิร์น’ (Saturn) เป็นดาวเคราะห์แก๊สในลำดับที่ 6 ของระบบสุริยะในดาวเคราะห์ชั้นเอกทั้ง 8 ดวง โดยมี ‘โลก’ เป็นอยู่ในลำดับที่ 3 โดยเรียงจากความใกล้กับดวงอาทิตย์ ดาวเสาร์ยังมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากดาวพฤหัสบดี มีวงแหวนสวยงาม ที่ประกอบด้วยก้อนหินใหญ่น้อยที่มีน้ำแข็งปะปนอยู่เรียงตัวอยู่ในระนาบเดียวกัน โดยมีความหนาเฉลี่ย 500 กิโลเมตร ซึ่งเศษวัตถุในวงแหวนมีความสามารถในการสะท้อนแสงได้อย่างดี และกว้างกว่า 80,000 กิโลเมตรนั่นเอง จึงเป็นเอกลักษณ์ที่มนุษย์สามารถสังเกตเห็นได้จากโลก และมีดวงจันทร์ ซึ่งได้รับการยืนยันวงโคจรแล้วกว่า 60 ดวง
และยิ่งเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์นั้น ยิ่งตอกย้ำเรื่องการไม่มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์มากขึ้นไปอีก เพราะทุกๆ อย่าง ต้องเกี่ยวเนื่องกันและสามารถพิสูจน์ได้
“ตามข้อมูลของวิทยาศาสตร์บอกได้เลยว่าไม่มีผลอะไร ถึงดาวเสาร์จะเป็นดาวขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่าโลกเราประมาณ 9 เท่าก็ตาม แต่บังเอิญมันอยู่ไกลจากโลกเรามาก เพราะฉะนั้นอิทธิพลของมันจะไม่มีผลอะไรในเชิงวิทยาศาสตร์ แต่จะเป็นผลของพวกดาวเคราะห์ที่จะมาถึงโลกก็คือเรื่องของแรงโน้มถ่วง ซึ่งวัตถุที่มีแรงโน้มถ่วงกับโลกเรามากที่สุดก็คือดวงอาทิตย์มากกว่า ดวงอาทิตย์ทำให้โลกโคจรรอบ ถัดมาเป็นดวงจันทร์ที่ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง”
รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยถึงข้อเท็จจริงในแง่วิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งอธิบายว่า ดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวง อันได้แก่ ดาวพุธ, ดาวศุกร์, โลก, ดาวอังคาร, ดาวพฤหัสบดี, ดาวเสาร์, ดาวยูเรนัส, ดาวเนปจูน จะโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นเรื่องปกติ แต่แตกต่างกันที่ระยะเวลาในการโคจรครบหนึ่งรอบ
“ดาวเคราะห์จะโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว สำหรับดาวเสาร์วงโคจรรอบดวงอาทิตย์รอบหนึ่งคือ 30 ปี ก็จะเดินไปตามกลุ่มดาว 12 ราศี พอครบรอบมันก็จะเปลี่ยนราศี ทีนี้ที่ผ่านมาดาวเสาร์อยู่ที่ราศีกันย์จะเป็นกลุ่มดาวเวอร์โก้ (ดาวหนุ่มสาว) เสร็จแล้วช่วงนี้มันครบรอบ 30 ปี ดาวเสาร์ก็เข้ามาที่ราศีตุลย์ ซึ่งตรงนี้มันก็เป็นการโคจรที่ปกติของดาวเสาร์รอบดวงอาทิตย์”
หายนะ! ความเชื่อแบบโหราศาสตร์ไทย
