ในเหตุการณ์ชุมนุมคนเสื้อแดงช่วงมีนาคม-พฤษภาคม 2553 มีผู้เสียชีวิตต่างกรรมต่างวาระต่างฝ่ายรวม 91 ศพ แต่คดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าพนักงานสอบสวนทำสำนวนคืบหน้าไปได้ไกลที่สุดขณะนี้มีอยู่ 16 ศพ ต่างกรรมต่างวาระเช่นกัน แต่มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือสาเหตุการตายที่ถูกสรุปว่า...
“เกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่”
แม้จะยังคงอยู่ในชั้นสอบสวน แต่ได้ผ่านขั้นตอนชันสูตรพลิกศพไปแล้ว โดยพนักงานอัยการเข้ามาร่วมด้วยตามเงื่อนไขในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรคสาม
ตำรวจได้ร่วมกับอัยการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นหมดแล้วทั้ง 16 ศพ 16 สำนวนส่งไปถึงมือพนักงานอัยการแล้วเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2554 ตามเงื่อนเวลาบังคับในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรคสี่
จากนี้ไปจะเป็นขั้นตอนสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรคห้า วรรคหก และวรรคเจ็ด
การไต่สวนในศาล !
ยังไม่ใช่การฟ้องร้อง เพราะยังอยู่ในขั้นตอนสอบสวนของตำรวจ แต่เนื่องจากเป็นการตายผิดธรรมชาติ และเป็นการตายที่ตำรวจชี้ว่าเกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจึงออกแบบถ่วงดุลอำนาจตำรวจไว้ 2 ชั้น ชั้นหนึ่งให้อัยการเข้ามาร่วมชันสูตรพลิกศพและทำสำนวนชันสูตรพลิกศพด้วย อีกชั้นหนึ่งต้องให้ศาลเปิดการไต่สวนเพื่อมีคำสั่งว่าเป็นการตายที่เกิดโดยเจ้าพนักงานจริง
เมื่อศาลมีคำสั่งแล้วจึงจะส่งสำนวนการไต่สวนกลับไปยังอัยการเพื่อส่งต่อไปยังตำรวจต่อไป
การไต่สวนจะเกิดขึ้นเมื่อใดยังไม่รู้
เพราะอัยการมีเงื่อนเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรคห้า 30 วัน ต่ออายุได้อีกไม่เกิน 2 ครั้ง ๆ ละ 30 วัน ที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจให้เปิดการไต่สวน จากนั้นศาลจะเป็นผู้ประกาศวันไต่สวน โดยวันที่ 16 ธันวาคม 2554 ถือเป็นวันเริ่มนับ 1 ของเงื่อนเวลา
ยืดกันเต็มเหยียดก็คงไม่เกินเดือนมีนาคม 2555
แต่ก็มีข่าวแว่วมาว่าอัยการอาจจะยื่นคำร้องขอไต่สวนต่อศาลในวันที่ 28 ธันวาคม 2554 จริงเท็จไม่ทราบ
แม้จะยังไม่ถึงขั้นการฟ้องร้อง ยังไม่มีตัวจำเลยเป็นบุคคล และกว่าคดีจะถึงที่สุดก็อีกนานเป็นปี ๆ หรือหลายปี แต่การไต่สวนที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนและศาลจะต้องมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาแน่นอนภายในสามสี่เดือนนี้จะมีความสำคัญยิ่ง
เหมือนเป็นการจุดหัวไม้ขีด !
ถ้าจุดติด ก็คือหลังการไต่สวนศาลมีคำสั่งออกมาตามที่ตำรวจและอัยการยื่นคำร้องขอไปคือเป็นการตายโดยเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ คำสั่งศาลที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณามาตรา 150 วรรคสิบบัญญัติไว้ให้ถือเป็นที่สุดนี้นอกจากจะเป็นการนับ 1 กระบวนการหาตัวผู้กระทำความผิดในเชิงบุคคลมาฟ้องร้องดำเนินคดีแล้ว ในเชิงการเมืองและสังคมคำสั่งศาลดังกล่าวจะถูกนำมาทำซ้ำถ่ายทอดต่อผ่านวาทกรรมต่าง ๆ ในลักษณะ...
ทหารฆ่าประชาชน !
เพราะเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ขณะเกิดการตายของทั้ง 16 ศพมีทหารเป็นหลัก
การทำซ้ำถ่ายทอดคำสั่งศาลผ่านวาทกรรมลักษณะดังกล่าวจะไม่เฉพาะภายในประเทศ แต่จะไปยังต่างประเทศด้วย เพราะ 1 หรือ 2 ใน 16 ศพนั้นเป็นชาวต่างประเทศ
จริงอยู่วาทกรรมดั่งว่าไม่ใช่ของใหม่ คนกลุ่มหนึ่งพูดซ้ำซากมานานแล้ว แต่คราวนี้น้ำหนักจะต่างกัน เพราะเป็นคำสั่งศาล
คงไม่ต้องพูดถึงผลสะเทือนทางสังคมและทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลสะเทือนต่อกองทัพไทยในบริบทต่าง ๆ ให้มากความ ผู้อ่านรู้ดีอยู่แล้ว
รวมทั้งคงไม่จำเป็นต้องตอบคำถามที่ว่านี่เป็นแผนจับทหารเป็นตัวประกันเพื่อให้สามารถออกกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ทุกฝ่ายรวมทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรด้วยหรือไม่ ผู้อ่านย่อมคิดได้เองดีกว่าผมด้วยซ้ำ
แต่อยากจะบอกว่าชีวิตไม่ง่ายอย่างนั้น
เพราะแม้จะ “นิรโทษกรรมทุกฝ่าย” ก็ตามแต่ผลที่ได้ทันทีคือ “ทุกฝ่ายคัดค้าน” แน่นอน !
ฝ่ายคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งจะคัดค้านการนิรโทษกรรมทหาร และต้องการให้การนิรโทษกรรมรวมผู้ทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วย ฝ่ายเสื้อสีอื่นที่ไม่ใช่สีแดงจะคัดค้านการนิรโทษกรรมพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และไม่ต้องการให้รวมไปถึงผู้ทำผิดตามมาตรา 112 ฝ่ายทหารเองก็มีธงอยู่ว่ายอมรับได้กับการนิรโทษกรรมทุกฝ่ายภายใต้เงื่อนไขไม่รวมผู้ทำผิดตามมาตรา 112 นอกจากนั้นยังมีปัญหาการตีความว่าอะไรคือคดีการเมืองทีอยู่ในข่ายได้นิรโทษอีก คดีอาญาที่เกิดขึ้นมากมายส่วนไหนจะเข้าข่ายเป็นคดีที่สืบเนื่องจากการเมืองที่จะได้รับสิทธิ ส่วนไหนไม่ใช่ ด้วยเหตุผลอะไร ในประเด็นท้ายสุดนี้นอกเหนือจากคดีตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่มากแล้ว ยังมีฐานความผิดอื่นอีก เช่น ความผิดฐานหมิ่นประมาท ความผิดฐานวางเพลิง ฯลฯ
และกระบวนการขับเคลื่อน “นิรโทษกรรมทุกฝ่าย” ที่ยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งทั้งในหลักการและในรายละเอียดเช่นนี้ยากที่จะทำในรูปพระราชกำหนด แต่ครั้นทำในรูปร่างพระราชบัญญัติ ก็จะต้องผ่านความระหกระเหินและไม่แน่นอนในกระบวนการพิจารณาของทั้ง 2 สภา อาจถูกแปรญัตติไปได้หลากหลายรูปแบบ เช่นตอนเป็นร่างแรกอาจไม่รวมผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 แต่อาจถูกแปรญัตติเพิ่ม
ที่แน่ ๆ คือกว่าจะเป็นผลจะไม่มีทางก่อนวันไต่สวนในศาลชั้นต้นแน่ !
ทหารต้องลุกขึ้นสู้ก่อนครับ
สู้คดี
กองทัพบกในฐานะหน่วยต้นสังกัดที่ออกปฏิบัติราชการตามคำสั่งอันถูกต้องชอบธรรมจะต้องปกป้องกำลังพลของท่านโดยอาศัยช่องทางตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรคเก้า แต่งทนายความเข้าไปขอนำสืบพยานหลักฐานเพื่อคัดค้านสำนวนชันสูตรพลิกศพของตำรวจ-อัยการที่สรุปว่า 16 ศพที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำโดยเจ้าพนักงานฯ แม้จะไม่มีบทบัญญัติกำหนดให้ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาในสำนวนชั้นสอบสวนนี้นำสืบคัดค้านได้ แต่ก็ไม่ได้มีบทบัญญัติห้าม และความในมาตรานี้ 150 วรรคเก้านี้กล่าวว่า...
“เมื่อศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลจะเรียกพยานที่นำสืบมาแล้วมาสืบเพิ่มเติม หรือเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบก็ได้ และศาลอาจขอให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญมาให้ความเห็นเพื่อประกอบการไต่สวนและการทำคำสั่ง...”
ถ้าไม่ต่อสู้ในชั้นไต่สวนนี้ เพราะถือว่ายังไม่ตกเป็นจำเลย ยังไม่ถูกฟ้องร้อง ก็เท่ากับให้ศาลสืบพยานฝ่ายเดียว และศาลจะไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออยู่นอกจากทำคำสั่งตามที่ตำรวจ-อัยการสรุปเสนอมาในสำนวนชันสูตรพลิกศพ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นละก็ “ถูกจับเป็นตัวประกัน” ของจริงแน่นอน เพราะต้องรอกฎหมายนิรโทษกรรมสถานเดียว
ทางเลือกในระยะไม่เกิน 2 - 3 เดือนจากนี้จึงคือต้องลุกขึ้นสู้(คดี)ด้วยตัวเอง !
“เกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่”
แม้จะยังคงอยู่ในชั้นสอบสวน แต่ได้ผ่านขั้นตอนชันสูตรพลิกศพไปแล้ว โดยพนักงานอัยการเข้ามาร่วมด้วยตามเงื่อนไขในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรคสาม
ตำรวจได้ร่วมกับอัยการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นหมดแล้วทั้ง 16 ศพ 16 สำนวนส่งไปถึงมือพนักงานอัยการแล้วเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2554 ตามเงื่อนเวลาบังคับในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรคสี่
จากนี้ไปจะเป็นขั้นตอนสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรคห้า วรรคหก และวรรคเจ็ด
การไต่สวนในศาล !
ยังไม่ใช่การฟ้องร้อง เพราะยังอยู่ในขั้นตอนสอบสวนของตำรวจ แต่เนื่องจากเป็นการตายผิดธรรมชาติ และเป็นการตายที่ตำรวจชี้ว่าเกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจึงออกแบบถ่วงดุลอำนาจตำรวจไว้ 2 ชั้น ชั้นหนึ่งให้อัยการเข้ามาร่วมชันสูตรพลิกศพและทำสำนวนชันสูตรพลิกศพด้วย อีกชั้นหนึ่งต้องให้ศาลเปิดการไต่สวนเพื่อมีคำสั่งว่าเป็นการตายที่เกิดโดยเจ้าพนักงานจริง
เมื่อศาลมีคำสั่งแล้วจึงจะส่งสำนวนการไต่สวนกลับไปยังอัยการเพื่อส่งต่อไปยังตำรวจต่อไป
การไต่สวนจะเกิดขึ้นเมื่อใดยังไม่รู้
เพราะอัยการมีเงื่อนเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรคห้า 30 วัน ต่ออายุได้อีกไม่เกิน 2 ครั้ง ๆ ละ 30 วัน ที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจให้เปิดการไต่สวน จากนั้นศาลจะเป็นผู้ประกาศวันไต่สวน โดยวันที่ 16 ธันวาคม 2554 ถือเป็นวันเริ่มนับ 1 ของเงื่อนเวลา
ยืดกันเต็มเหยียดก็คงไม่เกินเดือนมีนาคม 2555
แต่ก็มีข่าวแว่วมาว่าอัยการอาจจะยื่นคำร้องขอไต่สวนต่อศาลในวันที่ 28 ธันวาคม 2554 จริงเท็จไม่ทราบ
แม้จะยังไม่ถึงขั้นการฟ้องร้อง ยังไม่มีตัวจำเลยเป็นบุคคล และกว่าคดีจะถึงที่สุดก็อีกนานเป็นปี ๆ หรือหลายปี แต่การไต่สวนที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนและศาลจะต้องมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาแน่นอนภายในสามสี่เดือนนี้จะมีความสำคัญยิ่ง
เหมือนเป็นการจุดหัวไม้ขีด !
ถ้าจุดติด ก็คือหลังการไต่สวนศาลมีคำสั่งออกมาตามที่ตำรวจและอัยการยื่นคำร้องขอไปคือเป็นการตายโดยเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ คำสั่งศาลที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณามาตรา 150 วรรคสิบบัญญัติไว้ให้ถือเป็นที่สุดนี้นอกจากจะเป็นการนับ 1 กระบวนการหาตัวผู้กระทำความผิดในเชิงบุคคลมาฟ้องร้องดำเนินคดีแล้ว ในเชิงการเมืองและสังคมคำสั่งศาลดังกล่าวจะถูกนำมาทำซ้ำถ่ายทอดต่อผ่านวาทกรรมต่าง ๆ ในลักษณะ...
ทหารฆ่าประชาชน !
เพราะเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ขณะเกิดการตายของทั้ง 16 ศพมีทหารเป็นหลัก
การทำซ้ำถ่ายทอดคำสั่งศาลผ่านวาทกรรมลักษณะดังกล่าวจะไม่เฉพาะภายในประเทศ แต่จะไปยังต่างประเทศด้วย เพราะ 1 หรือ 2 ใน 16 ศพนั้นเป็นชาวต่างประเทศ
จริงอยู่วาทกรรมดั่งว่าไม่ใช่ของใหม่ คนกลุ่มหนึ่งพูดซ้ำซากมานานแล้ว แต่คราวนี้น้ำหนักจะต่างกัน เพราะเป็นคำสั่งศาล
คงไม่ต้องพูดถึงผลสะเทือนทางสังคมและทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลสะเทือนต่อกองทัพไทยในบริบทต่าง ๆ ให้มากความ ผู้อ่านรู้ดีอยู่แล้ว
รวมทั้งคงไม่จำเป็นต้องตอบคำถามที่ว่านี่เป็นแผนจับทหารเป็นตัวประกันเพื่อให้สามารถออกกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ทุกฝ่ายรวมทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรด้วยหรือไม่ ผู้อ่านย่อมคิดได้เองดีกว่าผมด้วยซ้ำ
แต่อยากจะบอกว่าชีวิตไม่ง่ายอย่างนั้น
เพราะแม้จะ “นิรโทษกรรมทุกฝ่าย” ก็ตามแต่ผลที่ได้ทันทีคือ “ทุกฝ่ายคัดค้าน” แน่นอน !
ฝ่ายคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งจะคัดค้านการนิรโทษกรรมทหาร และต้องการให้การนิรโทษกรรมรวมผู้ทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วย ฝ่ายเสื้อสีอื่นที่ไม่ใช่สีแดงจะคัดค้านการนิรโทษกรรมพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และไม่ต้องการให้รวมไปถึงผู้ทำผิดตามมาตรา 112 ฝ่ายทหารเองก็มีธงอยู่ว่ายอมรับได้กับการนิรโทษกรรมทุกฝ่ายภายใต้เงื่อนไขไม่รวมผู้ทำผิดตามมาตรา 112 นอกจากนั้นยังมีปัญหาการตีความว่าอะไรคือคดีการเมืองทีอยู่ในข่ายได้นิรโทษอีก คดีอาญาที่เกิดขึ้นมากมายส่วนไหนจะเข้าข่ายเป็นคดีที่สืบเนื่องจากการเมืองที่จะได้รับสิทธิ ส่วนไหนไม่ใช่ ด้วยเหตุผลอะไร ในประเด็นท้ายสุดนี้นอกเหนือจากคดีตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่มากแล้ว ยังมีฐานความผิดอื่นอีก เช่น ความผิดฐานหมิ่นประมาท ความผิดฐานวางเพลิง ฯลฯ
และกระบวนการขับเคลื่อน “นิรโทษกรรมทุกฝ่าย” ที่ยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งทั้งในหลักการและในรายละเอียดเช่นนี้ยากที่จะทำในรูปพระราชกำหนด แต่ครั้นทำในรูปร่างพระราชบัญญัติ ก็จะต้องผ่านความระหกระเหินและไม่แน่นอนในกระบวนการพิจารณาของทั้ง 2 สภา อาจถูกแปรญัตติไปได้หลากหลายรูปแบบ เช่นตอนเป็นร่างแรกอาจไม่รวมผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 แต่อาจถูกแปรญัตติเพิ่ม
ที่แน่ ๆ คือกว่าจะเป็นผลจะไม่มีทางก่อนวันไต่สวนในศาลชั้นต้นแน่ !
ทหารต้องลุกขึ้นสู้ก่อนครับ
สู้คดี
กองทัพบกในฐานะหน่วยต้นสังกัดที่ออกปฏิบัติราชการตามคำสั่งอันถูกต้องชอบธรรมจะต้องปกป้องกำลังพลของท่านโดยอาศัยช่องทางตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรคเก้า แต่งทนายความเข้าไปขอนำสืบพยานหลักฐานเพื่อคัดค้านสำนวนชันสูตรพลิกศพของตำรวจ-อัยการที่สรุปว่า 16 ศพที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำโดยเจ้าพนักงานฯ แม้จะไม่มีบทบัญญัติกำหนดให้ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาในสำนวนชั้นสอบสวนนี้นำสืบคัดค้านได้ แต่ก็ไม่ได้มีบทบัญญัติห้าม และความในมาตรานี้ 150 วรรคเก้านี้กล่าวว่า...
“เมื่อศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลจะเรียกพยานที่นำสืบมาแล้วมาสืบเพิ่มเติม หรือเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบก็ได้ และศาลอาจขอให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญมาให้ความเห็นเพื่อประกอบการไต่สวนและการทำคำสั่ง...”
ถ้าไม่ต่อสู้ในชั้นไต่สวนนี้ เพราะถือว่ายังไม่ตกเป็นจำเลย ยังไม่ถูกฟ้องร้อง ก็เท่ากับให้ศาลสืบพยานฝ่ายเดียว และศาลจะไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออยู่นอกจากทำคำสั่งตามที่ตำรวจ-อัยการสรุปเสนอมาในสำนวนชันสูตรพลิกศพ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นละก็ “ถูกจับเป็นตัวประกัน” ของจริงแน่นอน เพราะต้องรอกฎหมายนิรโทษกรรมสถานเดียว
ทางเลือกในระยะไม่เกิน 2 - 3 เดือนจากนี้จึงคือต้องลุกขึ้นสู้(คดี)ด้วยตัวเอง !