ในระบบสุริยะ ดาวเสาร์ถือเป็นดาวนพเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อความคิดและความเชื่อของผู้คนในโลก เหตุผลหนึ่งก็มาลักษณะของดวงดาวที่แตกต่างจากดาวอื่นๆ นั่นคือมีวงแหวนรอบล้อม จนนำมาสู่คติมากมายไม่ว่าจะเป็นไทย เทศ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ ซึ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ บางทีความเชื่อเหล่านั้นก็ขัดกันเอง
อย่างเช่นในสมัยก่อนก็มักจะเชื่อว่า ดาวเสาร์เทพเจ้าแห่งความทุกข์ระทม เป็นดาวบาปที่ให้เคราะห์อันดับหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าช่วงไหนดาวเสาร์ไปสถิตอยู่กับราศีใดจะนำทุกข์ภัยเข้ามาอย่างไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าเรื่องสุขภาพที่อาจจะมีปัญหา เรื่องทรัพย์สินที่จะต้องเสียหายหรือสูญเสียไปก็แล้วแต่ ขณะที่บางตำรา ก็เชื่อไปอีกทางหนึ่งว่า ดาวเสาร์นั้นถือเป็นฤกษ์ดี ยิ่งหากคิดจะปลุกเสกทำวัตถุมงคลทั้งหลายด้วยแล้ว รับรองว่าต้องพึ่งดาวเสาร์
เพราะเชื่อกันว่า ดาวเสาร์เป็นดาวแห่งความเข้มแข็งและมีพลังมาก หากมีการประกอบพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลในวันเสาร์ห้า (ขึ้น 5 ค่ำหรือแรม 5 ค่ำ เดือน 5 วันเสาร์) ก็จะมีพุทธคุณด้านคงกระพัน และแคล้วคลาด และหากพระเครื่องรุ่นไหนทำพิธีในวันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งปกติเป็นสิบๆ ปีถึงจะมีสักหน ก็จะได้รับความนิยมจากลูกศิษย์เป็นพิเศษ
ขณะที่ในโลกตะวันตก ซึ่งมีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้ากรีก กลับไม่ค่อยมีการพูดถึงอิทธิพลของดาวเสาร์เท่าใดนัก โดยที่พบก็คือดาวเสาร์นั้นเป็นที่มาของเทพเจ้าที่ชื่อ แซทเทิร์น ซึ่งเป็นเทพเจ้าเกี่ยวกับทางการเกษตร และการเพาะปลูกเป็นหลัก
นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ภิญโญ พงศ์เจริญ เป็นอีกผู้หนึ่งที่ออกมาชี้แจงคำทำนายดวงบ้านดวงเมืองที่จะเกิดขึ้น เมื่อเหตุการณ์ดาวเสาร์นั้นย้ายราศีชี้ว่า จะทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในการเมืองไทย เศรษฐกิจ และอุบัติภัยเป็นลำดับต่อๆ มา โดยเรื่องที่ดูจะเป็นเรื่องสำคัญทั้งสิ้น แต่ภัยพิบัตินี่เอง ดูที่จะเป็นเรื่องที่คนธรรมดาดูจะเอื้อมถึงที่สุด
เพราะจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในครั้งนี้ ดูจะช่วยสนับสนุนประเด็นมหาวิโยคของมวลมนุษย์เข้าไปใหญ่ ในเรื่องนี้นายกสมาคมโหราศาสตร์อธิบายว่า ตามความเชื่อทางโทราศาสตร์นั้น ดาวเสาร์เป็นดวงพระใหญ่ เมื่อย้ายราศีเข้ามาสู่ตุลย์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม จะก่อให้เกิดเหตุด้านวาตภัย และดาวเสาร์ยังมีพระเคราะห์ธาตุไฟเข้ามาเกี่ยว อีกทั้งยังเล็งอยู่ในราศีเมษซึ่งเป็นดาวของการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ฉะนั้นเมื่อโคจรมา โลกก็จะเกิดความโกลาหล รวมทั้งมีเรื่องแผ่นดินไหวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ส่วนในเรื่อง คำทำนายของนอสตราดามุสและปฏินทินมายานั้น ภิญโญชี้แจงว่า สามารถเอาความรู้เรื่องนี้มาประกอบใช้ด้วยก็ได้ แต่อยากให้ตัดเรื่องเรื่องโลกแตกคงทิ้งเสีย เพราะโลกไม่แตกอย่างที่ว่า แต่จะเกิดอุบัติภัย ความโกลาหลที่มากขึ้น อย่างปีนี้น้ำที่มีจำนวนมากเป็นเครื่องชี้วัดได้ และในปีหน้าก็ยังมีเรื่องน้ำเข้ามามากอีกเช่นกัน รวมทั้งภัยพิบัติรูปแบบอื่นก็จะเข้ามา จึงอยากให้ทุกคนตั้งอยู่ในความมีสติมากกว่า
“ดวงดาวก็เป็นเรื่องของดวงดาว เป็นเรื่องของท้องฟ้าที่ต้องมีวาระการโคจรของเขา เราไปบังคับเขาไม่ได้ มีมาและมีไป ที่สำคัญเราต้องตั้งสติ รักษาตัว อย่าทำเรื่องไม่ดี เจริญภาวนา มีสติสัมปชัญญะ คิดดี รอบคอบ ระมัดระวัง ใช้ความรู้ที่มีแก้ปัญหาอย่างรอบคอบ เห็นแก่สังคม ประเทศชาติ มันเข้าสู่จุดถึงวาระกาลของมันมากกว่า เพราะเราทำลายธรรมชาติมาก การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติก็เกิดมากขึ้นเป็นธรรมดา เราต้องแยกส่วนประกอบ ดาวมันก็ดึงดูดซึ่งกันและกัน แต่สำคัญคือมันเป็นเรื่องของภายนอก แต่ปัจจัยสำคัญคือการกระทำของมนุษย์ที่เป็นเรื่องของภายในนี่แหละที่สำคัญสุด”
แล้วทางธรรม เกี่ยวเนื่องอย่างไร?
จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าว แม้แต่คนธรรมดาก็ยังเกิดความตระหนกตกใจกันไม่น้อย แต่หนึ่งที่พึ่งทางใจของคนคือ ศาสนา ดังนั้นประเทศเมืองพุทธอย่างไทย ก็จะเห็นได้ว่า มีการจัดพิธีกรรมต่างๆ มากมาย ในวัดดังๆ เป็นคำถามที่ว่า เรื่องนี้เอง ช่วยให้คนที่เข้าร่วมสบายใจขึ้น หรือตกใจไปกว่าเดิมเสียอีก เพราะหลายๆ คน คงพลาดโอกาสนั้นๆ ไปแล้ว ซึ่งท่านเจ้าคุณภา หรือ พระสรภาณโกศล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม เล่าถึงความเชื่อของคนไทยต่ออิทธิพลของดาวเสาร์ว่า มีมาตั้งแต่โบราณกาล ตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้วตามที่มีบันทึกเอาไว้ แต่เริ่มเป็นที่แพร่หลายในช่วงรัชกาลที่ 4 จากเหตุขบวนเสด็จเกิดอุบัติเหตุขึ้น ทำให้เกิดความเชื่อเกี่ยวกับดวงดาวเหล่านี้ขึ้นมา จนถึงปัจจุบันก็ยังคงมีความเชื่อที่สืบต่อกันมาอยู่ ซึ่งความเชื่อเกี่ยวกับดาวนพเคราะห์นั้น นอกจากดาวเสาร์แล้ว ยังมีดาวพฤหัสบดี และราหูอีกด้วย
“ดาวเสาร์จะมีความเชื่อเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุ ความทุกข์ยาก การทำพิธีผูกดวงชะตาก็เพื่อผูกมิตรไมตรีกับเทวดา หรืออิทธิพลของดาวเสาร์ เพื่อไม่ให้ต้องเผชิญกับสิ่งไม่ดีในชีวิต ขณะที่ดาวพฤหัสบดีมีความเชื่อว่าเป็นดาวครู ผู้ใหญ่ คณะรัฐบาลที่ผูกดวงกับดาวดวงนี้ ส่วนราหูเป็นที่ทราบกันดีว่า นำมาซึ่งโชคลาภ”
ทั้งนี้ ในด้านของหลักธรรมที่เกี่ยวกับดาวเสาร์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรฯ เห็นว่า เป็นเหมือนกุศโลบายเพื่อให้คนมาเข้าวัดฟังธรรม
“อย่างน้อยเข้ามาทำพิธี มาฟังพระสวดมนตร์ จิตเป็นสมาธิเกิดกุศล ในส่วนของการเข้ามาร่วมพิธีผูกดวงชะตากับดาวเสาร์นั้น ตามความเชื่อแล้วจะได้รอดพ้นจากความทุกข์ยาก ช่วยให้สบายใจขึ้น แต่หากไม่ได้มาร่วมพิธี ก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นเรื่องความเชื่อ คือความเชื่อตรงนี้ที่หลายคนเชื่อเพราะผูกกับความเชื่อเรื่องของดวงชะตา และโหราศาสตร์ด้วย”
ความคิดของคนอยู่ใต้ดวงดาว
และจากการสอบถามความคิดเห็นของผู้คนซึ่งอยู่ใต้ดวงดาว ต่อเหตุการณ์ของดาวเสาร์ที่เกิดการย้ายราศีนั้น นักธุรกิจหนุ่ม เจษฎา ทวีวรรณ เชื่อว่า การที่ดาวเสาร์กำลังจะย้ายราศีนั้น อาจจะสัมพันธ์กับการเกิดภัยพิบัติในอนาคตได้
“เชื่อนะ ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะอย่างทุกวันนี้ที่เป็นอยู่มันเป็นแค่เริ่มต้น ดวงดาวทุกดวงในระบบสุริยะย่อมสัมพันธ์กัน มีผลต่อกันและกัน ถ้าดาวเสาร์เป็นอะไรก็น่าจะมีผลกระทบกับโลก องศาเปลี่ยนไป 1 องศาก็เกิดอาเพศแล้ว อาจจะเกิด 2012 วันสิ้นโลก ขึ้นมาจริงๆ ก็ได้ หรืออาจจะไม่เกิด อย่างโลกก็เปลี่ยนสลับแกนมาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่นานๆ จะเกิดทีหนึ่งด้วย”
ส่วนคนรุ่นใหม่อย่าง แพรวผกา สังขมณี นักศึกษาสาว ก็ให้ความคิดเห็นที่ต่างออกไป โดยคิดว่าความเชื่อที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการสร้างกระแสมากกว่า
“เรื่องแบบนี้ก็ไม่ค่อยเชื่อนะ บางทีมันอาจเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ คนเราชอบเอาเรื่องไปโยงกันมั่วไปหมด บางทีก็สร้างกระแส สร้างข่าวให้ดูน่ากลัว พอผ่านไปแล้วไม่เกิดอะไรข่าวมันก็เงียบไปเอง แล้วเรื่องโหราศาสตร์เคยได้ยินมาว่ามันคือศาสตร์ของสถิติ ดังนั้นมันห้าสิบๆ ที่จะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ ก็เลยไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่”
แต่เรื่องที่แน่นอนและน่าเชื่อถือมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นการกระทำของมนุษย์นี่เอง ที่เป็นการจุดชนวนให้ธรรมชาติเอาคืน จนเป็นที่มาของอุบัติภัยต่างๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดของการอยู่ของคน ไม่ว่าเรื่องใดๆ ที่ผ่านเข้ามา นั่นก็คือ ‘สติ’ หากตั้งอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง คิดดี ทำดี เชื่อว่าไม่ว่าเหตุการณ์ใดผ่านเข้ามาก็สามารถแก้ปัญหาออกไปได้เสมอ
>>>>>>>>>>>>
………..
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK